สุภาว์ ราชินีเรื่องสั้น | |
7 | ทายาทของยายพลอย |
15 | พรานติดแร้ว |
16 | วจีกรรม |
22 | กรรม |
28 | ในฝัน |
29 | แท้กซี่ |
30 | ยายบัว |
31 | ระหว่างกากับหงส์ |
34 | กรรมของสัตว์ |
35 | ชบาแดง |
36 | แดงเพลิง |
38 | เรื่องรักๆ |
39 | เคียงขวัญ |
40 | ผู้พิทักษ์ |
41 | ห้องดำ |
42 | เมืองคนโม้ |
43 | พระเอกของธารี |
44 | เพราะฉันรักเธอ |
45 | กำไล |
50 | กรรมใดใครก่อ |
หน้าที่
1/3 |
“พี่ต้อย ดูไอ้ผู้ชายคนนั้นซี มันยักคิ้วให้แต๋ว”
“ที่ยืนอยู่ในกลุ่มกวนเมืองนั้นนะหรือแต๋ว ช่างหัวมันเถอะ เมื่อกี้นี้เจ้าคนใส่เสื้อตาสีเทาสลับแดงเขียวนั่น มันก็ยิ้มกับพี่แล้วยังส่งจูบให้อีก คนอะไรไม่รู้ ทะลึ่งสิ้นดี”
“แหม ! แต๋วอยากมีพี่ชายสักคนหนึ่งให้แข้งใหญ่ๆ หน่อย จะได้ฟาดไอ้พวกหมื่นๆ ทั้งหลายให้คว่ำไปเป็นระนาวเลย”
เช้าวันนั้น ที่ตลาดหนองมนคึกคักเป็นพิเศษเพราะเป็นวันอาทิตย์ คนกรุงเทพฯ ทั้งที่มาพักที่บางแสน และทั้งที่กำลังจะมาพัก กับทั้งที่จะผ่านเลยไปยังศรีราชา บางละมุง หรือสัตหีบ ต่างก็แวะรถจอดพัก หาอาหารใส่ท้องกันบ้างหรือซื้อหาอาหารสดแห้งและบรรดา เครื่องกระป๋อง ผักสดผลไม้ ใส่รถติดไปเป็นเสบียงกรังบ้าง ชาวบ้านร้านตลาดแถบนั้นรู้ดี จึงพากันสรรหาสินค้าแปลกๆ ต่างๆ มาวางขายกันเป็นทิวแถว พวกหนุ่มคะนอง ทั้งชาวกรุงและไกลกรุง ก็เลยถือเป็นโอกาสที่จะได้แสดงแฟชั่นอาภรณ์แบบใหม่ๆ จากดาวร้อคในภาพยนตร์ เรื่องล่าสุด จากเมืองนอกให้สาวๆ ชม พร้อมกันนั้นก็จะได้มีโอกาสชมสาว และพูดจาเกาะแกะเล่นพอสบายอารมณ์ เป็นกำไรไปด้วยในตัว
เด็กรุ่นสาวในวัยไล่เลี่ยกันสองคน ซึ่งอยู่เบื้องหลังหญิงกลางคน แต่งกายภูมิฐาน ผู้กำลังนั่งเลือกซื้อของเค็มจำพวกปลา และกุ้ง อยู่นั้น ได้ตกเป็นเป้าหมายแก่สายตา และวาจาของหนุ่มคะนองกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแต่งกายในลักษณะดังกล่าวแล้ว คือแฟชั่นล่าที่สุดจากดาราเพลงร้อคในภาพยนตร์ ประกอบด้วยเสื้อสลับสีและกางเกงรูปร่างพิกล ทรงผมค่อนข้างยาว เกือบจะเย้ยผู้หญิงให้ได้อาย มิหนำยังดัดเสียยกลอนไปเลย แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีอาภรณ์ประดับร่างหรูหรา ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน นาฬิกาข้อมือเรือนทองเป็นเงามันปลาบ (จะทองจริงหรือเก๊ก็ช่างขอให้เป็นสีทองก็ใช้ได้ทั้งนั้น) บางคนเดาะเหน็บปากกาปลอกทองเสียคนเดียวตั้งสามด้าม ยิ่งกว่านั้นบางคนยังดัดจริตใส่สร้อยคอ มือห้อยเหรียญอันเบ้อเริ่มทับข้อมือเสื้อเข้าอีกด้วย นัยว่าคงจะเอาอย่าง อลัน แลดด์ ยอดชายนาย “เชน” ที่เป็นวีรบุรุษคาวบอยประจำใจบุรุษน้อยใหญ่มาจนทุกวันนี้
เด็กรุ่นสาวสองคนนั้น แต่งตัวคล้ายคลึงกัน คือกางเกงขายาวลีบ ตามแบบสมัยนิยมเสื้อเชิ้ตสลับสีสดใสตัวหลวมรัดสะโพก คนหนึ่งตัดผมสั้นกะทัดรัด แต่อีกคนหนึ่งไว้เปียยาวไปเกือบถึงกลางหลัง หน้าตาสะสวยกระจุ๋มกระจิ๋มพอที่จะทำให้ต้องตกเป็นเป้าแก่ความคะนองของหนุ่มกลุ่มนั้น
พอมารดาของหล่อนทั้งสองชำระเงินค่าของเค็มและรับของมาแล้ว ทั้งสามก็เดินไปยังรถซึ่งจอดรออยู่ ซึ่งจำเป็นจะต้องผ่านหนุ่มกลุ่มนั้นไป ขณะนั้นก็มีเสียง “เปียจ๋า เปีย เปียคนดี” ครวญครางขึ้นมาอย่างโหยหวน พร้อมกับที่อีกคนหนึ่งเกิดอยากจะร้อง “ผมบ๊อบ บ๊อบปูล่า” ขึ้นมาเหมือนกัน
เด็กสาวทั้งสองก้าวติดตามมารดาขึ้นรถไปด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด พอรถจะเคลื่อนออก ก็ปรากฏว่าเพลงเกิดเปลี่ยนไปเสียอีกแล้ว คราวนี้เป็นเพลงรำวง
“จะไปละหรือแก้วตา คืนนี้พี่ยาจะแอบไปพบ โฉมงาม เจ้าจงอย่าหลบ โฉมงามเจ้าจงอย่าหลบ จงลงมาพบเถิดนะคนดี”
แม่คนผมเปียอดใจไว้ไม่ได้ต่อไป หล่อนจึงเปล่งวาจาออกไปด้วยเสียงซึ่งไม่สู้ประหยัดนักว่า “ทะลึ่ง” พร้อมๆ กับที่พี่สาวเสริมขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบากว่ากันว่า
“ลองไปซี จะส่งหมาลงมาพบ แล้วอย่าหลบก็แล้วกัน”
“อะไรกันลูก” มารดาของหล่อนทั้งสองท้วงขึ้น นั่นพูดอะไรไม่เห็นเพราะหูสักหน่อยเลย”
แม่คนไว้เปียหัน มาทางมารดา ด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด “คุณแม่ไม่ได้ยินหรือคะ ไอ้หนุ่มกลุ่มนั้นมันทะลึ่งกับแต๋วกับพี่ต้อย มันยักคิ้วให้แต๋วด้วยค่ะ แล้วส่งจูบให้พี่ต้อย แล้วยังแหกปากร้องเพลงบ้าๆ บอๆ อีก ถ้าด่าเป็น แต๋วจะด่ามันให้เจ็บๆ กว่านี่ด้วยซ้ำ
“ดีแล้วละจ้ะ ที่แม่แต๋วด่าไม่เป็น” คุณแม่พูดอย่างอารมณ์ดี “แล้วก็อย่าหัดด่าเลยนะจ๊ะ ถึงคำพูดที่ลูกสองคนใช้อย่างเมื่อกี้นี้ก็เหมือนกัน ฟังไม่เพราะหูสักนิด”
“ก็ทำไมจะต้องพูดให้เพราะหูด้วยเล่าคะ คุณแม่” คนไว้ผมทรงบ๊อบถาม “คนมันออกทะลึ่งกับเราอย่างนั้น ไม่ว่าให้เจ็บๆ มันมิได้ใจใหญ่หรือคะ”
“เราเป็นลูกผู้หญิงนะจ๊ะ แม่ต้อยแม่แต๋ว ลูกผู้หญิงน่ะ อะไรจะเป็นเครื่องป้องกันตัวเท่ากับความสงบเสงี่ยมรู้จักไว้วางตัวเป็นไม่มี ถึงเขาหมื่นทะลึ่ง พูดจาลวนลามก้าวร้าวเรากว่านี่สักร้อยเท่า ถ้าเรานิ่งเสีย ยึดเอาขันติเป็นหลัก หนักๆ เข้าเขาเห็นไม่ได้ผลก็จะเกิดความเบื่อหน่ายเลิกลาไปเอง ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกลูก จำคำของแม่ไว้ ตรงกันข้าม ถ้าลูกไปต่อปากต่อคำด้วย เรื่องก็จะไม่จบสิ้นลงง่ายๆ อาจจะยืดยาดออกไปใหญ่ และยิ่งคำพูดของลูกไปทำความเจ็บใจให้เกิดขึ้นกับเขาด้วยแล้ว เรื่องเล็กๆ ไม่มีสาระเช่นนี้ก็อาจจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้นะจ๊ะ แม่เคยเห็นตัวอย่างมาแล้ว”
“ตัวอย่างอะไรคะ” ลูกสาวถาม ดวงตาคู่ใสแจ๋วที่กำลังจะเรียนโลกทั้งสองคู่ จับจ้องมองดูดวงหน้าของมารดาอย่างทึ่ง ทำให้ท่านต้องยิ้มด้วยนึกเอ็นดู ตอบว่า
“ตัวอย่างของการไม่รู้จักอดกลั้นความรู้สึก และใช้เวลาที่ไม่เหมาะไม่ควรน่ะซีจ๊ะ ถึงแก่ทำให้บังเกิดผลร้ายแก่ชีวิตทีเดียว”
“ตายหรือคะ” แม่ผมเปียถามด้วยเสียงกระซิบ รู้สึกเสียวไส้และใจหายขึ้นมาทันที ตายจริง ที่เราว่าเจ้าผู้ชายกลุ่มนั้นเมื่อกี้นี้ มันจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประเดี๋ยวมันโกรธ แล้วมาคอยดักทำร้ายเราจะว่ายังไง หนุ่มคะนองสมัยนี้คงจะต้องพกอาวุธ อย่างน้อยก็มีดสปริงขาวเป็นมันปลาบ ปลายแหลมเปี๊ยบ อย่างที่เคยเห็นในหนังเป็นแน่ สองคนพี่น้องจับมือกันแน่น จนผู้เป็นมารดา อดหัวเราะเพราะความขันไว้มิได้
“ไม่ถึงกับตายหรอกจ้ะ แต่ก็ทำให้ชีวิตซึ่งควรจะรุ่งเรืองต่อไป เสียไปเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะการไม่รู้จักระมัดระวังคำพูดเท่านั้นเอง”
“คุณแม่เล่าซีคะ ใครคะที่คุณแม่พูดถึงนี่ เล่าซีคะ ต้อยอยากฟังจังเลย”
“แต๋ว ก็อยากฟัง คุณแม่เล่าเถอะคะ” หล่อนยื่นมือไปจับมือมารดาเขย่า ท่าทางกระตือรือร้น “เล่าแล้วพี่่ต้อยกับแต๋วจะได้จดจำไว้เป็นเยี่ยงอย่าง คอยเตือนใจให้รู้จักระมัดระวังเวลาจะพูดต่อไป เป็นเรื่องจริงๆ หรือคะคุณแม่”
“เรื่องจริงซีจ๊ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของแม่เองทีเดียว นานมาแล้ว ก่อนหนูเกิดและแม่ยังไม่ได้พบกับคุณพ่อเสียด้วยซ้ำ
ตอนนั้น แม่ยังเป็นสาวอยู่ อายุสักยี่สิบเห็นจะได้ แก่กว่าแม่ต้อยเดี๋ยวนี้สักสามปี เวลานั้นแม่ยังอยู่กับคุณตาคุณยายที่ชุมพร และเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนสตรีในจังหวัดนั้น
โรงเรียนที่แม่สอนอยู่นั้นเป็นโรงเรียนใหญ่รับนักเรียนจากจังหวัดใกล้เคียงนอนค้างเป็นนักเรียนประจำด้วย พวกครู แม้ว่าส่วนมากจะมีภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองนั้น ก็ต้องผลัดเวรกันมานอนที่โรงเรียนคอยดูเด็กกันคราวละสองคนต่อเวลาหนึ่งเดือน
วันหนึ่ง ครูใหญ่ได้มาบอกกับพวกเราว่าจะมีครูใหม่มาจากกรุงเทพฯ อีกคนหนึ่ง เป็นลูกสาวศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งจะย้ายมาประจำที่จังหวัดนี้ ในเวลานั้น อะไรจะเป็นความทึ่งของชาว ต่างจังหวัด เท่ากับการที่จะได้พบเห็นเกี่ยวข้องกับคนกรุงเทพฯ เป็นไม่มี เราจึงตั้งอกตั้งใจคอยดูคนใหม่ที่จะมาถึงกันนี่นัก อย่ามาทำยิ้มแบบทายใจจ๊ะ แม่แต๋ว แม่ยอมรับละว่าสำหรับผู้หญิงเราแล้ว ความตั้งใจข้อใหญ่ก็คืออยากจะรู้อยากจะเห็น ว่าคนมาใหม่นี่จะสวยหรือไม่สวยสักแค่ไหนเท่านั้นเอง
แล้วครูใหม่ก็มาถึง ชื่อครูคมคาย ซึ่งคมคายสมชื่อจริงเสียด้วย ผิวพรรณก็ขาวสะอาด นับว่าเป็นคนที่จัดว่างามสำหรับสมัยนั้น มีการไว้ตัวนิดๆ หยิ่งหน่อยๆ ตามแบบอย่างธรรมเนียมของคนที่ไปจากเมืองศิวิไลซ์อย่างกรุงเทพฯ แต่กับแม่แล้วก็สนิทสนมพูดคุยกันดีไม่มีอะไร
เป็นธรรมดาอยู่ ที่ว่าเมื่อรู้ว่ามีดอกไม้งามอยู่ที่ไหน แมลงภู่ก็มักจะไปเวียนวนอยู่ที่นั่น ไม่ว่าครูคมคายคนนี้จะย่างกรายไปที่ใด จึงมักจะตกเป็นเป้าสายตาและการติดตามของพวกหนุ่มๆ ในเมืองนั้น ทำให้เจ้าตัวรู้สึกภาคภูมิ และทะนงตัวอยู่ไม่น้อย หล่อนไม่เล่นกับหนุ่มคนใดทั้งสิ้น ไม่เอาใจใส่แม้แต่จะชำเลืองแล ทำราวกับว่าเขาเหล่านั้นเป็นประดุจดอกหญ้าที่ติดอยู่ตามชายผ้าซิ่นของหล่อนปานกัน หล่อนบอกกับแม่ว่าหล่อนมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วที่กรุงเทพฯ ผู้ชายยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย อีกปีหนึ่งจึงจะจบ เมื่อออกมาทำงานแล้วจึงจะแต่งงานกัน
วันหนึ่งหล่อนมาชวนแม่ไปหาซื้อผ้าตัดเสื้อที่ตลาด วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ โรงเรียนหยุด เราเลือกซื้อผ้าได้ตามที่ชอบใจแล้วก็ไปนั่งหาอาหารกลางวันกินกันที่ร้านแถวตลาด ไม่ต้องสงสัยว่าครูคมคายจะไม่ตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครเช่นเคย แต่หล่อนนั่งตัวตรง เชิดหน้าชูคอ ทำท่าทางปั้นปึ่งไม่แยแสเหลียวแลใครๆ ทั้งสิ้น แต่ความจริงนั้นแม่รู้ว่าหล่อนแลแม้จะไม่เหลียว เพราะในเวลาไม่ช้านัก หล่อนก็กระซิบถามแม่ว่า
“นี่เธอ อีตาบ้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่อไปนี่นะใคร เธอรู้จักไหม มันจ้องฉันราวกับไม่เคยเห็นคนยังนั้นแหละ”
“คนไหน” แม่ถาม มองไปที่โต๊ะถัดไปซึ่งมีผู้ชายนั่งอยู่ด้วยกันสามคน เป็นคนที่แม่เคยรู้จักหน้าทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าคมคายหมายถึงคนไหน เพราะทั้งสามคนนั้น ต่างก็หมั่นลอบชำเลืองแลมาทางโต๊ะที่แม่นั่งไม่ได้หยุดหย่อนพอๆ กัน
“อีตาคนที่หัวล้านน่ะ เธอ ตาส่อนหน่อยๆ ด้วย นั่นๆ ไง ที่กำลังหัวเราะ ต๊าย ตาย ฟันหักอีกตั้งสองซีก แน่ะ มันมองมาอีกแล้วละ เธอทำเฉยๆ เสีย อย่าไปมองมัน เดี๋ยวมันรู้ตัวจะเลยได้ใจทำทะลึ่งใหญ่”
“คนนั้นนะหรือ” แม่ถาม “เขาชื่อสมคิด แต่พวกเราไม่ได้เรียกตามชื่อของเขาหรอก เราพากันตั้งฉายาให้เขาว่า นายเหล่ หลอล้าน เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วนะเธอ มีลูกมีเมียแล้วด้วย”
“งั้นมันทะเล้นมามองดูฉันไม่วางตาทำไมล่ะ คนอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว”
“ก็เธออยากสวยนี่นา ใครเขาก็ต้องอยากมองน่ะซี” แม่แกล้งพูดเล่นเสีย พลางชำระเงินค่าอาหาร รีบชวนครูคมคายลุกออกมาเสีย กลัวว่าถ้าอยู่ต่อไปอีกอาจจะเกิดเรื่องไม่สู้ดีนัก เพราะดูครูคมคายหล่อนอารมณ์เสียมิใช่น้อย พอเราลุกเดินออกมาจากโต๊ะสองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะนายเหล่ หลอล้านนั้นว่า
“นี่นะหรือ ครูมาจากกรุงเทพฯ ก็สวยดีอยู่หรอก แต่ท่าทางยิ่งวายร้ายเลย”
อีกเสียงหนึ่งหัวเราะหึๆ แล้วว่า “หยิ่งๆ ยังงี้ละชอบนักละ ไม่ว่ารายไหนรายนั้นมักเสร็จทุกราย”
ทันไดนั้นครูคมคายก็หยุดเดินกึกลงทันที ก่อนที่แม่จะทันห้าม หล่อนก็หันไปทางโต๊ะนั้น ขมึงสายตาอันขุ่นเขียว จ้องหน้านายสมคิดผู้อาภัพรูป กล่าวผรุสวาจาออกไปว่า
“ไอ้หน้าอย่างนี้นะหรือ ไม่มีวันได้เจอเสียละ แม้แต่ขา...”
หล่อนกล่าวไม่ทันได้จบประโยค เพราะแม่รีบฉุดออกมาเสียก่อน แม่รู้สึกตกใจในความเก่งกล้าของหล่อน และหวาดหวั่นกลัวจะมีเรื่องเสียจนเกือบเป็นลม แม่จับแขนหล่อนไว้แน่น ครึ่งฉุดครึ่งดึง พาเดินมาจนพ้นร้านนั้นไกลแล้วจึงได้ปล่อย
“คมคาย ทำไมเธอไปว่าเขาอย่างนั้นล่ะ” แม่ถาม รู้สึกเหนื่อยคล้ายจะหอบ “ไม่ใช่ตาหลอล้านนะที่ว่าเธอ อีกสองคนต่างหาก”
หล่อนยักไหล่ บอกว่า “ใครว่าก็ช่าง ฉันต้องว่าให้มันรู้สำนึกเสียบ้างนะซี คราวหลังจะได้ไม่ทะลึ่งอีก”
“ถ้าเขาโกรธ ขึ้นมาล่ะเธอ จะว่าอย่างไร เธอไม่กลัวเขาโกรธหรือ”
“ให้มันโกรธไปซีจะต้องไปกลัวทำไม มันจะมาทำอะไรฉันได้ บ้านเมืองมีขื่อมีแปอยู่นี่นา”
“มันจะไม่เกี่ยวกับขื่อกับแปนะซี” แม่ว่าด้วยความวิตก “เธอเพิ่งมาอยู่ เธอไม่รู้หรอกว่าบ้านเมืองทางนี้ มันมีสิ่งลึกลับน่ากลัวยังไงบ้าง ถ้าฉันพูดถึงเรื่องยาสั่ง หรือพวกทำเสน่ห์เล่ห์กลอะไรอย่างนี้เธอคงจะไม่เชื่อเป็นแน่”
“เสน่ห์เล่ห์กล” หล่อนทวนคำเสียงสูง มองหน้าแม่แล้วก็หัวเราะ “เธอหมายถึงว่ามันจะทำเสน่ห์ให้ฉันหลงรักหรือ อีตาหัวล้านฟันหลอคนนั้นน่ะหรือ โอ๊ย จะขันตาย อยากหัวเราะจริงๆ เธอนี้หัวโบร้านโบราณ ให้มันทำไปเถิด ฉันไม่แคร์เลยสักนิด”
แม่เลยไม่อยากเถียงเอาชนะคะคานกับหล่อนอีกต่อไป ความจริงเรื่องเสน่ห์ยาแฝดอะไรพวกนี้แม่ก็ไม่เชื่อนัก ข้อใหญ่ใจความนั้นแม่ต้องการจะเตือนหล่อนในเรื่องการใช้คำพูดคำจาต่างหาก แต่เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่เข้าใจความประสงค์ของแม่ แม่ก็เลยขี้เกียจพูด คิดว่านานเข้า เรื่องก็คงจะเงียบหายไปเอง
แต่แล้วเรื่องก็ไม่ได้เงียบไปอย่างที่แม่คิด เพราะอีกอาทิตย์เดียวต่อมา ครูสมศรี ครูคนหนึ่งในโรงเรียนเดียวกันนั้นได้เอ่ยขึ้น ขณะที่เรานั่งรวมกันอยู่ในห้องพักครูว่า
“เออ ครูคมคายคะ เมื่ออาทิตย์ก่อนนั้นเธอไปที่ตลาดหรือ มีคนเห็นเธอด้วย เขายังชมกับฉันเลยว่า เธอสวยดี”
แทนที่ครูคมคายจะแย้มยิ้มเมื่อได้รับคำบอกเล่าซึ่งการชมเชยเช่นนั้น หล่อนกลับทำหน้าบึ้งคิ้วขมวดถามว่า “ใครเป็นคนเห็นฉัน”
“คุณสมคิดค่ะ” ครูสมศรีบอกอย่างพาซื่อ “คนหัวล้านๆ ฟันหลอสองซี่ พวกเรารู้จักกันทั้งนั้น”
“อ๋อ อีตาคนนั้น” ครูคมคายว่า รอยยิ้มอย่างเยาะหยันและเหยียดหยามดูถูก ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก ทำให้ใบหน้านั้นหมดสวยไปถนัดใจ หล่อนลุกขึ้นยืนแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่มีกังวานทั้งเยาะทั้งเย้ยไม่น่าฟังเลยว่า “คุณไปบอกทีเถอะว่าให้รู้จักเจียมกะลาหัวเสียมั่ง รูปร่างอัปลักษณ์อย่างนั้น แม้แต่โคนขาฉัน เขาก็ไม่มีวันได้เห็นหรอก”
แม่ใจหายวาบ ด้วยไม่คาดคิดว่าครูคมคายจะกล้าพูดออกมาเช่นนั้น แต่จะแก้ไขอย่างใดก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพอพูดจบ ครูคมคายหล่อนก็เดินฉับๆ ออกจากห้องไป ทิ้งให้ครูอื่นๆ นั่งตะลึงงันอ้าปากค้าง ในความองอาจกล้าหาญของหล่อน แม่หันไปดูครูสมศรี เห็นหน้าแดงจัดแล้วกลับซีดลง แล้วก็เปลี่ยนเป็นเขียว อนิจจา ครูคมคายหล่อนรู้เมื่อไหร่เล่าว่า ครูสมศรี เป็นญาติสนิทกับนายสมคิด ตาส่อน ฟันหล่อ หัวล้านนั้น
ครูสมศรีไม่พูดไม่มองหน้าครูคมคายไปเป็นเวลาหลายวัน เมื่อแม่แอบเล่าถึงความเกี่ยวดองกันระหว่างครูสมศรีกับนายสมคิดให้ครูคมคายฟัง หล่อนกลับยักไหล่ บอกว่า
“เป็นอะไรกันก็ช่างเป็นไร ดีเสียอีกเขาจะได้เก็บไปบอกให้กันฟัง คราวหลังจะได้ไม่มาทะลึ่งกับฉันอีก”
“ก็เขาไม่ได้ทำอะไรเธอนี่นา วันนั้น อีตาสองคนนั่นต่างหากเล่าที่ว่าเธอ ตาเหล่หลอล้านนั่นเขาเพียงแต่ชมเธอเฉยๆ”
“มันจะว่ายังไงก็ช่างมันเถอะ ดีแล้วละว่าฝากไปยังงั้น เขาจะได้เก็บไปบอกกันให้รู้สึกตัวเอาไว้ว่าเราไม่เล่นด้วย”
เมื่อความพยายามของแม่ไม่เป็นผล เพราะครูคมคายหล่อนคนทะนงตัว หัวดื้อและทิฐิจัดเสียอย่างนี้แล้ว แม่ก็เลยจำต้องวางทำเฉยเสีย แต่เจ้าตัวเขายังไม่รู้สึกเดือดร้อนแล้ว แม่จะมานั่งเป็นทุกข์เดือดร้อนแทนเขาเพื่อประโยชน์อันใด
ไม่มีใครพูดกันถึงเรื่องนี้อีก แม่เองก็ไม่ค่อยได้สนทนาวิสาสะกับครูคมคายบ่อยนัก เพราะชักรู้สึกว่านิสัยเรา ดูจะเข้ากันไม่ค่อยได้เสียแล้ว แม้กระนั้นก็ยังอดรู้สึกไม่ค่อยได้ว่าในเวลาต่อมานั้น ครูคมคายดูเหมือนจะเงียบไป ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่คุยถึงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับกรุงเทพฯ หรือตัวของหล่อนเองเมื่อยังอยู่กรุงเทพฯให้ครูอื่นๆ ฟังเช่นเคย ยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อนิสิตมหาวิทยาลัยหนุ่มรูปหล่อ ลูกเศรษฐีซึ่งเป็นคู่หมั้นคู่หมายของหล่อน ที่หล่อนเคยคุยอวดเพื่อนครูด้วยกันเป็นกิจวัตรนั้น ดูเหมือนจะยิ่งไม่ได้ออกจากปากของหล่อนเลยในเวลาต่อมา วันหนึ่งแม่ได้ยินพวกครูแอบกระซิบกันว่า
“นี่ เธอดูครูคมคายซิ หมู่นี้เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ไม่เห็นพูดคุยอย่างเคย หน้าด๊ำ ดำ เทียวเห็นไหม”
แม่จึงลองสังเกตดูบ้าง จริงๆ อย่างเพื่อนครูเขาว่านั่นแหละ ครูคมคายดูซูบซีดผิดปรกติไปเป็นคนละคน พูดน้อย หน้าดำคร่ำเครียด และดวงตาดูเลื่อนลอยยังไงพิกลอยู่ แม่ไม่รู้ว่ามันเนื่องมาจากสาเหตุอะไรกัน
แล้วโรงเรียนก็ปิดภาคต้น แม่อยู่แต่ที่บ้าน ส่วนครูคมคายก็อยู่ที่บ้านพักศึกษาธิการกับพ่อของหล่อน ในตอนนั้นเราจึงไม่รู้เรื่องราวของกันและกันเลย จนกระทั่งโรงเรียนเปิดภาคใหม่ และเรากลับมาชุมนุมกันที่โรงเรียนอย่างเคย ครูผู้ปกครองเดินเข้ามาในห้องพักครูตอนเช้า บอกว่าเดือนต่อไปนี้ เป็นเวรที่แม่กับครูคมคายจะต้องนอนค้างที่โรงเรียนคู่กัน เพื่อช่วยดูแลนักเรียนประจำ ครูคมคายจึงขอลากลับไปเอาข้าวของที่บ้าน พอครูคมคายเดินพ้นประตูห้องพักไปเท่านั้น ครูอื่นๆ ก็หันเข้าซุบซิบกันเป็นแถว
“นี่เธอ ฉันมีข่าวประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดในโลกจะเล่าให้ฟัง” แม่ได้ยินครูคนหนึ่งพูด “วันนั้น เมื่อสองสามวันก่อนโรงเรียนเปิดนี่เอง ฉันพบครูคมคายที่ตลาดด้วย เขาควงกับใครรู้ไหมล่ะ กับนายเหล่ หลอล้านของเราไงล่ะ”
“ต๊าย ตาย อกจะแตก ไหนตั้งกองรังเกียจชิงชังเป็นหนักหนาไงเล่า ประมาทหน้าเอาไว้ว่าแม้แต่โคนขาก็ไม่ให้เห็น แล้วไหงไปควงให้ใครเขาเห็น ไม่อับอายขายหน้าบ้างหรือยังไง ถ่มน้ำลายออกมาแล้วกลับกลืนกินเข้าไปเอง”
“อายหรือไม่อายเขาก็ควงกันอย่างเปิดเผย หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างไม่กลัวคนมองเสียด้วยซี”
“เอ ท่ามันจะมีเรื่องลับลมคมนัยอย่างไรกันเสียแล้ว น่ากลัวครูคมคายถูกอีตาหัวล้านฟันหลอนั้นทำเสน่ห์เอาเป็นแน่” ออ อีกคนออกความเห็น
แม่มองดูครูสมศรี ซึ่งนั่งห่างออกมาจากกลุ่มนั้น เห็นนั่งทำหน้าตาเฉย แต่ที่ริมฝีปากมีรอยยิ้มอย่างสมใจปรากฏอยู่
เมื่อโรงเรียนเลิก ครูอื่นๆ กลับบ้านไปแล้ว เหลือแต่ครูผู้ปกครองกับเราสองคน คือแม่กับครูคมคาย ซึ่งต้องนอนค้างที่โรงเรียนเพื่อคอยดูแลนักเรียนประจำ แม่พยายามสังเกตดูครูคมคาย ก็เห็นว่าดูเต็มไปด้วยความกระวนกระวายผิดปรกติ หน้าตาก็ดูดำหมองไปไม่ผ่องใสเช่นที่เคยเป็นมา ยิ่งกว่านั้นก็คือหล่อนหมั่นเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่าง เฝ้าจ้องมองออกไปทางข้างนอกบ่อยๆ เหมือนกับว่าจะคอยมองหาใครสักคนหนึ่งอยู่เช่นนั้น
คืนแรก เราต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เกี่ยวแก่การดูแลจัดแจงให้นักเรียนประจำที่กลับเข้ามาสู่ที่ทางระเบียบข้อบังคับอย่างเคย เพราะเด็กพวกนั้น พอห่างโรงเรียนกลับไปอยู่บ้านสักครึ่งเดือนเท่านั้น กลับมาก็ทำลืมเสียแล้ว ว่าระเบียบข้อบังคับของโรงเรียนเป็นอย่างไร คืนนั้นแม่จึงต้องนอนดึกหน่อย แล้วก็เลยหลับเป็นตาย
ในคืนต่อมา แม่ต้องตื่นขึ้นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้น แม่นอนเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งจึงจับได้ว่าเป็นเสียงก้อนอิฐเล็กๆ กระทบกับบานหน้าต่าง ไม่ใช่หน้าต่างห้องที่แม่นอนอยู่ แต่เป็นหน้าต่างห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องพักของครูคมคาย
ห้องที่เราพักนั้น ด้านหนึ่งหันออกไปสู่ถนนสายเล็กๆ ที่ไม่มีคนเดินนัก มีประตูเล็กเปิดจากโรงเรียนออกสู่ถนนนี้ คนละฟากถนนตรงกันข้างกับโรงเรียน มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง รากของมันห้อยระย้าลงมาระพื้นดิน แม่จึงลุกขึ้นไปแอบดูที่หน้าต่าง มองลงไปที่ถนนก็เห็นใครคนหนึ่งยืนแอบๆ อยู่ข้างรั้ว ใครคนนั้น ซึ่งจากเครื่องแต่งกายและรูปร่างกริยาท่าทางต้องเป็นผู้ชายแน่นอน ได้เป็นผู้โยนก้อนอิฐหรือก้อนกรวดนั้นขึ้นมากระทบหน้าต่างห้องครูคมคาย อีกอึดใจหนึ่งต่อมา แม่ได้ยินเสียงหน้าต่างเปิด ซึ่งแสดงว่าเจ้าของห้องได้ตื่นขึ้นแล้ว เสียงอิฐกระทบบานหน้าต่างจึงได้หยุดไป ครู่หนึ่ง ต่อมาจึงมีเสียงประตูเปิดออกค่อยๆ เสียงคนเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องแม่ครู่หนึ่ง ถ้าจะมาสังเกตดูว่าแม่กำลังหลับอยู่หรือไม่ แม่ยืนนิ่งเงียบไม่กระดุกกระดิกจนกระทั่งได้ยินเสียงเดินย่องไปทางบันได
แม่แอบมองดูที่หน้าต่าง ในไม่ช้าก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นครูคมคายอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย เดินอย่างรีบร้อนและแอบแฝงไปที่ประตูเล็กแล้วเปิดมันออก โผเข้ากอดคนที่มายืนรออยู่นั้นด้วยท่าทางอันลิงโลดสุดแสนจะพิศวาส แล้วคนทั้งคู่ก็ประคองกันข้ามถนนหายเข้าไปใต้ร่มเงาอันมืดมนของไทรใหญ่ต้นนั้น
แม่มองนาฬิกาตั้งบนโต๊ะเล็กหัวเตียง มันบอกเวลา 2.00 น. ของวันใหม่พอดิบพอดี
“เหตุการณ์ที่แม่ได้พบเห็นในคืนนั้น เปรียบประดุจน้ำท่วมปาก จะพูดก็พูดไม่ได้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องทนคับอกคับใจอยู่จนกระทั่งครูคมคายได้หยุดสอนหนังสือไปในที่สุด ไม่มีใครรู้ว่ามันเนื่องมาจากเหตุอะไร ใคร ๆ ก็พากันเดาไปต่างๆ นานา แม่เคยลองถามเด็กรับใช้ที่บ้านศึกษาฯ ดู เขาบอกว่าครูคมคายไม่สบาย ต่อมาก็มีข่าวที่น่าตกใจแพร่สะพัดออกมาว่าครูคมคายมีท้อง
ครูคมคายมีท้อง มีกับใครน่ะหรือ การที่เมียนายสมคิด ตาเหล่ หลอล้านคนนั้นไปยืนด่าเปรยๆ อยู่ที่หน้าบ้านศึกษาฯ ทุกวันนั่นก็คงจะเป็นที่ยืนยันพอแล้วกระมัง ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องครูคมคาย บางคนมาเล่าว่า ศึกษาฯ โกรธมาก จนถึงกับเฆี่ยนตีลูกสาว บังคับให้เอาลูกในท้องออก เพื่อใส่ตะกร้าล้างน้ำ ส่งตัวกลับไปแต่งงานกับคู่หมั้นเศรษฐีที่กรุงเทพฯ แต่ประหลาดนักที่ขณะนั้น ดูเหมือนครูคมคายหล่อนจะลืมเสียแล้วว่าหล่อนมีคู่หมั้นเศรษฐีรูปหล่อรออยู่ที่กรุงเทพฯ มิใยที่พ่อจะเฆี่ยนตี ดุด่า มิใยที่คนทั้งเมือง จะหัวเราะเยาะเย้ยไยไพ หรือแสดงความสมเพชเวทนา มิใยที่จะถูกว่ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยจากเมียหลวงเขา ว่าเป็นคนสิ้นคิด เที่ยววิ่งตามแย่งสามีคนอื่น หล่อนก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาติดตามนายสมคิด ชายรูปชั่วคนนั้นอยู่ต้อยๆ ราวกับสุนัขตามเจ้าของ จนกระทั่งในที่สุด หล่อนก็ขนเข้าของออกจากบ้านไปอยู่กับเขาเสียเฉยๆ เช่นนั้น เมื่อแม่เห็นครูคมคายครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ นั้น หล่อนกำลังท้องลูกคนที่สองกับนายสมคิดอยู่ ภาพของครูคมคายซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เดินอุ้มท้องตามนายสมคิดต้อยๆ อยู่นั้น จะไม่มีวันลืมเลือนไปจากความจำของแม่เลย ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เชื่อในเรื่องอาคมหรือเสน่ห์เล่ห์กล แต่มันก็เป็นบทเรียนที่แม่จดจำไว้สอนใจ ถึงเรื่องการระมัดระวังคำพูดคำจาเสมอมา
ผู้เป็นมารดาจบคำเล่า ลงพร้อมกับมองหน้าธิดาทั้งสอง พบว่าดวงตาทั้งสองคู่ในดวงหน้าขาวๆ อ่อนละมุนนั้น ได้เพ่งมองดูท่านอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง และเต็มไปด้วยความรู้สึกสะเทือนใจในเรื่องที่ท่านเล่า จนกระทั่งมีน้ำใสๆ ออกมาหล่อคลอคลองอยู่ ท่านจึงหัวเราะยกมือขึ้นบีบแก้มลูกสาวคนเล็กอย่างนึกเอ็นดู ถามว่า
“ไง เป็นเรื่องเศร้าสะเทือนใจมากหรือจ๊ะ ทั้งแม่ต้อยแม่แต๋ว ทำท่าจะร้องไห้เอาทั้งคู่ทีเดียว”
เด็กสาวทั้งสองยกหลังมือขึ้นปาดตาพร้อมกัน คนพี่ฝืนยิ้มพูดว่า “สงสารจัง แล้วเดี๋ยวนี้ยังอยู่ด้วยกันหรือคะ ครูคมคายกับอีตาฟันหลอหัวล้านนั่น”
“เห็นเขาว่าเลิกกันแล้วจ้ะ ตานั่นแกเบื่อแล้วแกก็เลยทิ้ง เขาว่าแกเจ็บใจที่ถูกผู้หญิงประมาทหน้าไว้ ก็เลยจะแกล้งทำเล่นเท่านั้น เดี๋ยวนี้ครูคมคายเลยบ้าๆ บอๆ เที่ยวเดินขอทานเขาไปแล้ว ลูกเต้าก็กระจัดกระจายไปคนละทาง สองทาง เป็นยังไงไปมั่งก็ไม่รู้ แม่ไม่รู้เรื่องอีกเลย”
“คนอะไรใจร้ายยังงั้นก็ไม่รู้” เด็กสาวว่าอย่างเจ็บใจแทน มารดาหัวเราะ บอกว่า
“เอาละจ้ะ ใจร้ายหรือไม่ร้ายก็ รถมาถึงที่พักเป็นนานแล้วยังไม่ลงกันอีก เร็วจ้ะ แม่ต้อย แม่แต๋ว ช่วยกันขนของกันคนละไม้ละมือ กระเช้าไข่คนรถเขายกเข้าไปแล้ว”
แต่บุตรีทั้งสองของท่านยังหาได้ขยับเขยื้อนกายไม่ ทั้งคู่ยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่ ดวงตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงมีเสียงพึมพำดังขึ้นว่า
“แต๋วจะจำไว้ ที่นี้แต๋วจะไม่พูดอะไรพล่อยๆ ตามใจนึกอีกแล้ว”
จากนิตยสาร ศรีสัปดาห์