สุภาว์ ราชินีเรื่องสั้น | |
7 | ทายาทของยายพลอย |
15 | พรานติดแร้ว |
16 | วจีกรรม |
22 | กรรม |
28 | ในฝัน |
29 | แท้กซี่ |
30 | ยายบัว |
31 | ระหว่างกากับหงส์ |
34 | กรรมของสัตว์ |
35 | ชบาแดง |
36 | แดงเพลิง |
38 | เรื่องรักๆ |
39 | เคียงขวัญ |
40 | ผู้พิทักษ์ |
41 | ห้องดำ |
42 | เมืองคนโม้ |
43 | พระเอกของธารี |
44 | เพราะฉันรักเธอ |
45 | กำไล |
50 | กรรมใดใครก่อ |
หน้าที่
1/3 |
p>ฝนกลางฤดูตกกระหน่ำลงมาตั้งแต่ก่อนบ่ายสามโมง จนกระทั่งใกล้จะค่ำก็ยังไม่ยอมสร่างซา ยังคงตกเอา ตกเอาเหมือนดังจะตกลงมาให้หมดฟ้าเสียเลยในครั้งเดียว ถนนหนทางเจิ่งนองไปด้วยน้ำ เด็กนักเรียนพากันเดินกลับบ้านเป็นกลุ่มๆ สวมเสื้อฝนโปร่งใสสีสดลุยน้ำกันอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงหัวคิกคักอย่างชอบอกชอบใจเมื่อมีรถยนต์วิ่งฝ่าน้ำที่เจิ่งอยู่นั้นผ่านไป ทำให้น้ำพุ่งสาดซ่าเป็นแนวขาวกระจายไปตลอดทาง เป็นภาพที่แปลก น่าดู น่าขันและน่าสนุกพอใช้ แต่ทว่าถ้าหากจะมีใครสักคนหนึ่ง ที่มองดูภาพทั้งหลายที่เกิดขึ้นและผ่านไปในท้องถนนนั้น อย่างรำคาญและหงุดหงิด ไม่ถูกตาถูกใจไปเสียหมดละก็ ใครคนนั้นน่าจะได้แก่กระทาชายนายคนที่นั่งอยู่โดดเดี่ยวที่โต๊ะริมในสุดชิดฝาในร้านกาแฟลายครามของแป๊ะเต็งนั่นเอง เขาเป็นคนค่อนข้างจะผอม ผิวหยาบกร้านและแห้งเกรียมเป็นสีชาไม่ใส่นม ดวงตาหรี่เล็ก ตาขาวออกสีแดงอมเหลืองเรื่อซ่านอยู่ทั่วเบ้าตาโหลลึก และคิ้วดกหนาที่อยู่เกือบชิดตา ส่อลักษณะที่ไม่น่าเป็นที่ไว้วางใจของหมอนั่นออกมาอย่างประจักษ์ชัดแก่ตาผู้คน
เขานั่งชันขาขึ้นบนเก้าอี้ข้างหนึ่ง ตามองสอดส่าย ออกไปนอกร้านอย่างหงุดหงิดใกล้ๆ จะงุ่นง่าน นานๆ ก็กระแอมขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง แล้วก็ขากลงกับพื้นร้านเสียทีหนึ่ง พร้อมกับสบถถ้อยคำอันฟังไม่สู้เพราะหู ออกมาด้วยเสียงที่ไม่ค่อยนัก ถ้วยแก้วปลายบานเนื้อหนาสูงพอประมาณที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสองใบนั้น ใบหนึ่งว่างเปล่า แต่อีกใบหนึ่งมีน้ำสีชาเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งถ้วย นานๆ ทีเจ้าของจึงจะยกขึ้นจิบเสียอึกหนึ่ง ราวกับว่าเสียดายอาลัยอาวรณ์ในรสอร่อย เกรงจะหมดไปเสียโดยเร็ว
ลูกค้าจร ที่แออัดเข้ามาในร้านตอนที่ฝนเริ่มเทซู่ลงมานั้น บัดนี้ก็หมดความพยายามที่จะรออยู่ให้ฝนหาย พากันทยอยออกจากร้าน ฝ่าสายฝนที่ยังคงโปรยลงมาบางๆ กลับไปสู่เหย้าสู่เรือนจนเกือบหมดสิ้นแล้ว ยังมีเหลืออยู่เพียงโต๊ะเดียวทางหน้าร้าน เกือบชิดกับบาทวิถี ซึ่งผู้ที่นั่งล้อมรอบโต๊ะอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กหนุ่มคะนอง อายุยังไม่เข้าขั้นถูกเกณฑ์เป็นทหารด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนในกลุ่มคุยกันด้วยเสียงเอะอะครึกครื้นถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาสะใจ เรื่องหนัง เรื่องชกต่อย ตีรันฟันแทง เรื่องผู้หญิง แล้วบางทีก็มีการร้องขับและบรรเลงเพลงร้อคประกอบ มีเสียงตบมือและยักย้ายส่ายร่าง ทั้งๆ ที่ยังนั่งกันอยู่อย่างนั้นเป็นที่สนุกครื้นเครงยิ่ง และถ้าหากในขณะนั้นจะมีแม่ใจป้ำสักคนหนึ่งยอมลงเดินฝ่าสายฝนผ่านเข้ามาให้เห็น เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวนั้นก็จะเงียบเป็นปลิดทิ้ง จนกระทั่งเป้าสายตาเคลื่อนพ้นไปจากสายตาแล้วนั่นแหละ จึงจะปรากฏเสียงวิพากษ์วิจารณ์รูปโฉมของเป้าหมายนั้น กันอย่างถึงใจ เป็นการครึกโครมยิ่ง ด้วยถ้อยคำสำนวนที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางไวยากรณ์ไทยหากมาได้ยินเข้าแล้วก็แทบฆ่าตัวตาย และศัพท์แสงบรรดาเขาใช้กันนั้นเล่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำแผลงๆ ซึ่งถ้ากรรมการชำระพจนานุกรมไทย มาได้ยินเข้าคงต้องถึงกับลงนั่งกอดเข่าร้องไห้เป็นแน่ทีเดียว...
ฝนเกือบหาย เหล้าหยดสุดท้ายก็ลงคอไป มือผอมเกร็งกำลังกวาดถั่วลิสงคั่วที่เหลืออยู่ในจานกระเบื้องเล็กๆ ริมบิ่น เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาในร้าน เดินตรงมาที่โต๊ะริมในสุดแล้วก็เดินดิ่งเข้าไปนั่ง
“ถุย” เป็นพยางค์แรกที่เจ้าของโต๊ะพ่นออกมาต้อนรับผู้มาใหม่ “เสือกปล่อยให้รอเสียเหน็บชาแทบกินตาย....ฮ่ะ...”
“โธ่ พี่” แม่หญิงพูดด้วยคำที่แสดงการวิงวอนขอร้อง ทั้งๆ ที่น้ำเสียงและหน้าตาท่าทางของหล่อนหาได้ตรงตามนั้นไม่ “ก็งานมันเสร็จเสียเมื่อไหร่ล่ะ ทำกับข้าวกับปลาเสร็จแล้วก็รีบออกมานี่แหละ แล้วฝนก็ตกลงมาเหมือนกับฟ้ารั่ว จะให้วิ่งฝ่าฝนมายังไง ทางมันใกล้ๆ แค่ก้าวสองก้าวเมื่อไหร่ล่ะ”
“เออ” ผู้ที่หล่อนเรียกพี่กระโชกออกมา “อย่าพูดร่ำไรไปเลย ไหนวะเงิน ได้มามั่งไหมล่ะ” นี่ข้ามาดั่งแดกเหล้าคอยแกอยู่นี่ยังไม่มีอัฐจะให้มันซักเก๊เดียว”
“ถ้าฉันไม่ออกมาล่ะจะทำยังไง มิถูกเจ้าเต็งมันเรียกตำรวจมาลากคอไปเรอะ” แม่หญิงพูด ทำหน้าคว่ำ พอพูดจบ หล่อนก็ถูกตลาดเสียงขุ่นว่า
“อุบ๊ะ กูบอกว่าอย่าพูดมาก นังนี่จะวอนเสียแล้ว แกมันไม่มีสิทธจะมาสั่งสอนข้า เพราะแกไม่ใช่แม่ข้า แต่แม่ของข้าแท้ๆ ข้ายังไม่ยอมให้มาจ้ำจี้จ้ำไชพูดยังงั้นยังงี้ ถ้าขืนพูดไม่เชื่อจะเจ็บตัว ไหนล่ะเงิน ได้มาเท่าไหร่”
“ได้มาสิบบาทเท่านั้นแหละ” แม่หญิงทำหน้าคว่ำ ล้วงมือไปใต้เข็มขัดที่คาดเอวและใช้ชายผ้าซิ่นตลบเหน็บไว้นั้น ดึงเอาธนบัตรสีน้ำตาลอ่อนยู่ยี่ใบหนึ่งออกมาโยนลงบนโต๊ะ คู่สนทนาของหล่อนเอื้อมมือมาตะครุบเอาไปโดยเร็ว ปากก็พ่นออกมาว่า
“สิบบาทเท่านั้นเองรึ กูจะเอาไปยาไส้อะไร แดกเหล้าได้เพียงไม่กี่อึกก็จะหมดเสียแล้ว”
“ก็จะให้ฉันไปเอาที่ไหนมาได้มากๆ เล่าฉันยังไม่ได้พบขุมเงินขุมทองนี่นา จะได้กอบโกยเอามาให้พี่ได้ทีละถุงสองถุง”
“หนอย พูดมาก นังนี่จะวอนเสียแล้ว ทำปากกล้ากับข้าไม่ได้เทียวนะแก ข้าจะบอกไว้ให้รู้ ห่างมือห่างตีนไปนานเลยชักจะกำเริบ”
“ก็จริงๆ นี่นา” แม่หญิงไม่ยอมลดรา ใบหน้าของหล่อนงอง้ำขณะที่เถียง “ตั้งแต่พี่ออกมานี่ฉันเบิกล่วงหน้านายเขามาจนเกือบจะเกินเงินเดือนอยู่แล้ว แล้วนี่ยังอยู่อีกตั้งสิบกว่าวันกว่าจะสิ้นเดือน เงินเดือนของฉันเหลืออีกไม่กี่บาท พี่ก็มาเรียกเอาทุกวันๆ ฉันจะเอาจากไหนมาให้พี่หวาดไหว”
“ก็ขอที่นายจ้างของแกซีเว้ย พูดมากกวนโมโหกูจริง พับผ่า”
“ขอมากๆ ใครเขาจะให้ นี่มาหมู่นี้ยังบ่นว่าทำไมฉันถึงเบิกเงินล่วงหน้าบ่อยนัก”
“อุวะ แล้วมันเรื่องอะไรของนายจ้างหว่า ตัวจ้างเขาทำงานแล้วก็ต้องมีหน้าที่จ่ายให้เขาซี มาซอกแซกบ่นหาสวรรค์อะไร ถ้าข้าเป็นแกข้าไม่ยักจะงมโง่ดักดาน ทำงานบ้าๆ ตัวเป็นเกลียวหลังขดหลังแข็งอย่างนี้หรอก ผ่าวะ”
“ถ้าฉันไม่ทำงานแล้วพี่จะเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อเหล้ากินล่ะ มิต้องเที่ยวจี้เขาให้เขาลากคอเข้ากรงไปอีกเรอะ หรืออยาก... ฉันจะได้ลาออกจากงานเสีย”
“ชะ ชะ นังนี่โวหาร เดี๋ยวโดนตีนหรอก ถุย.. หน้าโง่แล้วยังจะมาทำอวดดีหัวแข็ง เพราะแกมันโง่ยังงี้น่ะซี ถึงต้องทำงานเป็นขี้ข้าเขามือไม่แห้ง”
“ก็คนอย่างฉันจะมีปัญญาไปทำอะไรกิน ถ้าไม่เป็นลูกจ้างเขาละก็ จะคอยให้พี่หาเลี้ยงละก็มีหวังอดตายเท่านั้น ประเดี๋ยว ๆ พี่ก็ติดตะรางเสียที พี่ไม่เป็นไรซี ถึงยังไงในตะรางก็มีข้าวให้พี่กิน พี่จะมาเดือนร้อนอะไรกับฉันล่ะ”
“บ๊ะ อีนี่ปากเสีย ห้ามไม่หยุดเรอะ แกโง่ดักดานแล้วยังจะมาทำจองหอง ขืนฝากชีวิตไว้กับอีเงินเดือนร้อยสองร้อยแค่นี้ก็ดักดานไป.ตลอดชาติละแก”
“ก็พี่จะให้ฉันทำยังไงล่ะ บอกมาซี หนทางร่ำรวยเป็นเศรษฐีไม่ต้องมานั่งทำงานน่ะ ฉันก็อยากเป็นเศรษฐี เหมือนกัน แค่ไม่รู้จักวิธีเท่านั้น”
“แกก็หัดหาลำไพ่เสียบ้างซีวะ ไอ้ค่ากับข้าวที่เขาให้มาจ่ายน่ะคิดเกินราคาที่ซื้อมาซี” อาจารย์แนะนำ “หรือถ้าเขาจำกัดราคามาก็ซื้ออย่าให้มันถึง เอาไอ้ที่เหลือเก็บไว้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาของเราบ้างซี”
“ฉันมีโอกาสได้หาลำไพ่ที่ไหนกันล่ะ กับข้าวก็ไม่ได้จ่าย นายจ้างของฉันเขาจ่ายมาเสร็จตอนเขากลับจากทำงาน เวลาซื้อของกระจุกกระจิกนิดๆ หน่อยๆ เขาก็ไม่ได้มอบเงินไว้ให้ฉัน เขาให้ไว้กับยายแก่คนเลี้ยงของเขา แล้วฉันจะมีโอกาสที่ไหนไปยักยอก”
“ให้ตาย มันช่างกระดูกขัดมันจริงๆ เทียวนะ นายจ้างของแกคนนี้ ขนาดนี้แล้วแกยังจะดักดานอยู่กับมันด๊าย”
“ฉันไม่รู้จะไปหางานที่ไหนได้นี่นา แล้วที่นี่งานก็ไม่หนักหนาอะไร ซักรีดนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ทำกับข้าวง่ายๆ เพียงสองมื้อ นายจ้างเขาก็ไม่จู้จี้อะไร ถ้าย้ายไปที่อื่นแล้วเจอกระดูกจริงๆ เข้าฉันก็คงทนอยู่ไม่ไหว”
“แต่ข้าน่ะเห็นว่ากะอีเงินเดือนไม่กี่อัฐฬสยังงี้ เราเป็นไม่มีวันได้ลืมหน้า อ้าปากกับเขาได้แน่ๆ เป็นความจริง ผ่าวะ แกต้องรู้จักหัดมือไวเสียบ้างซิวะ ข้าวของอะไรที่มันพอจะหยิบฉวยมาเปลี่ยนเป็นเงินได้บ้างก็หยิบติดไม้ติดมือมาบ้างซีแก”
“นี่ พี่อย่าหาตะรางมาครอบหัวฉันอีกคนหนึ่งเลย” แม่หญิงร้อง “ของในบ้านเขาหายไปเขาจะไม่รู้เทียวเรอะ”
“แกอย่าทำโง่ไปหน่อยเลย ไอ้เรื่องที่จะริมือไวน่ะ มันต้องไวให้ได้จริงๆ อย่าให้เขาจับได้ แล้วก็เมื่อเขาจับไม่ได้คามือแล้ว เขาจะเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำว่าเราเป็นคนขโมยของของเขาล่ะหือ”
พูดจบแล้วผู้พูดก็หัวเราะเอิ้กอ้ากด้วยความชื่นชมในความคิดอันหลักแหลมของตัวเอง แต่ดูเหมือนแม่หญิงจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก หล่อนขมวดคิ้วนิ่วหน้าแย้งว่า
“ทำไมเขาจะไม่สงสัยฉัน ถ้าของของเขาเกิดหายขึ้นมา เขาก็ต้องรู้ได้ทันทีว่าฉันเป็นคนขโมย เพราะไม่มีใครอีกแล้ว ยายแก่นั้นแกก็ซื่อสัตย์ออกจะตาย แกเป็นคนเก่าคนแก่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เฝ้าแหนดูแลทรัพย์สมบัติข้าวของให้ราวกับปู่โสมเฝ้าทรัพย์”
“ถ้างั้นพอเอาแล้วก็ต้องเปิดหนีเลยซีเว้ย แต่ต้องเลือกเอาไอ้ของที่มันคุ้มค่าและเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่ายๆ หน่อย อย่างเช่น พวกแก้วแหวนเงินทองหรือสายสร้อยนาฬิกาอะไรพวกนั้น พอจิกมาได้ก็รีบเอามาให้ข้า แล้วข้าจะเอาไปจัดการเอง ที่นี้ถึงเขาจะเอาตำรวจตามมาจับแก ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างมากก็จะเอาไปขังไว้สำหรับทำการสอบสวนเพียงวันสองวัน แล้วก็ต้องปล่อย ของกลางไม่มี เขาจะหลักฐานที่ไหนมาปรักปรำเอาแกเข้าตะราง เหอ เหอ”
“ว่าแต่เขาจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี ไอ้แก้วแหวนเงินทองที่พี่ว่ามานั่นน่ะ” แม่สาวว่า “ฉันไม่เคยเห็นเขาใช้สักที นอกจากนาฬิกาข้อมือเรือนเดียว เขาก็ใส่ติดอยู่เป็นประจำ”
“ฮ้อ” คู่สนทนาของหล่อนร้องออกมาอย่างอารมณ์เสีย “คนอย่างแกนี่มันสมควรที่จะเป็นขี้ข้าเขาจริงๆ ให้ตาย ข้าไม่นึกเลยว่าข้าจะไปคว้าเอาคนโง่ๆ อย่างนี้มาเป็นเมีย ผ่าวะ ตอนนั้นท่าข้ามันคงกำลังเมา หัวราน้ำจนไม่ได้สติเป็นแน่ เอายังงี้เถอะ ทั้งหมดนี้ แกปล่อยเอาไว้ให้เป็นธุระของข้า ขัาจะจัดการเอง”
“จัดการ” แม่สาวทวนคำอย่างฉงนสนเท่ห์ “พี่จะจัดการกับใคร แล้วจะจัดการยังไง บอกให้ฉันรู้บ้างซี”
“เออน่ะ ข้าจะจัดการยังไงนั้นมันเรื่องของข้า แกเฉยๆ ไว้ก็แล้วกัน เฉยไว้แล้วดีเอง คอยทำตามที่ข้าสั่งเท่านั้นเป็นพอ”
“ก็ถ้าฉันไม่รู้เรื่องแล้วฉันจะทำตามพี่ยังไงถูกล่ะ”
“ถูกซี อุบ๊ะ บอกว่าอย่าซักถามจู้จึ้ ข้าไม่ค่อยชอบนะเว้ย เรื่องซักถามจู้จึ้ พูดกันดีๆ บอกกันคำเดียวละก็เชื่อกันบ้างซี นี่แน่ะ นายจ้างของแกน่ะ กลับบ้านซักกี่โมงวะ”
“ตามธรรมดาที่เห็นกลับอยู่ทุกวันก็ในราวสี่โมงกว่าๆ นี่แหละ บางทีก็ห้าโมง”
“กลับกับใคร”
“ก็เห็นกลับคนเดียวนี่ ลูกสองคนมีรถขอโรงเรียนมารับส่งที่ปากซอยไม่ได้มาด้วยกัน”
“เขาเคยกลับค่ำๆ มืดๆ บ้างไหม”
“ก็เคยเหมือนกันแหละ พี่ถามทำไม”
“บ๊ะ ตอบคำถามของข้า แกไม่มีสิทธิจะมาย้อนถาม ข้าบอกแล้วไงไม่จำเรอะ นั่งเฉยๆ ถ้าข้าไม่ถามก็แค่ฟัง และเมื่อข้าถามแกก็ตอบ เท่านั้นเป็นสวย เข้าใจไหม รึว่ายังไม่เข้าใจ ข้าจะได้หาวิธีที่จะทำให้แกเข้าใจให้ได้”
“ฮึ” แม่สาวสะบัดหน้า อย่างขุ่นเคือง “เอะอะอะไรก็จะลงมือลงตีนกันเสียเรื่อย จะถามอะไรก็ถามมาเถอะ แล้วฉันจะได้รีบกลับ เดี๋ยวเขาจะสงสัยว่าฉันหายไปไหนนาน ยายแก่นั่นแกขี้บ่นเสียด้วย แกบ่นทีละก็ไม่มีจบง่ายๆ บางทีบ่นข้ามวันข้ามคืนยังมี รำคาญจะตาย”
“เออ ถ้างั้นก็ตอบมาซีว่าที่นายจ้างของแกเขากลับบ้านค่ำๆ มืดๆ น่ะเขาไปทำอะไร”
“เขาก็คงมีธุระของเขาน่ะซี พี่ถามทำไม”
“ธุระเกี่ยวกับการเงินการทองมีบ้างไหม”
“ฉันจะไปรู้เขารึ เขาไม่ได้มาบอกฉันนี่”
“แล้วเวลาที่เขากลับค่ำๆ น่ะ เขากลับคนเดียวหรือมีใครมาด้วย”
“ก็เคยเห็นกลับคนเดียว ไม่เห็นมีใครมาด้วยนี่” แม่หญิงตอบแล้วก็ระเบิดความสงสัยที่อดกลั้นไว้ออกมาว่า “นี่ ถามจริงๆ เถอะ พี่คิดจะวางแผนการอะไรงั้นรึ บอกฉันบ้างไม่ได้หรือไง”
“บอกก็ได้ แต่ยังไม่ใช่เดี๋ยวนี้” เจ้าผู้ชายพูดอย่างวางท่า “เอาไว้ถึงเวลาแล้วแกจะรู้ ข้าไม่ไว้ใจแก บอกตรงๆ แกเซ่อซ่าประเดี๋ยวจะทำไก่ตื่นเสียก่อน”
“ถึงยังไงฉันก็ไม่เห็นใครดีเกินกว่าพี่หรอก บอกมาเถอะพี่ เผื่อยังไงจะได้ช่วยเหลือบ้างคนละไม้ละมือ”
“บ๊ะ เซ้าซี้จริงเว้ย นังนี่ ข้าบอกให้เฉยก็เฉยไว้ซี ประเดี๋ยวพ่อ ด..... ถ้าอยากช่วยละก็คอยมองๆ ฟังๆ ไว้ก็แล้วกันว่าเมื่อไหร่นายจ้างของแกเขาจะกลับค่ำ แล้วเอามาบอกข้า แค่นี้พอจะทำได้ไม่ใช่เรอะ”
“ก็พอได้ เพราะถ้าวันไหน เขากลับค่ำก็มักจะบอกกับยายแก่แกไว้เสมอ แกจะได้ไม่เป็นห่วง”
“ดีแล้ว ถ้ารู้ละก็รีบมาบอกข้าเทียวนะ ยิ่งถ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทองหรือไม่อย่างนั้น แกพยายามซักถามเอารายละเอียดมาให้ดีไหมล่ะ ว่าเขาจะกลับค่ำมืดด้วยเรื่องอะไร ข้าจะได้ไม่เสียเวลาเปล่า”
“ถ้าพอทำได้ก็จะทำ แต่อย่าเอาแน่นักนะ” แม่หญิงตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “ของพรรค์นี้มันต้องแล้วแต่ว่าโอกาสจะมีหรือไม่มี” แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นยืน “ฉันกลับละ แล้วพี่อย่าใช้เงินเปลืองนักซี ฉันไม่มีให้อีกแล้วนะ จะบอกให้”
“เออน่า” หล่อนถูกตวาดอย่างขุ่นเคืองพร้อมกับผู้พูดก็ขยับแขน ขยับขาประกอบคำพูด ทำให้หล่อนต้องรีบถอยออกมาโดยเร็ว แม้กระนั้นยังได้ยินเสียงพ่นผรุสวาทตามหลังออกมาว่า “นังนี่มันจะวอนหรือยังไง ชะ ช้า อวดจะมาทำสั่งสอนเป็นแม่ข้า แม้แต่แม่ข้ายังสั่งสอนข้าไม่ได้นี่หว่า”
เมื่อพรรณนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวในเช้าวันนั้น ลูกสาวคนโตของเธอก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“แม่ขา ไหนวันนี้แม่บอกว่าจะเอาค่าเล่าเรียนให้หนูไปให้ครูยังไงเล่าคะ”
“ค่าโรงเรียนของหนูด้วยค่ะ” ลูกคนเล็กร้องขึ้นมาบ้างพร้อมกับเอาช้อนเคาะปากชามดังแป๊งๆ เป็นการเรียกร้องให้มารดาสนใจในคำพูดของตน พรรณต้องจับมือแกไว้ แล้วบอกว่า
“อย่าทำยังงี้ค่ะลูก เสียงดังหนวกหูออก แล้วชามก็จะบิ่นหรือแตก” แล้วเธอจึงหันไปพูดกับลูกคนโตว่า “ต้องพรุ่งนี้จ๊ะลูก เย็นนี้เลิกงานแล้วแม่จึงจะแวะไปเอาเงินที่คุณลุง”
“ทำไมคะแม่” ลูกสาวเอียงคอถาม “แม่จะไปขอเงินที่คุณลุงหรือคะ แม่ไม่มีเงินของแม่เองหรือคะ”
“เงินของแม่เองซีจ๊ะ แต่แม่ฝากคุณลุงไว้ทำผลประโยชน์ แม่ไม่ชอบเก็บเงินไว้กับตัวแม่เอง เพราะแม่เป็นผู้หญิง ฉวยผู้ร้ายรู้แกวมาจี้เอาไปละก็แย่เลย แม่ไม่มีกำลังไปต่อสู้กับมันหรอกจ้ะ”
“อ้อ คุณลุงเป็นผู้ชาย คุณลุงสู้ผู้ร้ายไหว” ยายคนเล็กพยักหน้าหงึกๆ แสดงอาการเข้าใจและรับรู้ แล้วก็ปรารภต่อไปว่า “นี่ถ้าพ่ออยู่แม่ก็ไม่ต้องเอาเงินไปฝากคุณลุงซีนะคะ พ่อก็เป็นผู้ชายเหมือนคุณลุงเหมือนกัน พ่อสู้ผู้ร้ายไหว เออ แม่ขา แล้วเมื่อไหร่พ่อจะกลับมาบ้านเสียทีเล่าคะ พ่อไปจากบ้านตั้งน้านนานแล้ว”
คำปรารภแกมถามของแม่หนูน้อยยังไม่ทันจะได้รับคำตอบจากมารดา พี่สาวของแกก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า
“ถ้างั้นวันนี้แม่ก็กลับบ้านค่ำน่ะซีคะ แม่ขา”
“ก็คงจะต้องค่ำหน่อยจ้ะ” พรรณตอบ “เดี๋ยวหนูช่วยบอกป้าเนียนเสียด้วยนะจ๊ะว่าวันนี้แม่จะกลับบ้านค่ำ แกจะได้ไม่เป็นห่วง”
“วันนี้คุณจะกลับบ้านค่ำหรือคะ” แม่สาวใช้ที่กำลังนั่งขัดรองเท้าอยู่หน้าประตูห้องถามขึ้น พรรณมองดูหล่อน ไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนจึงต้องทำเสียงตื่นเต้นโดยไม่จำเป็นเช่นนั้น แต่เธอก็พยักหน้า บอกว่า
“คิดว่ายังงั้นแหละ แล้วช่วยบอกป้าเนียนแกด้วยนะ แล้วเราก็อย่าไปไหนเสีย อยู่ช่วยป้าเนียนแกเฝ้าบ้านดูแลเด็กบ้าง”
ลุกจากโต๊ะอาหารออกมาสวมรองเท้าที่ด้านนอก พรรณอดมิได้ที่จะมองดูภาพถ่ายครึ่งตัว.ขนาดใหญ่ของพิทักษ์ สามีสุดที่รัก ซึ่งแขวนไว้กึ่งกลางฝาห้อง เหนือโต๊ะเล็กยาวที่มีผ้าปักด้วยฝีมือของลูกสาวคนโต มีแจกันปัดดอกเบญจมาศประดับ พิทักษ์มองตอบเธอลงมา จากฝาห้องเหนือพุ่มดอกไม้เหลืองอร่ามนั้น ยิ้มน้อยๆ ด้วยริมฝีปากที่สวยงามได้รูปของเขา เหมือนอย่างที่เธอจำได้ มัน เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ความสงสาร และให้ความอบอุ่นแก่หัวใจยิ่งนัก
วันนั้น กว่าจะมาลงรถที่ปากซอยก็ค่ำมืดแล้วดังที่พรรณคาดคะเนไว้ พอรถประจำทางที่เธอโดยสารมาแล่นเลยไปแล้ว รอบๆ ตัวก็ดูเหมือนจะมืดมิดลงไปในฉับพลัน คืนนี้ป็นคืนเดือนมืดเสียด้วย ถนนหนทางมองแทบไม่เห็น พรรณนึกโมโหตัวเองที่มิได้นึกให้รอบคอบ หยิบเอาไฟฉายขนาดเล็กติดออกมาด้วยตอนที่ออกมาจากบ้าน เธอเดินเร็วๆ ไปตามถนนโรยดินลูกรังปนหินเล็กๆ แก๊กๆ เสียงรองเท้าของเธอดังกระทบถนนเบาๆ แต่ก็รู้สึกว่ามันดังกึกก้องพอดู เดินลึกจากปากซอยเข้ามาไม่เท่าไร พรรณก็รู้สึกคล้ายๆ กับว่ามีใครคนหนึ่งเดินตามเธอมาด้วย พรรณเหลียวไปดู แสงไฟจากบ้านที่ปลูกอยู่แถวนั้นส่องแสงสลัว มองเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ไม่เห็นหน้าถนัดว่าเป็นใคร กำลังเดินตามเธอมาช้า ๆ
คงจะเป็นคนที่อยู่ในซอยนี้นั่นแหละ พรรณคิด ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปได้ อีกสักครู่ก็หันกลับไปมองดูอีก ผู้ชายคนนั้นยังคงเดินตามหลังเธออยู่ พรรณชักใจคอไม่ดี ความจริงเธอเคยกลับบ้านค่ำมืดบ่อยๆ และเมื่อเดินเข้าซอย ก็เคยมีคนเดินตามหลังมา มันเป็นเรื่องธรรมดา และเธอก็รู้สึกเฉยๆ แต่คืนนี้เงินค่าเทอมของลูกสองคนนอนอยู่ในกระเป๋าของเธอ ทำให้ใจคอของเธอผิดปรกติไป อีกไม่เท่าไรก็จะถึงบ้านอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะถึงบ้านของเธอนั้น มีอยู่ตอนหนึ่งที่ถนนเปลี่ยว เพราะสองข้างทางยังไม่มีบ้านใครมาปลูกอยู่ มีแต่กอมะขามเทศขึ้นอยู่ห่างๆ กัน หญ้าขึ้นรก เมื่อนึกถึงที่เปลี่ยวนี้แล้ว พรรณยิ่งนึกเจ็บใจตัวเองยิ่งขึ้นที่มิได้หยิบเอาไฟฉายติดมือมา ถ้าเธอมีไฟฉายและถ้าหาก...ถ้าหากผู้ชายคนที่เดินตามเธอมาตลอดนั่นจะคิดมิดีมิร้ายต่อเธอ อย่างน้อยๆ ก็ยังจะได้ใช้ไฟฉายเป็นอาวุธต่อสู้ได้บ้าง แต่ ... ฮื้อเขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เธอกลัวก็เป็นได้ เธอหวาดระแวงไปเอง ทุกครั้งที่เคยกลับค่ำๆ ก็ไม่เห็นเคยรู้สึกอะไร แต่เห็นจะเป็นด้วยวันนี้เธอพกเงินเป็นจำนวนมากมานั่นเอง เธอจึงคิดหวาดระแวงไป
พรรณก้มหน้าก้มตาเดินพลาง เหลียวหลังไปมองพลางจนกระทั่งถึงบ้าน ชายคนนั้นก็ยังคงเดินช้าๆ ตามเธอมาเรื่อย ไม่แสดงกิริยาผิดปรกติอย่างไร พรรณรู้สึกโล่งใจจนบอกไม่ถูกเมื่อใส่กลอนประตูหน้าบ้าน
“ทานข้าวกันแล้วหรือลูก พรรณถามเมื่อเข้ามาในห้องที่เด็กกำลังทำการบ้านกันอยู่ แล้วที่ปลายโต๊ะอีกด้านหนึ่ง อาหารเย็นของเธอตั้งรออยู่ มีฝาชีลวดครอบไว้กันตัวแมลงจะตกลงไป
“ทานแล้วคะ ตั้งแต่เย็น” คนโตตอบ
“ถ้างั้นไปเรียกคนให้เขาเอาจานมาใส่ขนมทีจ้ะ แม่ซื้อมาฝากลูก”
“หนูไปเอง หนูไปเอง” ยายคนเล็กรีบพูดเอาหน้าแล้ววิ่งตึงๆ ไปทางหลังบ้าน สักครู่ก็กลับเข้ามา มีแม่สาวใช้เดินถือจานทำหน้าตาแปลกพิกลตามหลังมาด้วย ยายคนโตไม่สู้จะสนใจกับขนมเท่าไรนัก แกเข้ามาเกาะแขนพรรณแล้วถามว่า
“แม่ขา แม่เอาเงินที่คุณลุงมาให้ค่าเล่าเรียนของหนูแล้วหรือยังคะ”
“เอามาแล้วลูก อยู่ในกระเป๋านี่” เธอตอบลูกสาวพร้อมกับตบกระเป๋าถือเบาๆ เป็นการประกอบคำพูด รู้สึกแปลกใจที่แม่สาวร้อง “เอ๊ะ” ออกมาพร้อมกับมองดูหน้าเธออย่างฉงนสนเท่ห์เป็นล้นพ้น
“มีเรื่องอะไรหรือ” เธอถาม แม่นั่นหลบตาลง อึกอักตอบว่า
“เปล่าค่ะ”
พรรณขมวดคิ้วมองดูหล่อนด้วยความแปลกใจ แต่มิได้พูดว่ากระไรต่อไป เธอลุกมาเข้าห้องเก็บกระเป๋าเข้าตู้ใส่กุญแจ และเอาลูกกุญแจเก็บซ่อนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนที่จะออกไปรับประทานอาหาร
เกือบสี่ทุม พรรณจึงได้ทำงานกระจุกกระจิกที่เธอถือเป็นกิจวัตรประจำวันเสร็จเรียบร้อย ออกไปพบพิทักษ์ที่ห้องนอกเสียก่อนตามเคย แล้วจึงได้กลับมาเข้ามุ้ง แล้วก็หลับอย่างสบายใจจนกระทั่งเช้า
แต่พรรณหารู้ไม่ว่า ขณะที่เธอกำลังสวดมนต์ทำใจให้สงบก่อนนอนนั้น แม่สาวใช้ของเธอหาได้นอนหลับสบายอยู่ในมุ้งอย่างที่เธอคิดไม่ แม่นั่นกำลังหมกตัวอยู่ที่มุมห้องสับปะรังเคแห่งหนึ่ง ตรงหน้าของหล่อนคือชายร่างเกร็งหน้าเหี้ยมคนนั้น
“ไหนเอ็งว่านายของเอ็งกลับบ้านคนเดียวล่ะ” เสียงขุ่นเขียวกระโชกโฮกฮากแสดงว่ากำลังมีอารมณ์ไม่ดีเกือบจะสุดขีด
“ก็ ก็ ฉันเคยเห็นแกกลับคนเดียวเสมอนี่พี่” หล่อนงอตัวลงซุกตรงมุมห้องเมื่อนึกถึงอาญาที่จะได้รับจากคนที่หล่อนเรียกว่า พี่ เมื่อยามที่เมามาย ไม่ว่าจะด้วยฤทธิ์สุราหรือฤทธิ์โทสะ “แล้วเมื่อคืนนี้ก็ไม่เห็นใครมาด้วยสักคน”
“หนอย นังนี่ช่างตรัสรู้ดีนัก” หล่อนถูกตวาดกลับมาด้วยเสียงอันดังสั่นจนแก้วหูสะเทือน ไม่มีใครมาด้วยอะไรกัน ข้าเห็นไอ้ผู้ชายคนหนึ่งเดินตามหลังมันมาด้วยต้อยๆ จนกระทั่งถึงบ้าน แล้วข้าก็ตัวคนเดียว ซ้ำเล็กกว่ามันตั้งเยอะ ข้าจะทำยังไงได้”
“ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วละพี่ ฉันทำตามพี่บอกแล้วทุกอย่าง แล้วพี่อยากทำไม่สำเร็จเองนี่”
“หนอย นังนี่ ปากเสีย” พร้อมกันกับตวาดและตาขุ่นขวาง อวัยวะส่วนล่างของเขาก็เหวี่ยงเปะปะมาตรงที่หล่อนนั่งอยู่ แม่สาวรีบฟุบหมอบลงกับพื้นหลบอาวุธธรรมชาติที่มันเหวี่ยงผ่านหัวของหล่อนเฉียดไปชั่วระยะนิดเดียวเท่านั้น หล่อนยังคงหมอบนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่กล้ากระดิกกระเดี้ยให้เป็นการเคืองระคายต่อสายตาของเขาอีก ประเดี๋ยวจะเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น จนกระทั่งได้ยินเสียงถามขึ้นอีกว่า
“ที่บ้านแกน่ะมีใครอยู่บ้างวะ”
“มีอยู่ด้วยกันห้าคนจ้ะ” หล่อนเงยหน้าขึ้นตอบอย่างคร้ามๆ
“เออ ห้าคนนั่นแหละใครบ้างล่ะ บ๊ะ นังนี่เซอะบรม ต้องให้ข้าซักเสียทุกอย่างถึงจะตอบหรือไง ยั่วโมโหนัก เดี๋ยวพ่อด...”
หล่อนรีบหดหัวลงไปอีก “มีคุณจ้ะ เด็กสองคน ฉัน แล้วก็ยายแก่เลี้ยงเด็กอีกคนหนึ่ง รวมห้าคนด้วยกัน”
“เท่านั้นเองเหรอ ไม่มีใครอีกจริงๆ เรอะ”
“จริงๆ จ้ะ มีอยู่ห้าคนเท่านี้แหละ”
“ไม่มีผู้ชายเลยเรอะ”
“ไม่มีเลย พี่ถามทำไมจ๊ะ”
“เออน่า” หล่อนถูกตะคอกกลับมาตามเคย “แกอย่ามาทำเป็นอยากรู้อยากเห็นไปหน่อยเลย ข้าถามอะไรก็ตอบมาก็แล้วกันแล้วสวยเอง ว่าแต่ไม่มีผู้ชายเลยจริง ๆ นะ”
“ไม่มีจริง ๆ จ้ะพี่ มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น”
“อือ งั้นก็เหมาะ” เป็นเสียงรำพึง “แกนอนที่ไหนล่ะ ในเรือนหรือเปล่า”
“เปล่าจ้ะพี่ ฉันนอนที่ห้องเล็กข้างครัว ในเรือนมีนายจ้างฉันนอนอยู่ห้องหนึ่ง อีกห้องยายแก่แกนอนกับเด็กสองคน”
“ห้องไหนที่พอจะปีนเข้าได้ง่ายหน่อย”
“พี่...” แม่หญิงร้องอย่างตกใจ “นี่....”
“ไม่ต้องถาม บ๊ะ นังนี่วอนเจ็บตัวจริงๆ ถามอะไรก็ตอบ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ทำ เท่านั้นพอ แล้วแกจะสบาย ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย”
“แต่ฉันกลัวจริงๆ นี่ ฉันกลัวนะ”
“กลัวหา...อะไร ปล่อยข้าเถอะ ถ้าเอ็งกลัวก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เปิดหน้าต่างเรือนทิ้งไว้ให้ข้าแล้วก็ไปมุดหัวคลุมโปงเสียก็แล้วกัน”
“เปิดหน้าต่างเรือน ฉันจะเปิดยังไงได้ แม่หญิงร้องทุกข์ “ฉันอยู่นอกเรือน ก่อนนอนคุณแกก็ตรวจดูหน้าต่างประตูเสียทุกบาน ฉันจะเข้าไปเปิดหน้าต่างให้พี่ยังไงได้”
“อีโง่” หล่อนได้ยินคำวิพากษ์ วิจารณ์ที่ไม่มีการเกรงอกเกรงใจ “โง่...ตลอดชาติไม่มีหาย น่ากลัวจะต้องโดนสักอั้กสองอั้ก หัวสมองมันถึงจะแล่น มันจะอะไรวะ กลับไปนี่เอ็งก็ไปเคาะประตูเรียกให้แกมาเปิด ขอไม้ขีดขอเทียนไขอะไรก็ได้ พอแกไปหยิบให้แกก็แอบย่องมาถอดกลอนหน้าต่างไว้ให้ข้า ...เท่านั้นก็พอ ว่าแต่แกเปิดหน้าต่างด้านไหนไว้ต้องบอกให้ข้ารู้นะ ...จะได้ไม่ผิดที่”
“ถ้าจะเปิดจริงก็เห็นจะเป็นด้านหน้า เพราะไม่มีใครเห็น ด้าน ข้างไม่ปลอดภัย เพราะมีบ้านคนอื่นปลูกขนาบอยู่ทั้งสองข้าง”
“ไอ้ด้านนอกน่ะมันต้องใครนอน”
“ไม่มีใครนอนหรอกจ้ะ เป็นห้องรับแขกติดกับห้องกินข้าว ทางซ้ายมือเป็นห้องของนายจ้างของฉัน”
“เออ แล้วนายแกเก็บเงินเก็บทองไว้ที่ไหนกันฮึ แกรู้หรือเปล่า”
“เอ ดูเหมือนจะเก็บไว้ในตู้หรือลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งนี่แหล่ะจ้ะ แต่ว่าห้องนอนเขาใส่กลอนนะพี่”
“เฮ่ย กลอนเรื่องเล็ก เอาละ แกกลับไปจัดการเรื่องหน้าต่างเถอะ”
“อ้าว ก็พี่ว่ากลอนเรื่องเล็กแล้วทำไมกลอนหน้าต่างพี่ไม่จัดการเอาเองล่ะ ต้องให้ฉันเปิดคอยไว้ให้ทำไม”
“ก็ข้าไม่อยากอ้อยอิ่งอยู่นอกบ้านให้ตำรวจมาลากคอข้าส่งเข้าตะรางไปอีกน่ะซี โธ่ ถามได้ นังนี่ ไปไป๊ รีบกลับไปเถอะ ขืนอยู่นานเป็นเจ็บตัวแน่”
เมื่อพรรณตื่นขึ้นในตอนเช้า เธอก็ได้ยินเสียงป้าเนียนบ่นพึมพำมุ่มมั่ม มุ่มมั่มอยู่คนเดียว เมื่อเธอถาม ป้าเนียนก็ตอบว่า
“หน้าต่างค่ะ คุณขา ก็เมื่อคืนนี้น่ะก่อนจะเข้านอน อิฉันก็ตรวจดูแล้วว่าปิดแน่นหนาดีทุกบาน แล้วทำไม้ พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า มันกลับเปิดอ้าซ่าอยู่ได้ ไฟก็เปิดอยู่ เอ ก็อิฉันน่ะปิดเองกับมือทั้งหน้าต่างทั้งไฟนี่คะ เมื่อตอนดึกแม่นี่เขามาตบประตูขอไม้ขีดไฟจากอิฉัน ไฟก็ยังปิดอยู่ แล้วนี่ทำไม้ถึงเปิดร่าอยู่ได้ทั้งหน้าต่าง ทั้งไฟ”
“สวิทช์มันคงหลวมกระมังจ๊ะ ป้าเนียน” พรรณว่า “ว่าแต่มีอะไรหายบ้างหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มีเลยคะ อิฉันตรวจดูแล้ว ไม่มีอะไรหายเลยสักอย่างเดียว”
“ป้าว่าหน้าต่างเปิดอยู่หรือจ๊ะ เอ แล้วป้าพบรอยเท้าคนบ้างหรือเปล่า เผื่อจะโดนนักเลงดีคนไหนแอบย่องขึ้นบ้านบ้าง”
“เอ อิฉันก็ไม่ได้สังเกตเลยค่ะ” ป้าเนียนทำท่าไม่สบายใจ “หูตาอิฉันมันก็ไม่ค่อยจะดีเสียด้วย จะดูตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะเขากวาดถูเสียแล้ว แต่ถ้าไอ้ผู้ร้ายมันย่องขึ้นมาจริงๆ ละก็มันจะไม่หยิบฉวยอะไรติดมือไปบ้างเทียวหรือคะ สันดานผู้ร้ายน่ะ มันมาเปล่าแต่ไม่ยอมไปเปล่าหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นกลอนหน้าต่างก็คงจะหลวมเหมือนกัน เอ เห็นจะต้องเรียกช่างเขามาดูสักครั้งท่าจะดี” พรรณพูดแล้วเดินกลับเข้าห้องไป เธอได้ยินเสียงป้าเนียนยังบ่นพึมพำต่อไปว่า
“เอ แล้วมันเรื่องอะไรกัน ที่สวิทช์ไฟกับกลอนหน้าต่างเกิดจะมาหลวมขึ้นพร้อมๆ กันอย่างนี้ แปลกพิลึก”
พรรณไม่ได้สนใจกับความแปลกใจของป้าเนียนต่อไป เพราะลูกสาวสองคนของเธอตื่นขึ้นมาและทำให้เธอต้องวุ่นอยู่กับแก เด็กทั้งสองตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อรู้ว่าวันนี้มารดาจะไปกับแกจนถึงโรงเรียนเพื่อนำเอาค่าเล่าเรียนไปชำระ ก่อนจะออกจากบ้าน พรรณมองดูพิทักษ์ในรูปพร้อมกับรู้สึกว่าวันนี้ยิ้มของพิทักษ์ ออกจะวามวาวราวกับมีชีวิตจิตใจยิ่งกว่าทุกวัน
และความฉงนสนเท่ห์ของป้าพรรณที่เกี่ยวกับไฟและกลอนหน้าต่างก็จะไม่มีวันได้รับคำตอบ เพราะแกไม่มีโอกาสเห็น ว่า ในตอนบ่าย... แม่สาวใช้ซึ่งหิ้วตะกร้าออกไปซื้อของกระจุกระจิกตามคำสั่งของนายสาว หาได้ไปตลาดที่เดียวไม่ พอหล่อนโผล่เข้าห้องไป ร่างของหล่อนก็หมุนคว้างแล้วเซถลากระแทกกับฝาห้องดังปังใหญ่ ฝาห้องสะเทือนจนจะพังครืนลงมาทั้งแถบ แล้วหล่อนก็เลยฟุบอยู่ตรงนั้น
“นังตอแหล” หล่อนได้ยินเสียงบริภาษจากผู้ที่ทำร้ายร่างกายของหล่อนซึ่งมายืนค้ำอยู่เหนือหัว ตาของเขาแดงก่ำลุกวาวด้วยโทษะและฤทธิ์สุราผสมกัน “หนอย บอกว่าไม่มีผู้ชายอยู่ อีนี่จะหาตะรางมาครอบหัวกู ทำไมจะไม่มีผู้ชาย พอกูโผล่เข้าไป ไฟฟ้าก็เปิด เจ้าผู้ชายคนหนึ่งยืนคอยรับมือกูอยู่พอดี มึงหักหลังกูใช่ไหมล่ะ มึงไปบอกมัน มันถึงได้มาเตรียมตัวคอยจับกู สัญชาติคนตอแหลยังงี้มันต้อง...”
เขาปรี่เข้าไป เงือดเงื้อเท้าขึ้นสูง แม่หญิงรีบกลิ้งตัวหลบโดยเร็ว ละล่ำละลักบอกว่า
“ฉันไม่ได้ตอแหล ไม่มีผู้ชายจริงๆ นี่พี่เอาฉันไปสาบานเจ็ดวัดเจ็ดวาที่ไหนๆ ก็ได้”
“หนอยแน่ะ ยังมาปากแข็ง สันดานเอ็งมันทนสาบาน ก็ข้าเห็นไอ้ผู้ชายคนนั้นชัดกะลูกตาของข้านี่เว้ย หน้ามันเหมือนกับไอ้คนในรูปที่แขวนอยู่นั่นแหละ”
“หน้าเหมือนในรูปที่แขวน” แม่สาวทวนคำ
“เออ ไอ้คนนั้นแหละ มันเป็นผัวของนายเอ็งใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ ใช่จ้ะ” หล่อนตอบ แล้วต้องรีบกลิ้งตัวหนีอาวุธธรรมชาติที่เหวี่ยงกราดมาหมายร่างของหล่อนเป็นเป้าอีกครั้งหนึ่ง หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาอย่างหวั่นกลัวอย่างจับจิตจับใจเมื่อบอกว่า “ผู้ชายในรูปนั่นน่ะใช่สามีของนายจ้างของฉัน แต่ว่า... แต่ว่า เขาตายไปตั้งสองเดือนมาแล้วนี่จ๊ะพี่”
(เคยลงพิมพ์ในนิตยสาร ศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 475 ปีพ.ศ.2503)