สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
เมืองคนโม้

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:775
reply:0

“วันนี้ อะไรๆ ดูมันเงียบเหงาเซาซบไปหมด   บรรยากาศมันทึมๆ น่ารำคาญสิ้นดี”

ร.ต.ต.เดโช พงศ์เดชา   นายตำรวจหนุ่มแน่นเพิ่งสำเร็จออกมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สดๆ ร้อนๆ ไม่ทันจะครบหกเดือนดี คิด   ขณะที่เดินเตะเท้าไปตามบาทวิถีในตอนใกล้ค่ำวันหนึ่ง   ภายหลังที่เขาออกจากเวรที่สถานีตำรวจและมุ่งหน้าจะกลับบ้าน   เขายังไม่อยากจะกลับบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี   เจ้าพวกเพื่อนฝูงที่เคยแวะเวียนไปดึงตัวเขาจากโรงพักไปเที่ยวที่โน่นที่นี่อยู่เป็นนิจนั้น   วันนี้ไม่รู้ว่ามันพากันหายหัวไปข้างไหนกันหมด   หรือว่าอาจจะเป็นเพราะวันนี้ฝนเกิดปรอยลงมาตั้งแต่ก่อนห้าโมงก็เป็นได้   เจ้าพวกนั้นมันเลยเกิดความคิดถึงบ้านขึ้นมาเป็นแถวๆ   ไอ้พวกบ้า.!   บ้าทั้งนั้น   เดโช คิดอย่างขัดใจ   เจ้าพวกนี้พอสอบเสร็จยังไม่ทันจะได้ติดดาวก็เตรียมตัวจะแต่งงานมีครอบครัวกันเป็นแถวๆ   ไม่รู้ว่ามันจะรีบร้อนแต่งกันไปทำไม แทนที่จะอยู่ใช้ชีวิตโสดให้สนุกสนามโลดโผนถึงใจเสียก่อนให้สมกับที่ต้องเก็บตัวลีบอยู่ในกรอบระเบียบวินัยและคำสั่งคำสอนต่างๆ มานานนับตั้งยี่สิบกว่าปีเช่นนี้   ด่วนหาห่วงมาถ่วงคอตัวเองแท้ๆ   ลองมีลูกมีเมียเสียแล้ว ก็เท่ากับบั่นทอนความกร้าวกล้าและลดรสชาติแห่งความสนุกสนานในอันที่จะผจญกับชีวิตต่อไป ลงตั้งครึ่งค่อนทีเดียว

แต่บางที   เดโชหยุดยืนแหงนเงยดูท้องฟ้าซึ่งยังคงชอุ่มชุ่มฉ่ำอยู่ด้วยเมฆฝนราวกับว่าจะไม่มีวันคลี่คลายออกมาสู่ความแจ่มใสปลอดโปร่งได้อีก   ท้องฟ้าสีน้ำเงินสดสว่างซึ่งประดับด้วยปุยเมฆลอยหวิวๆ อยู่เกลื่อนกล่นนั้น   ดูออกจะเป็นสิ่งสุดหวังในวันมืดๆ ทึมๆ อย่างวันนี้   บางที   เดโชคิดเมื่อก้าวขาต่อไป   บางทีการมีครอบครัว   มี “ใคร” สักคนหนึ่งคอยอยู่ที่บ้าน   ก็อาจจะเป็นความสุขสักอย่างหนึ่งเหมือนกัน   ป่านนี้เจ้าพวกนั้นมันคงจะนั่งหรือไม่ก็นอนทอดหุ่ยอย่างสบายอยู่ในบ้าน   โดยมีใครอีกคนหนึ่งนั่งเบียดคอยให้ไออุ่นอยู่ข้างๆ   ไม่ต้องออกมาเดินเตะถนนเล่นอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายในขณะที่อากาศคระครึ้มเยียบเย็นน่านอนอย่างเช่นตัวเขานี้   เดโชยังไม่อยากจะกลับบ้าน   บ้านที่มีแต่พี่น้องผู้หญิงและแม่เจ้าระเบียบซึ่งเห็นเขาเป็นเด็กเล็กที่ยังต้องการความระแวดระวังดูแล   และควรประพฤติตนอยู่ในกรอบวินัยกฎเกณฑ์ของบ้านอยู่ตลอดเวลา   มิใยที่เขาจะได้พยายามเป็นหลายครั้ง ทั้งคำพูดและการกระทำ   ให้แม่รู้ว่าบัดนี้เขาโตแล้ว   เขาทำงานได้เงินเดือนและเป็นถึงนายร้อยตำรวจตรี   สามารถจะทำการจับกุมผู้กระทำผิดไปมอบให้กฎหมายลงโทษได้แล้ว   มิได้เป็นเด็กนักเรียนที่ต้องวิ่งขอสตางค์พ่อแม่ใช้อีกต่อไป   แม่ก็ยังไม่พยายามเข้าใจ   มิหนำซ้ำบางทียังหัวเราะเสียราวกับว่าเขากำลังทำตลกบ้าๆ บอๆ อะไรให้ท่านดูเสียอีก   ขณะที่เดโชเดินไปตามถนนสายต่างๆ   หลายครั้งเหลือเกินที่เขานึกอยากจะให้เกิดเหตุการณ์อะไรๆ แปลกๆ ขึ้นบ้าง   อะไรก็ได้ นักเลงตีกัน ยิงกัน หรือผู้ร้าย ยกเข้าปล้นธนาคารกลางวันแสกๆ พวกนี้แหละ   เพื่อเขาจะได้แสดงฝีมือปราบปรามให้ใครๆ ได้ประจักษ์เสียบ้าง   ใครๆ โดยเฉพาะแม่ จะได้เข้าใจเสียที   ว่าบัดนี้เขาไม่ใช่ “ไอ้หนู” อีกแล้ว   แต่ให้ตายซี   ไม่มีเลย   ไอ้เหตุการณ์ร้ายๆ อย่างที่เขาอยากให้เกิดขึ้นบ้างนั้นไม่เคยมีเลย   นับตั้งแต่เขาได้ติดยศนายร้อยตรีเป็นต้นมา นับเป็นเวลาตั้งหกเดือนแล้ว   จะมีอยู่บ้างก็แต่พวกขี้เมาที่เดินเปะปะให้พวกสายตรวจพามานอนพักสงบสิตอารมณ์ที่โรงพักเท่านั้น   เรื่องที่ว่าร้ายแรงหน่อยก็รถชนกัน   ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีคนตาย   แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับการที่ตำรวจจะต้องแสดงฝีไม้ลายมืออะไรเลย   นอกจากจะไปดูสถานที่   เอาชอล์กขีดๆ ตามถนน   พับผ่า น่าเบื่อสิ้นดี   เขาไม่ได้เรียนตำรวจมาเพื่อหวังจะทำงานกล้วยๆ อย่างนี้นี่นา   ทำไมนะ จึงไม่ส่งเขาไปปราบไอ้เสือที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ต้องมีการยิงกันอย่างสะบันหั่นแหลก   หรือไม่ก็ส่งไปทำงานสืบสวนลับ   จะเป็นสืบหาแหล่งทำเงินปลอม หรือที่บัญชาการของพวกคอมมิวนิสต์อะไรก็ได้ที่มันน่าตื่นเต้นเสียหน่อย   ดีกว่าให้มานั่งพุงอึดเป็นบ้าอยู่ที่โรงพักอย่างนี้

เดโชเดินมาจนสุดชายคาของอาคารตรงสี่แยก   ทางที่จะไปบ้านของเขาจะต้องข้ามถนนไปอีก   ฝนยังคงโปรยลงมาไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่หนักหนาอะไรจนถึงกับจะทำให้เขาเปียกโชกถ้าจะข้ามไป   แต่เดโชกำลังเป็นโรคเบื่อ   เบื่อฝน   เบื่อที่จะเดินข้ามไป   เบื่อที่จะเรียกรถ   และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบื่อที่จะกลับบ้าน   แหงนหน้าดูท้องฟ้า   ยืนหันไปหันมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เลยเดินเข้าไปในร้านกาแฟร้านหัวมุมนั่นเอง   อากาศเย็นๆ สะลึมสะลือยังงี้   สั่งกาแฟร้อนๆ มากินเล่นให้ร้อนคอเสียหน่อยอาจจะทำให้ค่อยยังชั่วขึ้นบ้าง

ในร้านกาแฟมีคนเข้าไปนั่งหลบฝนอยู่ไม่กี่คนนัก   แต่ละคนไม่เห็นมีลักษณะท่าทางที่จะชวนให้น่าสนใจเลยสักนิด   ล้วนแต่นั่งซึมเซา ทอดสายตาเหม่อมองดูสายฝนอย่างเบื่อหน่ายและหมดหวังดัวยกันทั้งนั้น   ยกเว้นแต่หนุ่มสาวคู่หนึ่งซึ่งท่าทางจะเป็นนักศึกษาด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีหนังสือกองอยู่ใกล้ตัวของแต่ละคน   ทั้งคู่กำลังคุยหรือถกปัญหาอะไรอยู่อย่างออกรส   เขามองดูตากันและหัวเราะต่อกระซิก   ดูช่างเต็มไปด้วยความสุขโดยมิได้คำนึงถึงกาลเวลา   ว่าจะมืดค่ำหรือฝนจะหยุดเมื่อไร   น่าอิจฉาเหลือเกิน

เดโชสั่งกาแฟร้อนและขนมปังทาเนย   แป๊ะร้านนี้ชงกาแฟพอใช้ได้   แต่ฝีมือปิ้งขนมปัง มันปิ้งเสียจนขมไปหมด   สู้แม่ของเขาไม่ได้เลยสักนิด   แม่ปิ้งขนมปังเก่งเหลือเกิน   เหลืองน้อยๆ และกรอบทั่วกันหมดทั้งแผ่น   ฝีมือทำกับข้าวกับปลาของแม่ก็นับว่าเป็นเยี่ยม   แต่นั่นแหละ   บางทีถ้าเขาจะต้องกินข้าวเย็นๆ มีกลิ่น หรือขนมปังค้างแข็งเป๊กสักก้อนเพราะต้องไปนอนกลางดินกลางป่าคอยล้อมจับไอ้เสืออะไรสักคนหนึ่งแล้ว   ข้าวเย็นหรือขนมปังค้างอาจจะมีรสชาติมากกว่าอาหารรสเลิศฝีมือแม่ก็เป็นได้

“แฮ่ะ แฮ่ะ หมวด   ให้ผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”

เดโชเหลือบสายตาขึ้นมองดูชายกลางคนผอมชะลูดเหมือนกล้องยาฝิ่นที่มายืนยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้าเขา   พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ บอกว่า

“นั่งซี”

“ขอบคุณครับ”   กระทาชายนายหยองกรอดนั่งลง   หันไปร้องสั่ง “โก โอยั๊วะถ้วย”   แล้วก็หันกลับมาหัวเราะแหะกับเขาอีก   “แฮ่ะ แฮ่ะ วันนี้ฝนฟ้ามันเหลือเกินนะครับหมวด   ไม่รู้ว่ามันจะตกกันไปถึงไหน   ตั้งแต่ก่อนห้าโมงมาแล้ว   จะจั้กลงมาก็ไม่จั้ก   จะหยุดก็ไม่หยุด   ปรอยๆ ปรายๆ น่ารำคาญสิ้นดี”

“ฮึ”   เดโชไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น   ปรกติเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยช่างพูดกับคนแปลกหน้าเสียด้วย   พวกน้องสาวๆ ของเขาเคยล้อว่าเขาขี้อายเหมือนผู้หญิง   ไม่สมที่จะเป็นนายตำรวจเลย

“อย่างพี่เดโชนี่พอได้ยินเสียงปืนคงรีบอุดหูไม่ทัน”   น้องสาวล้อเขาเช่นนี้   แม้ว่าจะไม่จริงไม่จัง แต่ก็ทำให้เดโชเดือดดาลใจไม่น้อย   เออ ดีละน้า   เขามุ่งมาดไว้ในใจ   สักวันหนึ่งเถอะเขาจะทำให้แม่พวกช่างล้อนี่ตะลึงตะไลไปตามๆ กันทีเดียว   ทุกคนจะต้องเลิกล้อและจะต้องกลับชื่นชมบูชาสรรเสริญในความเก่งกล้าของเขาไม่ขาดปากทีเดียว   คนเรามันสำคัญอยู่ที่พูดเมื่อไรกันเล่า   มันสำคัญอยู่ที่การกระทำแท้ๆ

“หมวดอยู่ท้องที่นี้หรือครับ”   นายหยองกรอดทำท่าประจบประแจงถามต่อไป   เดโชพยักหน้า แล้วบอกว่า

“เพิ่งย้ายมาเร็วๆ นี่เอง”

“มิน่า แฮ่ะ แฮ่ะ   ผมถึงไม่ค่อยจะได้เห็น   อ้า... ขอโทษนะคับ   หน้าตาหมวดยังดู... อ้า... ดูเด็กอยู่เหลือเกิน   ดูเหมือนจะเด็กกว่าไอ้เปี๊ยกหลานชายผมเสียอีก   พูดถึงได้หลานชายคนนี้แล้ว   โอ๊ย มันเลวสิ้นดีเทียวครับ   ผมต้องเดินขึ้นเดินลงกระไดโรงพักนับครั้งไม่ถ้วนก็เพราะไอ้เจ้าหลานชายคนนี้แหละ   อายุมันก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับหมวดนี่แหละครับ   อ่อนแก่กว่ากันคงไม่เท่าไหร่   แต่ไอ้เวรนั่นมันไม่รักดีเสียเลยพับผ่า   ถ้ามันเป็นอย่างหมวด ผมเป็นทูนหัวทูนเกล้าเลยให้ตายซี”

เดโชกระแอมอยู่ในคอ   ความรู้สึกไม่สู้ชอบขี้หน้าหมอคนนี้ ตั้งแต่แรกจางหายไปตั้งพะเรอ   “เล่นโอยั๊วะอย่างเดียวมันมิขมคอไปหน่อยหรือ   ขนมปังทาเนยไงล่ะพี่ชาย”

“ขอบคุณครับ   แต่ไอ้ผมมันไม่ชอบเสียด้วยพวก นมๆ เนยๆ   อย่างผมมันต้องของวูบวาบๆ ถึงจะถูกคอ   แฮ่ะ แฮ่ะ”

เดโชทำหูทวนลมกับคำพูดประโยคนั้นเสีย คล้ายกับว่าไม่เข้าใจความหมาย   เสถามไปว่า   “หลานชายที่พูดถึงน่ะ อยู่แถวนี้เหมือนกันหรือ   แล้วไหนว่าเคยขึ้นโรงพักบ่อยๆ ไงฉันไม่เคยเห็นหน้า”

“โอ๊ย หมวดจะเคยเห็นได้ไงคร้บ   มันย้ายสำมะโนครัวไปอยู่บางขวางตั้งเกือบปีมาแล้ว”

“อ้าว !”

“ไอ้ระยำ มันดันไปปล้นเขาเข้า   แถมยังจิ้มเอาเจ้าทรัพย์หวิดดับไป   เลยโดนเข้าห้าปีนี่แหละครับ   วันที่มันปล้นเขา อากาศก็ยังงี้แหละ   ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หัวค่ำ   พอสักสี่ทุ่ม ไอ้เปี๊ยกกับไอ้โจรห้าร้อย   พรรคพวกของอีกสองสามคนก็ย่องเข้าปล้น   เจ้าของบ้านกำลังหลับสบายเทียวครับ   มันปิดหน้าปิดตาราวกับโจรในหนังเสียด้วย   แต่ตำรวจเขาก็เด็ด พับผ่า   เขาตามรอยเท้ามันไปจนถึงบ้านจนได้ เลยรวบหมด สมน้ำหน้า ไอ้เวร”

เรื่องมันเกิดเร็วจนเกินไป   เดโชคิด   ถ้าหากว่ามันเกิดช้ากว่านั่นอีกสักปีเดียวเท่านั้น..... เสียงตาผอมช่างพูดยังคงพูดต่อไปว่า

“แต่ไอ้โจรที่ย่องปล้นตอนดึกนี่น่ะมันไม่ใช่โจรเก่งกาจอะไรนักหรอกครับ   มันบอกยี่ห้อว่าเป็นโจรหัดใหม่แท้ๆ ถึงต้องย่องเข้าเล่นงานเวลาคนเขาหลับ   ถ้าพวกโจรหัวกะทิจริงๆ แล้ว   โฮ้ย “หมวดครับ   กลางวันแสกๆ แท้ๆ มันยังเข้าปล้นกลางตลาดเย้ยจมูกตำรวจเสียนี่”

“ฮะ” เดโชร้องประท้วง   โมโหชักวิ่งขึ้นหน้าตะหงิดๆ   นายหยองกรอดคงจะรู้ที รีบกล่าวแก้ต่อไปว่า

“แต่ตำรวจเดี๋ยวนี้เขาไม่ยอมให้ผู้ร้ายเหยียบจมูกเล่นง่ายๆ เหมือนกัน   แฮ่ะ แฮ่ะ   เขาแกะรอยมันไปจนถึงถิ่นและรวบตัวมาได้เกือบหมดแน่ะครับ   พับผ่าซี โจรสมัยนี้มันกล้าเหลือหลาย   มันเล่นปล้นหมู่บ้านกันทั้งหมู่ๆ เทียวนาหมวด”

แกซดโอยั๊วะหยดสุดท้ายแล้วเลียปาก   ทำคล้ายจะพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด   หยุดไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงจับบทคุยต่อไปว่า

“ดูแต่เมื่อคราวที่มันปล้นทองกันกลางกรุงเมื่อเกือบสามปีที่แล้วมานี่ซีครับ   แดดออกแจ๋มันยังกล้าเข้าปล้นรถบรรทุกทอง   พาทองเชิดหนีไปได้ตั้งสามล้านบาทจำได้ไหมล่ะ   เอ หรือว่าตอนนั้นหมวดยัง.....”

เดโชเกลียดท่ายิ้มๆ ที่ตานั่นมองดูเขา   จึงรีบตอบเสียงขุ่นออกไปว่า   “จำได้ซี ทำไมฉันจะจำไม่ได้”

แกจะว่าเขาขี้ปดไม่ได้   เพราะเขายังจำเรื่องโจรที่อุกอาจปล้นทองกลางกรุงนั้นได้จริงๆ   แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้ละเอียดนัก   เพราะตอนนั้นเขาเป็นเพียงนักเรียนนายร้อยตำรวจปีที่สามเท่านั้น   ข่าวคืบหน้าต่อมาจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่รู้   และก็ดูเหมือนจะไม่มีทางรู้ได้เสียด้วย   เพราะไม่ปรากฏข่าวในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์อีก   ข่าวปล้นสดมภ์ร้ายๆ   ข่าวปฏิวัติ   ข่าวการหลุดกระเด็นจากเก้าอี้ของผู้ยิ่งใหญ่บางคน ที่ระเบิดตูมออกมาซ้อนๆ กัน   สามารถทำให้คนลืมเรื่องปล้นทองราคาสามล้านกลางกรุงไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายยิ่งนัก

“แฮ่ะ แฮ่ะ นั่นแหละครับ   ตำรวจติดตามกลับคืนมาได้ไม่ถึงสองล้าน   จับผู้ร้ายได้สองคน   เหลืออีกคนหนึ่งมันเลยพาทองอีกล้านกว่าเชิดหายเข้ากลีบเมฆไปเสีย   จนบัดนี้ก็ยังติดตามไปเอาคืนมาไม่ได้”

“ทำไมถึงรู้ว่ายังไม่ได้คืนมา”   เดโชถามอย่างไม่สู้พอใจนัก   มีอย่างหรือ พูดอย่างนี้มันเป็นการดูหมิ่นความสามารถของตำรวจชัดๆ นี่นา   แต่นายหยองกรอดไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา   แกกลับพูดอย่างขึงขังว่า

“รู้ซีครับ พิโธ่ ทำไมผมจะไม่รู้”   แกพูดชำเลืองมองดูรอบๆ แล้วจึงชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เขา   กระซิบว่า   “เพราะผมรู้ว่าขณะนี้ทองอีกล้านกว่านั่นน่ะอยู่ที่ไหน”

เดโชเกือบสะดุ้ง   รู้สึกไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเสียเลย   เขามองดูคู่สนทนาตาค้าง   ตาคนนี้แกพูดเล่นหรือพูดจริงกันนี่   ดูท่าทางแกบ๊องๆ ชอบกล

“หมวดจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตามใจเถอะ”   แกว่าอย่างไว้เหลี่ยม   “แต่ผมได้เห็นมันมากะลูกตาผมเองจริงๆ นะครับ เมื่อไม่ช้าไม่นานมานี่เอง   หมวดไม่เชื่อก็แล้วไปเถอะครับ   ฝนค่อยซาลงมากแล้ว   ผมเห็นจะต้องกลับบ้านกลับช่องเสียที”

“เดี๋ยวๆ”   เดโชร้องออกไปเมื่อเห็นแกขยับจะลุกขึ้น   “จะรีบร้อนไปไหนกันเล่าพี่ชาย   นั่งคุยกันก่อนซี”

“ขอตัวทีครับหมวด   ท้องผมมันชักจะร้องเต็มทีแล้ว”

“เออน่า   ถ้าหิวก็สั่งอะไรกินเสียหน่อยอั๊วเลี้ยงเอง   เอาอะไรล่ะ   ข้าวมันไก่ซักจานเป็นไง”

“ขอบคุณหมวดครับ”   นายนั่นยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว   “ถ้าหมวดจะกรุณา ผมขอไอ้นั่นสักก๊งมาอุ่นท้องก่อนดีกว่า   แฮ่ะ แฮ่ะ”

“เอาซี   อยากกินอะไรก็สั่งเอาเถอะ   แต่อย่าให้ถึงกับแผ่นดินหมุนก็แล้วกัน   ม่ายงั้นแทนที่จะได้กลับบ้าน ลื้อจะต้องไปโรงพักกับอั๊ว”

ขณะที่คอยให้คู่สนทนาลุกไปสั่งจีนขายของ   สมองของเดโชก็คิดวาดภาพต่างๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว   ถ้าเจ้าทองอีกล้านกว่านั้นยังคงอยู่จริงและเขาเป็นผู้ติดตามไปพบและนำมันกลับมาได้   โอ   มันคงจะเป็นชัยชนะที่น่าตื่นใจอะไรเช่นนั้น   ชื่อเสียงของเขาคงจะโด่งดัง   ทางราชการจะต้องยกย่องเขาว่าเป็นผู้มีความสามารถและกล้าหาญ   เดโชนึกเห็นเงาของดาวอีกดวงหนึ่งที่จะเพิ่มขึ้นบนอินธนูของเขาอยู่รำไร

“พูดถึงเรื่องทองนั่นอีกดีกว่า”   เดโชเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อนายนั่นกลับมาที่โต๊ะ   “พี่ชายมั่นใจหรือว่ามันยังอยู่ที่นั่นจริงๆ   ที่นั่นน่ะคือที่ไหนกัน   เขาเรียกตำบลอะไร เมืองอะไรกัน”

นายนั่นระบุชื่อจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยออกมาแล้วอธิบายต่อไปว่า   “แต่ทองไม่ได้อยู่ที่ตัวจังหวัดนะครับ   มันถูกซุกซ่อนไว้ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่ถึงสองร้อยคน   หมู่บ้านนั้นเขาเรียกกันว่า เมืองคนโม้ ครับ”

“เมืองคนโม้ ? เอ ชื่อเสียงชอบกล   ทำไมถึงได้ชื่อยังงั้นล่ะ   ไม่เห็นเคยได้ยิน”

“ที่ชื่อยังงั้นก็เพราะว่าคนในหมู่บ้านนั้นมันล้วนแล้วแต่โม้กันขนาดหนัก ทั้งนั้นน่ะซีครับหมวด”   นายนั่นบอก พลางรับแก้วที่อาแป๊ะเดินเอามาส่งให้พร้อมทั้งจานไก่ตอน   ยกขึ้นจ่อริมฝีปาก ดื่มอึกๆ รวดเดียวเข้าไปครึ่งแก้ว   ใช้ตะเกียบคีบไก่ใส่ปากตามเข้าไป   เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย   ดูท่าทางกะปรี้กะเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นอีกมากมาย   “คนกรุงเทพฯ ที่ว่าโม้ๆ ขนาดยอดแล้วยังสู้คนที่นั่นไม่ได้   คนที่นั่นโม้ขนาดสี่ดาวไม่มีหรอกครับ   มีแต่ขนาดเจ็ดหรือแปดดาวทั้งนั้นแหละ   เออ หมวดรู้จักนายตำรวจที่ชื่อ....” แกระบุชื่อนายตำรวจผู้หนึ่งซึ่งคนแทบทั้งประเทศรู้จักดีว่าเป็นนามของนายตำรวจมีชื่อเสียงในความเก่งกล้าสามารถผู้หนึ่ง   “ไหมครับ”

“รู้จัก” เดโชรับพลางมองดูผู้ถามอย่างสงสัย “ทำไมหรือ”

“คุณคนนี้แหละครับ จมูกแกไวดีพิลึก   แกดมกลิ่นทองตามไปจนถึงที่ซ่อนของมันทีเดียว   แต่แล้วแกกลับไม่ยักได้ทองคืนมา   โธ่หมวดอย่ามองผมแบบนี้หน่อยเลย   ผมไม่บังคับให้หมวดเชื่อผมหรอกครับ   หมวดจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามที   ผมจะเล่าให้หมวดฟังว่าเรื่องมันไปยังไงมายังไง   เพราะตอนนั้นผมก็อยู่ที่เมืองคนโม้นั่นด้วย”


“เมื่อสารวัตรคนเก่งท่านไปถึงที่นั่นนั้น ท่านไม่ได้แต่งตำรวจหรอกครับ   ท่านไปถึงแต่แรกท่านก็ไม่ได้บอกให้ใครๆ รู้ว่าท่านจะมาสืบเรื่องทอง   แต่เขาก็พอจะรู้กันอยู่เหมือนกันแหละว่าท่านมาทำไม   เพราะหลังจากที่ได้ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวอยู่วันสองวัน ท่านก็เริ่มคุยกับเด็กคนหนึ่งถึงเรื่องผู้ร้ายและการปล้นสดมภ์”

“ไง เจ้าหนู   แถวนี้มีขโมยขโจรบ้างไหม”   ท่านถามเด็ก   ท่านคงเชื่อภาษิตที่ว่าถ้าอยากรู้ความจริงละก็ให้ถามเด็กกระมังครับ   เจ้าหนูนั่นพอได้ยินคำถาม ก็ตอบออกมาทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาใช้ความคิดเลยสักวินาทีเดียวว่า

“โอ๊ะ เยอะแยะไปครับ”

“งั้นเทียวรึ” ท่านสารวัตรชักทึ่ง   เอชักจะได้เรื่องแฮะ   เกาะแกะหาร่องรอยกับเด็กนี่ออกจะไม่เลว   “ใครมั่งล่ะที่เป็นโจรน่ะ   หนูพอจะรู้จักบ้างไหม”

“มันเป็นกันเกือบจะทั้งหมู่บ้านแหละครับ” เด็กตอบ   “ที่นี่น่ะเขาเรียกว่าหมู่บ้านโจรสลัดไงครับ   ทุกคนเป็นโจรหมด นอกจากเด็กกับผู้หญิง   แต่เด็กผู้ชายอย่างผมโตขึ้นก็ท่าจะต้องเป็นโจรเหมือนกัน”

“เอ เป็นโจรเหมือนกันไปหมดทุกคนแล้วจะไปขโมยใครกันล่ะ”

“ก็ขโมยคนที่เมืองอื่นซีครับ” เด็กตอบหน้าตาเฉย

“แต่ทำไมไม่เห็นมีใครรวยสักคน”   สารวัตรว่า   “คนที่เป็นโจร ก็จะต้องรวย เงินมีทองแต่งตัวมากๆ ซี”

“โอ๊ยทองน่ะ มีกันมากๆ ทุกคนแหละครับ”   เด็กว่า   “แต่ที่มีมากที่สุดก็ต้องเจ้ายอดซีครับ   เจ้ายอดท้ายเมืองน่ะ มีทองเป็นหีบๆ ยังงี้เลย”   เด็กทำมือทำไม้ให้ดู เล่นเอาสารวัตรตาลุก   เออ ลูกไม้ปะเหลาะเด็กนี่ซักจะได้ผลละซี

“เจ้ายอดคนนี้ร่ำรวยนักหรือ”   สารวัตรซักถามเพื่อความแน่ใจ และเด็กก็ยืนยันอย่างแน่นแฟ้นด้วยการยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นชู บอกว่า

“ยังงี้เลยครับ   ทั้งหมู่บ้านยกให้แกเป็นหัวหน้าจอมสลัด   ไปถามใครๆ ดูเถอะ   เขาจะต้องบอกว่า เจ้ายอดรวยอย่างยอดเยี่ยมที่สุดทีเดียว”

เมื่อสารวัตรบอกความประสงค์กับเจ้าของบ้านที่ท่านพักอยู่ด้วย ขอให้พาไปที่บ้านเจ้ายอด   เจ้าของบ้านก็หัวเราะ   ถามด้วยความสงสัยว่า

“สารวัตรคิดว่าจะได้ร่องรอยอะไรที่นั่นหรือครับ”

“เอาเถอะน่า พาผมไปหน่อยก็แล้วกัน”   สารวัตรตัดบท   ผู้ใหญ่ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ   ฉวยผ้าขาวม้าได้ผืนหนึ่งพาดบ่า   แล้วก็ลงบันไดนำหน้าสารวัตร ซึ่งมีปืนพก บรรจุข้างเอวอย่างเตรียมพร้อม   และตำรวจนอกเครื่องแบบติดตามไปอีกสองคน

เดินกันไปอยู่นานกว่าจะถึงบ้าน “เจ้ายอด” หัวหน้าโจรสลัดใหญ่ท้ายบ้านที่ร่ำลือกันว่ารวยที่สุดในหมู่บ้าน   สารวัตรชักเอะใจที่มองเห็นเคหาสน์ของหัวหน้าโจรเป็นเพียงกระต๊อบสับปะรังเค โยเย้จวนจะพังอยู่แล้ว   เจ้าหมาขี้เรือนตัวหนึ่งวิ่งออกมารับหน้า ส่งเสียงเห่าแหลมๆ ต้อนรับ   ผู้ใหญ่บ้านเอ็ดหมาแล้วส่งเสียงร้องเรียก

“พี่ยอด พี่ยอด”

อีกไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้น     ที่ประตูกระต๊อบ นั้นเป็นร่างของชายชราแต่งกายด้วยกางเกงขาสั้นเก่าๆ ปุปะเพียงตัวเดียว   ผมของแกขาวเป็นดอกเลา   ตาข้างหนึ่งบอด มีแผ่นหนังปิดโยงรัดไว้กับศรีษะอย่างโจรสลัดในหนัง   ยิ่งกว่านั้นขาข้างซ้ายของแกยังด้วนแค่เข่า ต้องใช้ไม้ยันรักแร้ไว้   เมื่อสารวัตรเยี่ยมหน้าเข้าไปดูในกระต๊อบของแกอย่างเสียไม่ได้นั้นก็พบลังไม้ฉำฉาเก่าๆ บ้าง กระป๋องขนมปังเก่าๆ จนสนิมขึ้นบ้าง   แต่ละชิ้นล้วนแต่มีสีขาวๆ เขียนไว้บนฝาปิดว่า “ทอง” ทั้งนั้น   แต่เมื่อลองเปิดดูก็ไม่เห็นมีอะไร   บางหีบก็มีของกระจุกกระจิกที่หาราคามิได้   เช่น ตาปูเก่าๆ อับสังกะสีสนิมเขรอะ   แม้กระทั้งล้อรถของเล่นก็ยังมี.!

“เด็กเวร หลอกเอาได้”   สารวัตรบ่นพึมอย่างหัวเสีย ขณะที่บ่ายหน้ากลับมาจากรังของหัวหน้าโจรสลัด   เจ้าของบ้านหัวเราะเบาๆ อธิบายว่า

“จะว่าเด็กมันก็ไม่ได้ครับ   เพราะใครๆ ทั้งหมู่บ้านตั้งฉายาให้แกเช่นนั้นทั้งนั้น   ตายอดแกอยากเป็นผู้กล้าหาญครับ   ความจริงแกตาบอดขาด้วนยังงั้นมาเองตั้งแต่เกิด ก็เลยตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าโจรสลัด   เด็กๆ ชอบไปคุยกับแกให้แกเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง   แล้วก็เอาข้าวสารบ้าง เสื้อผ้าเก่าๆ บ้างไปให้แก   แกก็เล่าเรื่องโจรสลัดต่างๆ ที่แกเคยรู้เคยอ่านหนังสือมาให้ฟังเป็นการแลกเปลี่ยน   ไอ้ทองเป็นลังๆ หีบๆ น่ะ แกทำขึ้นเพื่อให้บรรยากาศมันดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นเท่านั้นเอง   เด็กๆ ชอบฟังแกเล่าเสียจนกระทั่งบางทีทึกทักเอาว่าเรื่องที่แกเล่าเป็นเรื่องจริงไปเลยครับ”

สารวัตรชักหัวเสีย   เจ้าทองกว่าล้านที่สายลับมือหนึ่งรายงานว่า ถูกนำเข้ามาซุกซ่อนในหมู่บ้านนี้   ดูท่าราวกับว่าจะหายสาบสูญ กลายเป็นอากาศธาตุไปได้อย่างน่าประหลาด   หรือว่ามันอาจถูกลำเลียงออกไปจากที่นี่บ้างแล้วโดยฝีมือของคนใดคนหนึ่ง   แต่เท่าที่สังเกตดูก็รู้สึกว่าชาวบ้านนี้ไม่ค่อยจะชอบออกเดินทางไปไหนๆ กันนัก   ต่างคนต่างอยู่บ้าน ทำมาหากินกันไปตามประสา   แต่... แน่ละ... คงจะต้องมีใครอย่างน้อยก็สักคนหนึ่งเป็นแน่ที่ชอบเดินทางไปยังที่อื่นบ่อยๆ

“น้องชายเคยไปเที่ยวบางกอกบ้างไหม”   นายตำรวจถามเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมาหาเจ้าของบ้าน อฃ   เด็กหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดีว่า

“ไม่เคยเลยครับ   แม่แกไม่ยอมให้ผมไป   แกกลัวผมจะไปคว้าเอาผู้หญิงบางกอกมาเป็นเมีย”

“ชาวบ้านหมู่นี้ไม่มีใครชอบไปเที่ยวบางกอกบ้างหรือ   ที่ไปบ่อยๆ น่ะมีบ้างหรือเปล่า”

“ที่ไปบ่อยๆ ก็นังสำลีซีครับ”   เป็นคำตอบกลั้วเสียงหัวเราะ   “นั่นเขาชอบเข้าไปอาดโฉมที่บางกอกบ่อยๆ   เขามักจะมาคุยว่าหนุ่มๆ ที่บางกอกงี้ ติดเขากันกรูเกรียว   ใครๆ เขารู้กันทั้งนั้นแหละครับ   เขาเรียกมันว่าดาราบางกอก   เรื่องอะไรๆ ที่บางกอกมันรู้ดีทั้งนั้น   เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนชื่อเป็นสำลีวรรณ แล้ว   มันบอกว่าอีกหน่อยมันจะแต่งงานกับคนบางกอก   ได้สินสอดทองหมั้นเป็นหีบๆ เทียวครับ”

ไม่ต้องสงสัย   คำว่า ทองเป็นหีบๆ สะดุดหูนายตำรวจเข้าปังเบ้อเร่อ   มันทำให้เขาต้องรีบระเห็จเหาะไปยังเคหะสถานของนางสาวสำลีวรรณโดยด่วน   แต่แล้ว รูปโฉมของนางสาวสำลีวรรณ ดาราบางกอก   เล่นเอาเขาสะอึกและเปิดหนีแทบไม่ทัน   ด้วยปรากฏว่านางสาวผู้นั้น มิได้มีสิ่งใดใกล้เคียงกับคำบอกเล่า ที่ได้รับมาสักเท่ากระผีกก้อย   เมื่อแรกที่ผู้นำทางชี้ให้ดูสาวนางหนึ่งซึ่งตัวดำเป็นสีสำลีเม็ดใน   ทั้งยังมีรูปทรงซึ่งเขากะว่าคงมีน้ำหนักไม่กว่าร้อยกิโล   แล้วบอกว่านั่นแหละนางสาวสำลีวรรณ   นายตำรวจแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง   แต่พอนางสาวผู้นั้นยิ้มกับเขาจนริมฝีปากแยกออกไป จนเกือบจะถึงใบหู   ซ้ำยังทำท่ากระวีกระวาดจะเดินเข้ามาหาอย่างเต็มใจต้อนรับขับสู้ด้วยแล้ว   สารวัตรหนุ่มจึงยอมล่าถอยออกมาโดยดี   มิคิดที่จะสืบหาข้อเท็จจริงที่นางสาวผู้นี้อีกต่อไปแล้ว

เจ้าของบ้านที่เขาพักอยู่นั้นให้คำอธิบายว่า   “นังสำลีนั่นมันรูปชั่วตัวดำเสียจนหนุ่มๆ พากันเบือนหน้า   มันเจ็บใจเลยเที่ยวคุยว่าน้ำหน้าอย่างหนุ่มบ้านนี้น่ะ มันไม่เอาหรอก     คนอย่างมันถ้าจะมีผัวทั้งทีมันต้องมีผัวเป็นหนุ่มบางกอก   มันบ้าถึงขนาดที่หนีเข้าไปนอนในป่า คนเดียวสองวันยังเคยนี่ครับ   แล้วกลับออกมาบอกว่าไปเที่ยวบางกอกมา   เรื่องคู่รักชาวบางกอกละก็นังนี่เป็นคุยฟุ้งไม่มีวันจบเทียวครับ   ใครๆ เขาเลยล้อมันว่าเป็นดาราบางกอก”

โดนเข้าสองครั้งสองครา สารวัตรชักอ่อนใจ   คนเมืองนี้มันเป็นยังไงชอบพูดเล่นไปหมดไม่เป็นเวล่ำเวลา   ลองดูอีกทีเถอะน่า   เขาเลือกได้ชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางซื่อสัตย์น่าไว้วางใจคนหนึ่ง และเลียบเคียงถามว่า

“นี่แน่ะ น้องชาย   เธอไม่อยากจะเข้าไปตั้งเนื้อตั้งตัวในเมืองหลวงกับเขาบ้างหรือ”

“อยากเหมือนกันแหละครับ”   ชายหนุ่มตอบ   “แต่เขาว่าค่าครองชีพในเมืองหลวงนั้นสูงนัก”

“นี่แน่ะ นายตำรวจเริ่มอ่อยเหยื่อ”   ฉันมีทางที่จะทำให้เงินมากพอที่จะเป็นทุนเข้าไปอยู่ในเมืองได้   ถ้าเธอจะช่วยฉันสืบหาทองที่ถูกปล้นมาพบ เธอก็จะได้สินบนนำจับที่รัฐบาลตั้งไว้”

“สินบน” ชายนั้นหัวเราะ   “ผมจะเอาสินบนทำไม ในเมื่อผมรู้อยู่แล้วว่าจะได้ทองเป็นหีบๆ จากที่ไหน”

“ทองเป็นหีบๆ เทียวเรอะ” สารวัตรร้องอย่างไม่เชื่อหู

“ทองเป็นหีบๆ น่ะซีครับ”   หนุ่มผู้นั้นว่า   “ตามผมมาซีครับ   ผมจะบอกให้ว่าจะไปเอาได้จากที่ไหน”

สารวัตรเดินตามชายผู้นั้นไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจนกระทั่งถึงท้ายหมู่บ้าน หัวหน้าโจรสลัดในราวสามเส้น   ชายหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนที่ปากสระกว้างแห่งหนึ่ง   ชี้ลงไปในสระแล้วบอกว่า

“ในนั้นแหละครับ มีทองเป็นหีบๆ เทียวละ”

เออ เรื่องราวมันก็เข้าเค้าดี   มีบ่อยๆ ไป ที่คนร้ายมักจะซ่อนทรัพย์สิ่งของที่โจรกรรมมาได้หรืออาวุธไว้ในบ่อ หรือสระให้พ้นจากสายตาตำรวจหรือนักสืบ   ทั้งสระนี้ก็อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ลับตาผู้คนดีเสียด้วย   จะกลับมางมขึ้นมาเมื่อไรก็สะดวกง่ายดายดีแท้   สารวัตรบงการให้ลูกน้องโดดลงงมหาในสระในวันนั้น

การงมหาทองในสระดำเนินไปเกือบตลอดวันโดยปราศจากผล   ไม่พบแม้แต่ทองสักเท่าหนวดกุ้ง   โผล่ขึ้นมาทีไรก็มีแต่ซากกะบุง ตระกร้า หรือกระชอนเก่าๆ ที่ชาวบ้านใชัตักใช้ช้อนปลาติดมือขึ้นมา   เพื่อให้แน่ใจ ตัวสารวัตรเองถึงกับเปลื้องเครื่องทรงเหลือแต่กางเกงเล็กตัวเดียวลงไปช่วยลูกน้องดำดูด้วย   แต่จนแล้วจนรอดก็หาพบทองที่สงสัยว่าจะถูกนำมาซ่อนอยู่นั้นไม่   นายตำรวจจำใจยอมแพ้   เมื่อกลับถึงถึงที่พัก เขาก็พบชายผู้นั้นกำลังนั่งคุยอยู่กับเจ้าของบ้านอย่างเบิกบานสำราญใจ

“พุทโธ่ น้องชาย   หลอกกันเล่นก็ได้”   เขาต่อว่ายิ้มๆ ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะตะบันหน้าเจ้าหมอนั่นให้สมรักนัก   หนอยแน่ะ หลอกให้เราไปดำน้ำจนหูตาแสบไปหมด   ที่แท้มันเอง กลับมานั่งหัวเราะพูดคุยอยู่เสียสนุกสนาน

“หลอกเรื่องอะไรครับ   ชายหนุ่มกลับย้อนถามด้วยหน้าซื่อเสียงซื่อเป็นที่สุด กวนโมโหแท้ๆ

“เรื่องอะไร   ก็เรื่องที่บอกว่ามีทองอยู่ในสระนั่นน่ะซี”

“อ๋อ”   ร้องเสียงยาวแล้วกลับทำหน้าเลิ่กลั่กถามว่า   “เอ๊ะ นี่คุณไปงมดูแล้วหรือครับ ปุ๊ทโธ่ ใช้วิธีงมเฉยๆ ไม่สำเร็จหรอกครับ   มันมีเคล็ด... ไม่เชื่อคุณถามลุงแกดูซี”

“ถามเรื่องอะไร”   เจ้าของบ้านทำท่างงเมื่อชายหนุ่มบอกว่า

“ฉันพาคุณท่านไปที่บ่อคัน   บอกให้ท่านรู้ว่าในนั้นแหละมีทองอยู่เป็นหีบๆ ทีเดียว

แกก็ร้องอ๋อ   ดึงผ้าขาวม้าที่พาดไหล่ลงมาฟาดเข่าตัวเองแล้วหัวเราะชอบใจ   “มันมีจริงๆ นาครับ เขาเชื่อถือกันมานานแล้ว   เขาเรียกกันว่าบ่อคัน   มีคำสาบไว้ว่า ถ้าใครอยากได้ทองในนั้นละก็ต้องทำตามเคล็ด   คือเอาคนไปตัดคอที่ปากบ่อให้หัวตกลงไปในนั้น แล้วน้ำจะแห้งลงไปให้เห็นทอง   บ่อคัน... ก็ บั่นคอไงล่ะครับ   ฮ่ะ ฮ่ะ”

สองคนหัวเราประสานเสียงกัน   นายตำรวจยืนทำตาปริบๆ   เจ้าของบ้านพูดพร้อมทั้งๆ ที่ยังคงหัวเราะอยู่ว่า

“ทองที่นี่เยอะแยะไปครับ   ผู้คนที่นี่ล้วนแต่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีกันทั้งนั้น   ไม่เชื่อคุณไปถามใครดูก็ได้ว่าใครจนบ้าง   ไม่มีหรอกครับทุกๆ คนจะบอกว่าเขาร่ำรวยมีเพชรมีทองเป็นหีบๆ ด้วยกันทั้งนั้น   ฮ่ะ ฮ่ะ”

“จริงครับ”   ชายหนุ่มลูกบ้านรับคำโดยไม่หยุดหัวเราะเหมือนกัน   “ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก   ทีบ้านผมก็มีทองเป็นหีบๆ เทียวครับ   ปีหน้านี่แหละผมจะไปขอผู้หญิงในเมือง   ให้ทองหมั้นหนักสักสองร้อยบาท   เครื่องเพชรอีกหีบหนึ่ง   ปลูกตึกให้อีกหลังหนึ่ง   อ้อ แล้วให้ทุนพ่อตาแม่ยายไปนอนกินที่นิคมคนแก่ให้สำราญไปด้วย   ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”   ตาเจ้าของบ้านเป็นลูกคู่รับกันต่อไปอีก   “ผมก็มีถมไปถึดไปทองน่ะ   เก็บไว้เป็นแท่งๆ ในหีบใต้เตียงที่สารวัตรนอนนั่นเอง   วันก่อนก็ยังให้คุณปลัดท่านเอาไปทับกระดาษเสียแท่งหนึ่ง   ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

สองคนหัวเราะประสานเสียงกันดังลั่นลงลูกคอเอิ๊กๆ อย่างชอบอกชอบใจ จนนายตำรวจอดอยู่ไม่ได้   ต้องพลอยหัวเราะตามไปบ้าง

“คนเมืองนี้มันพวกบ้าทั้งนั้น” เขาคิด

วันรุ่งขึ้น เมื่อสารวัตรและลูกน้องลงจากบ้านเพื่อเดินทางกลับพระนคร แล้วนั้น   ตาเจ้าของบ้านก็เข้าไปในห้องที่ให้แขกพัก   ลากหีบไม้เก่าๆ ที่วางอยู่ใต้เตียงออกมา   เปิดหีบขึ้น   ในหีบนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ซึ่งเป็นของเมียที่ตายไปแล้วของแก   กลิ่นยากันตัวสัตว์ฟุ้งเข้าจมูกจนฉุนกึก   ตานั่นค่อยๆ ยกผ้าออกทีละตั้งๆ จนหมด   แล้วก็ดึงแผ่นกระดาษแข็งๆ บุก้นหีบแผ่นใหม่ออกมา   ก้มหน้าลงมองดูก้นหีบ   ดวงตาเป็นประกายโรจน์และริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างมีชัย

เรียงรายอยู่เต็มก้นหีบไม้เก่าๆ ใบนั้น   คือทองคำเหลืองอร่าม ซึ่งกะประมาณราคาแล้วต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทแน่นอน..!


ตาหยองกรอดจบเรื่องราวของแกด้วยเหล้าหยดสุดท้าย   แล้วก็คีบไก่ชิ้นสุดท้ายส่งเข้าปากตามไป   เคี้ยวตุ้ยๆ จนหมดปาก   เมื่อกลืนมันเข้าไปในลำคอ แล้วก็ยิ้มร่าจนเห็นฟันซึ่งเหลืออยู่ไม่ครบสามสิบสองซี   บอกว่า

“วันนี้ หมวดได้บุญหลาย   ฝนหายแล้ว ลาละครับ”

แกบอกลาเอาดื้อๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมกับลุกขึ้น

“ฮ้า เดี๋ยวก่อนซี”   เดโชร้อง   “อะไรจะไปง่ายๆ ยังนั้น   เดี๋ยวก่อน ยังไปไม่ได้   ลื้อต้องบอกมาก่อนว่า เรื่องที่เล่ามานี่น่ะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า   และลื้อได้เห็นทองนั่นกับตาลื้อเองจริง ๆ หรือ”

“เมื่อสักครู่นี้ท้องผมหิว และตาผมลาย   ผมรู้สึกว่าในหัวสมองของผมนี่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเหลือเกิน   แต่มาบัดนี้ท้องของผมอิ่ม สมองผมก็เลยพลอยตื้อไปด้วย   ผมจำได้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น   ว่าตัวผมนี่มาจากเมืองคนโม้ ขอรับ   ผมขอบคุณในความมีใจกรุณาของผู้หมวดมาก   สวัสดี   ลาก่อนครับ”

แล้วกระทาชายนายหยองกรอดก็โค้งคำนับอย่างงาม   ก่อนที่จะรีบรุดก้าวเท้าออกไปจากร้านและหายลับไปในความมืดและผู้คนที่สัญจรไปมาภายนอก


( เคยลงในนิตยสาร ศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 419 ปีพ.ศ.2502 )