สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
กรรม

สุภาว์ เทวกุล ฯ

supa : 0000-00-00

reader:897
reply:0

เย็นวันเสาร์นี้ หลังจากที่ได้วนเวียนเดินเทียวไปเทียวมา อยู่แถวตลาดพันธุ์ไม้ริมคลองหลอดสองสามเที่ยว โดยมิได้คิดที่จะซื้ออะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ข้าพเจ้าก็ข้ามถนนมาทางด้านแม่พระธรณีบิดมวยผม เพื่อที่จะได้เดินเอื่อยๆ สำรวจตลาดพระและแดนดินถิ่นหมอดูไปพลางๆ ขณะที่มุ่งหน้าจะไปขึ้นรถรางสายบางคอแหลม ถนนราชดำเนินด้านนี้เมื่อเทียบกับด้านตรงข้าม คือด้านสนามหลวงแล้ว ผู้คนก็ดูบางตา ผิดกันมากมายนัก คงมีแต่พวกให้เช่าพระ และพวกที่ตั้งตนเป็นหมอดูแม่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งบางคนจะแม่นจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ ต่างก็ยึดภูมิลำเนาเข้าที่ใต้ต้นมะขามคนละต้น ปูเสื่อเข้าคนละผืน วางเครื่องอุปกรณ์ทั้งหลายในการประกอบอาชีพไว้ในที่และสภาพที่จะสุดุดตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพื่อให้เป็นเครื่องมือโฆษณาไปด้วยในตัว แต่จะขอเตือนคุณทั้งหลายที่ชอบตระเวนไปให้หมอดูแปลกๆ หน้า ทำนายโชคชาตาให้ว่า โปรดระวังให้จงดี เพราะท่านหมอบางคนโฆษณาตนเองไว้อย่างหรูหรา มีการเอาผ้าขาวๆ แดงๆ ลักษณะคล้ายผ้ายันต์แต่ทว่าเขียนแสดง จักราศี หรือ อะไรต่ออะไรเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์เต็มไป มาขึงกางไว้เป็นเชิงแสดงว่าอาตมานี่เป็นหมอชั้นเอกทีเดียวละ ดูน่าเลื่อมใสพิลึก พอเร่เข้าไปจ่อมลงซี ทีไหนได้ พูดไปพูดมาพ่อกลับงัดเอาไพ่ป๊อกเก่าคร่ำคร่าชี้มือจับจวนจะมองไม่เห็นอยู่แล้วขึ้นมาสำรับหนึ่ง ความจริงก็ปรากฏออกมาว่า ที่แท้นั้นแกดูได้แต่ทางไพ่ป๊อกอย่างเดียว ไอ้เรื่องผูกดวงชาตาฤกษ์ยามอะไรนั่นน่ะ ไม่เป็นกับเขาหรอก ที่เอาอะไรต่ออะไรมาแขวนมาขึงมากางไว้นั้นน่ะก็เพียงเพื่อบอกให้รู้ว่า ฉันนี่แหละเป็นหมอดูละเท่านั้นเอง แต่จะเป็นหมอดูประเภทไหน ดูแบบอะไรนั้นค่อยมาว่ากันทีหลัง

ขณะที่ข้าพเจ้าเดินทอดน่องเอื่อยๆ แวะไปตามใต้ต้นมะขาม ต้นนั้นนิด ต้นนี้หน่อยตามอารมณ์นั้น หูก็แว่วเสียง

“หมอดูแม่นๆ ครับ ท่านผู้ใดต้องการดูโชคชะตาราศี เคราะห์ร้ายเคราะห์ดีกรุณามาทางนี้ ดูได้ทั้งเนื้อคู่และสมพงศ์”

เสียงนั้นออกจะคุ้นหูขัาพเจ้าอยู่มิใช่น้อย ทำให้่ข้าพเจ้าต้องหันไปเพ่งมองดูเจ้าของเสียงซึ่งนั่งอยู่บนเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่งใต้ต้นมะขาม ห่างไปจากที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ประมาณสักสิบก้าว เพียงมองเห็นโฉมหน้าอันค่อนข้างอัปลักษณ์นั้นข้าพเจ้าก็จำได้ในทันที ลักษณะดวงหน้าเช่นนั้นเคยเป็นที่คุ้นตาแก่ข้าพเจ้าดีอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้พบเห็นมาร่วมห้าปีแล้วก็ตาม

ข้าพเจ้ายืนเกร่อยู่แถวนัน พินิจพิจารณาดูตาหมอดูคนนั้นอยู่ห่างๆ ชะรอยหน้าตาแกจะไม่ค่อยน่าดูนัก หรือจะเป็นด้วยแกไม่มีเครื่องยศแสดงดีกรีมากมายอย่างคนอื่นเขาละกระมัง แกจึงไม่มีใครเข้าไปนั่งให้ทำนายโชคชาตาให้ กางเกงจีนผ้าดำๆ เก่าๆ เท้าอ้นหนาเตอะที่เปล่าเปลือย และเสื้อราชปะแตนสีมอๆ มีรอยปะ แล้วปะอีกนั้น ทำให้ข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่าอาชีพของแกคงจะไม่สู้เจริญนัก

“เชิญครับ เชิญทางนี้ ดูเคราะห์โศก โรคภัย โชคชาตาราศีแม่นราวกับตาเห็น”

เสียงหมออีกคนหนึ่ง ซึ่งลูกค้าเพิ่งจะลุกจากไปร้องขึ้น ข้าพเจ้านึกขันในใจ ตามโคนต้นมะขามแทบจะทุกต้นล้วนแต่มีผู้ยึดอาชีพหมอดูนี้นั่งประจำอยู่ แต่ละคนต่างก็ร้องโฆษณาสรรพคุณของตนเองเสียอย่างเลิศลอยด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งถ้าข้าพเจ้าเกิดความอยากจะให้เขาทำนายโชคชาตาขึ้นมา ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จะเดินเข้าไปหาเจ้าไหนดี แม้แต่ตาหมอหน้าอาภัพ ซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จักมาก่อนผู้นี้ มิใช่ว่าข้าพเจ้าจะไม่เชื่อภูมิของแก แต่ นั่นแหละ ถ้าท่านเป็นข้าพเจ้า และรู้เรื่องของแกมาอย่างที่ข้าพเจ้ารู้ บางทีท่านอาจจะเข้าใจ

ครั้งนั้น เมื่อห้าปีล่วงมาแล้ว ข้าพเจ้าได้ถูกย้ายไปรับราชการชั่วคราวอยู่ทางจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ หน้าที่การงานของข้าพเจ้า ทำให้ได้มีโอกาสสนทนาวิสาสะกับคนแทบทุกคนในจังหวัดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอำเภอเมืองที่ข้าพเจ้าพักอยู่นั้น ใกล้กับบ้านพักของข้าพเจ้าคือบ้านของคหบดีคนหนึ่งซึ่งใครๆ เขาเรียกกันว่ากำนันแสง เนื่องจากครั้งหนึ่งแกเคยดำรงตำแหน่งกำนัน ที่ต้องออกจากราชการก็เพราะมีโรคประจำตัวอย่างหนึ่งซึ่งแม้ว่าแกจะได้พยายามรักษาสักเท่าใดก็หาได้หายขาดไม่ นอกจากจะหายไปเป็นพักๆ เท่านั้น นี่เป็นคำบอกเล่าของแกเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเอง เพราะเมื่อข้าพเจ้าไปอยู่นั้น กำนันแสงก็ได้เริ่มล้มเจ็บลงด้วยโรคนี้อีกแล้ว

กำนันแสงอยู่สองคนกับลูกสาวเท่านั้น ถ้าจะไม่นับคนใช้อีกคนหนึ่ง ลูกสาวของแกนั้นข้าพเจ้าได้ยินใครๆ เขาเรียกกันว่า หนูศรี ก็เลยเรียกหนูศรีตามเขาไปด้วย ทั้งๆ ที่หนูศรีคนนี้มีรูปร่างอายุอานามเป็นสาวเต็มที่แล้ว หล่อนมีอายุถึงสิบแปดปี แล้วยังขาวผุดผ่องเป็นสาวสวยเสียอีกด้วย

“ไอ้โรคนี้มันเต็มทีครับ คุณ” กำนันแสงเคยปรับทุกข์กับข้าพเจ้า “มันเล่นผมเสียย่ำแย่ไปเลย เป็นๆ หายๆ มานานหนักหนาแล้ว ร่วมสิบสองปีเห็นจะได้ นับตั้งแต่คราวที่ผมบุกป่าตามล่าเจ้าเสือสาครนั้นทีเดียว จะหายก็ไม่หาย จะตายก็ไม่ตาย เป็นครั้งหนึ่งก็มีอาการมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้งไป เมื่อไหร่มันจะตายเสียทีก็ไม่รู้ ทรมานทรกรรมผมเสียเหลือเกินแล้ว”

“ทำไมลุงไม่ลองเข้าไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯดูบ้างเล่า” ข้าพเจ้าถาม แกส่ายศรีษะช้าๆ

“โฮ้ย มันก็อีทำนองเดียวกันนั่นแหละคุณ รักษาที่ไหนก็เหมือนกัน หมอฝรั่งน่ะผมลองมาเสียนักต่อนักแล้ว เสียเงินไปเยอะแยะ ไม่เคยเห็นมันหายขาดสักที นอกจากจะทุเลาไปพักหนึ่งๆ นานๆ ไปก็กลับเป็นอีก นี่ผมคิดจะทดลองรักษาตามตำหรับยากลางบ้านดูบ้าง มีคนเขาแนะนำมา เขาว่าหมอคนนี้แกเก่ง คนที่เขาเคยเป็นโรคคล้ายผมนี้แกรักษามาหายเสียนักต่อนักแล้ว”

เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมกำนันแสงในอีกสองวันต่อมา พอโผล่เข้าไปในห้องก็พบว่านอกจากลูกสาวของแกซึ่งคอยนั่งเฝ้าปรนนิบัติ พยาบาลพ่ออยู่ตลอดเวลาแล้วนั้น ยังมีผู้ชายในวัยกลางคนๆ หนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ที่นอนที่กำนันแสงนอนอยู่อีกด้วย สิ่งที่สะดุดตาข้าพเจ้าแต่ในวินาทีแรกที่ได้เห็นก็คือ ความอัปลักษณ์บนใบหน้าของชายนั้น ช่างเป็นดวงหน้าที่หาความสวยงามไม่ได้เอาเสียเลย หน้าผากงอก จมูกหัก ตาโปนถลน ปากแสยะ รูปศีรษะข้างบนแบนใหญ่แต่ตรงแก้มกลับตอบ มีลูกคางยื่นและเล็กแหลมมองดูพิลึก ตลอดทั้งดวงหน้ามีริ้วรอยย่นเป็นทางลึกๆ จะมีที่น่าดูอยู่นิดก็ตรงแววตาที่ออกจะซื่อๆ น่าสงสารอยู่หน่อยเท่านั้น

“นี่ไง หมอที่จะมารักษาผมที่ผมเคยเล่าให้ฟัง” กำนันแสงแนะนำชายนั้นกับข้าพเจ้าๆ จึงถามเขาว่าคิดว่าเขาจะสามารถรักษาโรคร้ายที่เกาะกินกำนันอยู่นั้นให้หายขาดได้ไหม เขานิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่แล้วจึงตอบว่า

“ตอบยาก ต้องขอเวลาให้ผมลองรักษาดูก่อน โรคพรรค์อย่างนี้จะเอาเร็วไม่ได้ น่ากลัวจะต้องเสียเวลาเป็นเดือนๆ ทีเดียว”

เมื่อกำนันแสงนอนหลับ เราก็พากันออกมานั่งยังเฉลียงข้างนอก ในขณะที่หนูศรีลูกสาวกำนันแสงดูแลให้คนใช้จัดห้องพักหมออยู่ ขณะนั้น มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดที่ประตูบ้าน ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ การที่จะได้เห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้าไปจอดที่หน้าบ้านใครนั้นมิได้เป็นของแปลกเลย แต่ตามหัวเมืองอย่างนี้สิ กลับกลายเป็นภาพที่น่าทึ่งเสียเหลือเกิน ทั่วทั้งตัวจังหวัดมีรถยนต์เพียงไม่กี่คัน คนที่มีรถยนต์ใช้ต้องนับว่าเป็นคนที่มั่งมีจริงๆ

ผู้ที่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันนั้นเป็นผู้หญิงสาวสวย ผิวขาวราวกับไข่ปอก แต่งเนื้อแต่งตัวและท่าทางเดินเหินราวกับแหม่มก็ไม่ปาน ในมือของหล่อนมีกระเช้าหวายสานละเอียดใส่ไข่ไก่จนเต็มหิ้วอยู่ อีกมือหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์สีสดสวยเข้ากับเสื้อผ้าที่แต่งอยู่ หล่อนซอยรองเท้าส้นสูงขึ้นบันไดมาหยุดยืนชะงักอยู่ที่ขั้นบนสุดเมื่อมองเห็นเรา ขณะนั้นพอดีหนูศรีโผล่ออกมาจากข้างใน จึงร้องทักแม่หญิงที่เพิ่งมาถึงนั้นว่า

“นึกว่าใคร พี่ดวงใจนั่นเองแหละ มาเยี่ยมพ่อหรือคะ”

หญิงสาวสวยที่ชื่อดวงใจผู้นั้นพยักหน้า ส่งกระเช้าไข่ไก่ในมือให้แม่ศรีรับไปถือไว้ ถามว่า ลุงกำนันเป็นไงบ้างจ๊ะศรี ได้หมอมาแล้วรึยัง”

“ตอนนี้พ่อกำลังนอนหลับค่ะ นั่งไงคะหมอ” หล่อนพยักหน้ามาทางที่ข้าพเจ้ากับหมอนั่งอยู่แล้วบอกว่า “พี่ดวงใจนั่งก่อนซิคะ หนูเอานี่เข้าไปไว้ในครัวเดี๋ยวเดียว”

แล้วหล่อนก็หิ้วกระเช้ากลับเข้าไปข้างใน สตรีที่ชื่อดวงใจเดินตรงเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้กับที่เรานั่งอยู่ หล่อนมองดูข้าพเจ้าทีหนึ่งและหมอคนนั้นทีหนึ่ง อย่างลังเลใจ ในที่สุด หล่อนก็หันมาถามข้าพเจ้าว่า

“คุณคิดว่าอาการของลุงกำนันนี่มีหวังหายขาดไหมคะ”

“ผมเองก็กำลังอยากทราบอยู่ เช่นเดียวกัน” ข้าพเจ้าตอบหล่อนแล้วหันไปถามหมอว่า “ว่าไงครับ หมอ หมอว่ามีหวังหายไหม”

“ตอบยาก” หมอยืนยันตามคำตอบเดิมแล้วพูดกับแม่ศรีซึ่งเดินออกมานั่งร่วมวงด้วยว่า “ฉันอยากจะรู้วันเดือนปีเกิดของกำนัน รวมทั้งเวลาตกฟากด้วยหนูรู้บ้างไหม”

แม่ศรีหัวเราะพลางส่ายหน้า “ไม่รู้หรอกคะ หมอ แม้แต่ตัวพ่อเองก็ยังไม่รู้เลย” ย่ากับปู่ไม่เห็นจดเอาไว้ให้ดู”

“ทำไม วันเดือนปีเกิดของคนไข้เกี่ยวอะไรกับการรักษาด้วยรึ” ข้าพเจ้าซัก

“ผมรักษาตามแบบโบราณคือใช้ยากลางบ้าน” หมออธิบายเสียงขรึม “ที่อยากรู้เวลาเกิดของคนไข้ก็เพราะอยากจะเอามาผูกดวงโชคชาตาสักหน่อยเท่านั้น ถ้าหากว่าชาตาของคนไข้กำลังสูงก็อาจจะหายได้”

“อ้อ เป็นหมอดูด้วยหรือคะ” นางสาวดวงใจชะโงกหน้าเข้ามาถามอย่างสนใจ “ดีจริง ดูให้ฉันบ้างได้ไหมคะ ฉันอยากดูหมอจังเลย เกิดมาไม่เคยดูกับเขาสักที”

“อย่างพี่ดวงใจจะต้องมานั่งดูหมอให้เสียเวลาทำไม” แม่ศรีขัด “เกิดมาก็คาบช้อนทองออกมาแล้ว เงินทองมีอยู่ล้นเหลือ นึกอยากได้อะไรเป็นได้ไอ้นั้น ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาให้หมอดูโชคชะตาเลย”

“เอ ก็พี่อยากรู้เหตุการณ์ภายหน้าในชีวิตของพี่บ้างนี่นาศรี ได้ไหมคะ หมอ ดูให้ฉันบ้างซีคะ”

“บอกวันเดือนปีเกิดของคุณมาซี” หมอว่าพลางเปิดกระเป๋า งัดเอาตำราเล่มเบ้อเริ่มของแกออกมาพร้อมด้วยกระดาษและดินสอ เมื่อหญิงสาวบอกให้ แกก็พลิกตำราแล้วขีดเขียนอะไรอยู่สักครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้น บอกว่า

“เจ้าของดวงชะตานี้ จะมีชีวิตที่สุขสบายชั่วแต่ในระยะเบื้องต้นเท่านั้น แต่ต่อไปอาจจะต้องลำบากมาก ในระหว่างนี้กำลังจะมีเคราะห์ให้ระมัดระวังให้จงหนัก ถ้าทำดีๆ อันตรายจะผ่านพ้นไป แล้วชีวิตข้างหน้าต่อไปก็จะดีตลอด ขอแต่ให้ระวังในชั่วระยะสองเดือนที่จะถึงนี่เท่านั้น เคราะห์จะร้ายมาก”

หญิงสาวหัวเราะ ดูหล่อนออกจะไม่เชื่อถือในคำทำนายนั้น หล่อนหันไปบอกกับแม่ศรีว่า “ว่าไงจ๊ะ ศรี ถ้าต่อไปพี่ลำบากอยากจนละก็ศรีอย่าลืมพี่เสียเทียวนะ แล้วศรีล่ะ ไม่ให้หมอช่วยดูโชคชาตาราศีให้บ้างหรือ เออ ดูซิว่าจะพบเนื้อคู่แล้วหรือยัง”

“ฮื้อ พี่ดวงใจนี่แหละ” แม่ศรีทุบญาติสาวค่อยๆ ยิ้มอายๆ แต่แล้วหล่อนก็บอกวันเดินปีเกิดของหล่อนให้พ่อหมอ ซึ่งหลังจากที่ได้ขีดๆ เขียนๆ ตามวิธีของแกอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็ให้คำทำนายว่า

“ตามดวงชาตานี้บอกว่า หนูกำลังจะได้พบผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่มีรูปร่างไม่สวยไม่งามอะไร แต่ทว่ามีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีกับหนูจริง ถ้าได้พบกับชายคนนี้แล้วก็ขอให้ค่อยๆ อดออมถนอมใจกัน แล้วจะอยู่ด้วยกันยืด แต่ถ้าจะมีการเลิกร้าง ก็แม่หนูนั่นแล้วที่เป็นฝ่ายเลิกราจากเขาก่อน

สองสาวหัวเราะคิกคักชอบใจ หันมากระเซ้าจะให้ข้าพเจ้าดูชะตาอีกคนหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธ หล่อนก็เลยผลัดกันซักผลัดกันถามพ่อหมอต่อไป ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวลา แม่สาวที่ชื่อดวงใจร้องขึ้นว่า

“อ้าว จะกลับละหรือคะ” แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นบ้าง บอกกับญาติสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า “งั้นพี่ก็จะกลับบ้างละ หนูศรี เรียนลุงกำนันด้วยว่าวันหลังพี่จะมากราบเยี่ยมเยียนใหม่ ลานะคะ หมอ ขอบคุณมากที่กรุณาดูโชคชาตาให้” แล้วหล่อนจึงหันมาพยักหน้ากับข้าพเจ้าบอกว่า “ดิฉันจะไปส่งให้ที่ที่พัก”

“ผมพักที่บ้านหลังติดๆ กันนี่เอง” ข้าพเจ้าบอกหล่อน “แต่ผมกำลังคิดว่าอยากจะไปที่สโมสรข้าราชการสักหน่อย”

“งั้นดิฉันจะไปส่งคุณที่นั่น” หล่อนพูดง่ายๆ แล้วก็เดินนำข้าพเจ้าลงบันไดไปขึ้นรถที่หล่อนเป็นผู้ขับเอง

หล่อนเลี้ยวรถเข้าไปส่งข้าพเจ้าที่ตีนบันไดสโมสรเลยทีเดียว แล้วก็ขับออกไป ข้าพเจ้ายืนมองดูอยู่จนรถของหล่อนลับไปแล้ว จึงหมุนตัวกลับจะก้าวขึ้นบันได ก็เผชิญหน้ากับชายคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้ารู้จักว่าเป็นข้าราชการขั้นตรีประจำจังหวัด เขายืนอยู่บนบันไดขั้นแรกจ้องมองดูข้าพเจ้าแล้วถามขึ้นว่า

“คุณคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ดีอยู่หรือ”

ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ชอบใจในการจ้องมองของเขา จึงแกล้งไม่ตอบนอกจากยักไหล่แล้วก็เดินหลีกขึ้นบันไดสโมสรไป

“เบียร์ขวดเล็ก” ข้าพเจ้าสั่งคนรับใช้แล้วทรุดกายลงนั่งที่โต๊ะหนึ่ง ส่วนนายข้าราชการหนุ่มผู้นั้น เมื่อได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่งแล้วเขาก็ขึ้นบันไดและเดินตรงมาที่โต๊ะข้าพเจ้าอย่างช้าๆ

“ขออภัย” เขาพูดเมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สุ้มเสียงค่อยเรียบร้อยขึ้น ข้าพเจ้าจึงพยักหน้ากับเขา บอกว่า

“นั่งลงซิคุณ มีธุระอะไรกับผมหรือ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ” เขานั่งลง “นอกจากผมต้องการจะเรียนถามคุณดูว่าคุณรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นมานานหรือไม่เท่านั้น ผมอยากจะรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตัวหล่อน”

“จำเป็นด้วยหรือ”

“ผมคิดว่าจำเป็นสำหรับผม” เขาตอบ ข้าพเจ้ายกไหล่ข้างหนึ่งบอกว่า

“ผมจะตอบคุณก็ได้ ว่าผมเพิ่งจะรู้จักกับหล่อนเมื่อสักครู่นี้เองที่บ้านกำนันแสง”

ดูเขามีทีท่าโล่งใจ “อ้อ หล่อน คงไปเยี่ยมกำนัน”

“หล่อนเป็นญาติกันกับบ้านนั้นหรือ”

“ครับ แม่ของหล่อนเป็นน้องสาวของกำนัน”

“ดูท่าทางหล่อนผิดกับผู้หญิงเมืองนี้นะคุณ”

“พุทโธ่ จะไม่ผิดกันยังไงได้ ก็หล่อนเป็นถึงนักเรียนปีนัง ไปเรียนหนังสือที่นั่นตั้งแต่เล็กๆ จบแล้วยังได้ไปเที่ยวอเมริกาอีกตั้งครึ่งปี”

“งั้นหล่อนก็เป็นคนร่ำรวย ?”

“พ่อเป็นนายเหมือง” เขาบอก แล้วรีบบอกว่า “แต่ความร่ำรวยของหล่อนไม่สำคัญเท่าคุณสมบัติที่หล่อนมีอยู่หรอกครับ อย่างน้อยหล่อนก็เป็นคนสวยมากใช่ไหม”

“เอาเบียร์บ้างไหม คุณ” ข้าพเจ้าถามเมื่อคนรับใช้นำเบียร์มาเสิร์ฟให้ เขาสั่นศีรษะ

“ไม่ครับ ขอบคุณ ผมเรียบร้อยแล้ว” แล้วเขาก็ทำท่าจะลุกขึ้น ข้าพเจ้ารินเบียร์ ใส่แก้วพลางถามเขาว่า

“คุณคงชอบพอกับหล่อนซินะ”

เขาหยุดชะงัก หน้าแดงอึกอักลังเลนิดหนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ผมชอบหล่อน เราเคยคุยกันสองสามครั้งแล้ว ผมกำลัง เอ้อ กำลังคิดจะจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอหล่อน”

มิน่าล่ะ หมอจึงทำตาขวางเข้าใส่เราเมื่อเห็นหล่อนขับรถมาส่ง ข้าพเจ้าคิดแล้วถามเขาตรงๆ ว่า

“แล้วหล่อนก็ชอบคุณรึ”

“ผม ผม ไม่แน่ใจ” เขาตอบ อึกอัก “ดูหล่อนก็ไม่มีท่าทีรังเกียจอะไรผมนี่”

“แล้วคุณบอกหล่อนแล้วรึยัง เรื่องที่จะจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอนี่”

“ยังครับ ผม ผมไม่กล้า ผมเป็นคนขี้อาย ทั้งขี้ขลาดด้วยเวลาอยู่ใกล้ผู้หญิง ผมถึงได้รวบรัดให้ผู้ใหญ่ไปพูดเสียเลยไงล่ะครับ”

“อึอม์ ก็ดีเหมือนกัน แต่ในใจผมน่ะคิดว่า ถ้าอย่างไรคุณน่าจะบอกหล่อนให้รู้เสียด้วยตัวของคุณเองก่อนดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ผมขอดื่มให้กับความสำเร็จของคุณ”

ข้าพเจ้ายกแก้วเบียร์ชูขึ้นตรงหน้า แล้วก็กรอกใส่ปากตัวเอง พ่อหนุ่มน้อยคนนั้นยิ้มกระดากๆ เมื่อบอกว่า “ขอบคุณครับ” แล้วก็เดินจากไป

วันล่วงไป ข้าพเจ้ายังคงเป็นเพื่อนบ้านกำนันแสงอยู่ และเฝ้าดูหมอแผนโบราณผู้นั้น ซึ่งต่อมาได้ทราบชื่อว่าหมอสุข ได้ดำเนินการรักษาพยาบาลกำนันแสงต่อไป แต่อาการของคนเจ็บดูไม่ค่อยกระเตื้องขึ้นเลย มีแต่จะทรงกับทรุดเท่านั้น รักษาไปรักษามาอยู่สามเดือนลุงแสงก็เลยดับจิตพ้นทุกข์พ้นร้อนไป แต่คราวนี้คุณหมอสุขเกิดจากไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะแม่หนูศรีแกเกิดมีอาการจะมี “เจ้าหนู” ขึ้นมาเสียเอง ยายแก่ที่ทำกับข้าวให้ข้าพเจ้ากินถึงกับตบอกร้องว่า

“พุทโธ่ พุทถังเอ๊ย น่าเสียดาย ยังสาวยังแส้สวยๆ งามๆ อยู่แท้ๆ ไปคว้าเอาไอ้เฒ่าอัปลักษณ์อะไรไม่รู้มาเป็นผัว เวรกรรม”

“พุทโธ่ ยาย เนื้อคู่แล้วมันแคล้วกันไปไม่ได้หรอกน่า” ข้าพเจ้าบอกกับแกแล้วก็ลงบันไดไปยังสโมสร

ที่สโมสรวันนั้น ข้าพเจ้าพบนายข้าราชการหนุ่มซึ่งตกเป็นทาษรักของ นางสาวดวงใจ กำลังนั่ง “กร่ำ” อยู่อย่างเอาเป็นเอาตายจึงทักเขาว่า

“อ้าว เป็นไงคุณอมร” มาถึงตอนนั้นเรารู้จักกันดีแล้ว “อะไรเรียกแม่โขงทั้งขวดแต่วันเทียวหรือนี่”

เขาเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ฮึ่ม นั่งลงซี่ครับ นั่งลงดื่มให้กับความสำเร็จของผม”

“อ้อ นี่ตกลงกันเรียบร้อยไปแล้วรึ เรื่องราวของคุณ ดีจริง ผมขอแสดงความยินดีด้วย”

เขาขบกรามแน่น มือที่จับแก้วอยู่นั้นเกร็งเขม็ง “ตกลงซี” เขาคำราม “ผู้ใหญ่ของเขาตกลงกับผู้ใหญ่ของผมแล้วว่า แม้แต่เงินเดือนของผมก็ยังไม่พอซื้อเกือกให้ลูกของเขาใส่ ฮะ ฮ้า เป็นการตกลงที่น่าฟังไหมละครับ ดื่มซีครับ ดื่มให้กับความสำเร็จของผม”

“คุณอมร ผมเสียใจ...”

“อ๊าย” เขายกมือขึ้นโบกเปะปะ “อย่าเสียจงเสียใจอะไรเลยน่า ผมบอกให้ช่วยดื่มให้กับความสำเร็จของผมก็ดื่มก็แล้วกัน คุณเคยได้ยินไหมที่เขาพูดกันว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ให้เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา นั่นนะ เคยได้ยินมั่งไม้ ผมจะบอกให้ว่าผมจะเอาผู้หญิงคนนี้มาเป็นเมียผมให้ได้ ต้องเอาให้ได้” เขาตะโกนพลางใช้กำปั้นฟาดลงบนโต๊ะโครมใหญ่ “คอยดูซี เอ้า ดื่ม ดื่มให้กับความสำเร็จของผม เจ็บใจนัก ฮึ่ม มันดูถูก ดูถูก”

เขาเทเหล้าลงในปากหัวสั่นง่อกแง่ก ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยืนสั่นศีรษะปลงอนิจจังแล้วเดินจากไป ตอนพลบเย็นนั้นขณะที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าต่าง คิดถึงเรื่องนายอมรกับแม่ดวงใจลูกสาวเศรษฐีเพลินอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้มองเข้าไปที่บ้านของกำนันแสงโดยบังเอิญ เห็นแม่ศรีกำลังยืนอาบน้ำอยู่ที่โอ่งซีเมนต์ตรงมุมเรือน ได้ยินเสียงหล่อนร้องตะโกนสั่งคนบนเรือนว่า

“หมอ หมอ หยิบผ้านุ่งฉันมาให้ทีเถอะ”

แล้วสักครู่หนึ่ง ตาหมอสุขก็ค่อยๆ ย่องลงบันไดมา ในมือมีผ้าผืนหนึ่ง บนบ่า มีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่ แกยืนคอยอยู่จนแม่ศรีอาบน้ำเสร็จจึงส่งผ้าให้ พอแม่ศรีรับผ้ามาพลัดเรียบร้อยแล้วแกก็จัดแจงเอาผ้าเช็ดตัวคลุมบ่าให้ แม่ศรีกระชับผ้าเช็ดตัวแล้วก้าวออกเดินจากที่นั้นขึ้นบันไดไป คงละผ้าเปียกซึ่งเจ้าหล่อนใช้นุ่งอาบน้ำ ให้เป็นหน้าที่ของหมอสุขซักและตากต่อไป ข้าพเจ้าดูๆ แล้วก็บังเกิดความขันแกมสังเวชขึ้นมาจับใจจนถึงกับต้องปลง

อีกสองอาทิตย์ต่อมา ยายแม่ครัวนักสืบบอกเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ว่าแม่ศรีแท้งลูกเสียแล้ว แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับที่แม่ดวงใจ ขนข้าวขนของมาอยู่กับนายอมรแล้ว

“แล้วพ่อแม่เขาไม่ว่าเอาเรอะ”

“โอ๊ย ก็แทบคลั่งไปน่าซีคะ แต่จะทำไงได้ ลูกตัวหอบเข้าหอบของมาอยู่กับเขาเอง พ่อแม่มาตามให้กลับก็ไม่กลับ นายสินเต้นผางๆ อยู่ที่บ้าน บอกว่าคุณอมรทำเสน่ห์ลูกเขา นี่เขาว่ากำลังจะไปหาหมอมาแก้กันอยู่”

“อะไรยาย สมัยนี้ยังมีอยู่อีกเรอะ เสน่ห์เล่ห์กลอะไรนั่นน่ะ”

“ทำไม้จะไม่มีเจ้าคะ คุณ ก็แล้วมันจะเป็นอะไรเล่าคะ ลูกสาวเขาก็ไม่เคยมีวี่แววว่าจะรักชอบกับนายอมรมาก่อน แล้วอยู่ ๆ ก็ไม่พูดไม่จา หอบข้าวหอบของมาอยู่กับนายอมรเสียเฉยๆ ถ้าไม่ใช่ถูกกระทำแล้วจะเป็นเพราะอะไร”

“อือ พิกลแฮะ แล้วเรื่องแม่หนูศรีนี่ล่ะ แท้งลูกเสียแล้ว แกมิร้องห่มร้องไห้เสียดายลูกบ้างหรือ”

“ตาหมอน่ะซีคะร้อง หนูศรีแกจะไปเสียดมเสียดายอะไร แกอยากมีลูกเมื่อไหร่กันเล่า แกไม่ได้รักใคร่ใยดีอะไรกับตาหมอเฒ่านั้นสักที”

“อ้าว ไม่รักแล้วทำไมถึงยอมให้...”

“อ๊าว ก็ผู้หญิงกับผู้ชาย นี่เจ้าคะ คุ้ณ กับมดน่ะมันอยู่ใกล้กันได้เมื่อไหร่ล่ะ นี่แหละอยากมีเมียสาว แม่เลยสนตะพายใช้เสียสบายใจไป สมน้ำหน้า”

ข้าพเจ้าเคยลองกรายไปทางบ้านของอมร ก็ได้เห็นแม่สาวดวงใจคนนั้นหล่อนยืนเหม่ออยู่ที่หน้าต่าง ดูผิดแผกไปจากที่ข้าพเจ้าเคยเห็น หน้าตาหมองคล้ำ เรือนผมยุ่งเหยิง และนัยน์ตาลอยๆ ยังไงชอบกล ผิดปรกติวิสัยของผู้ที่เพิ่งจะเริ่มชีวิตครอบครัวใหม่กับคนที่ตนรัก มันทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำทำนายของตาหมอสุขและคำบอกเล่าของยายแม่ครัวช่างพูดแล้วก็อดรู้สึกพิศวงอยู่ในใจมิได้ แม้มันมิใช่กงการอะไรที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แม้ว่าจะมีความสนใจใคร่รู้สึกเพียงใด หน้าที่ของข้าพเจ้าก็มีอยู่อย่างเดียวคือ คอยเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่แต่ห่างๆ เท่านั้น

อีกเพียงเดือนเดียวต่อมา ข้าพเจ้าก็รู้ข่าวจากยายแม่ครัวตามเคยว่าบัดนี้แม่ดวงใจหล่อนกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของหล่อนอีกแล้ว

“เขาหาหมอมาแก้ได้แล้วค่ะ” ยายแม่ครัวเล่า “อยู่ๆ ก็หอบของกลับไปเฉยๆ เหมือนตอนขามาไม่มีผิด เฮ้อ เอาตัวกลับไปแล้วใช่จะแก้ให้เป็นสาวกลับคืนมาได้ก็เปล่า เสียไปแล้วไปยกให้ใครเขาจะเอา นี่ได้ข่าวว่าอาเสี่ยเจ้าของเหมืองที่เขาเคยมาขออยู่นั้นเขาบอกเลิกแล้ว”

ข้าพเจ้าได้พบกับอมรที่สโมสรอีก คราวนี้เขาไม่ได้นั่งดื่มเหล้าเอาเป็นเอาตายอย่างเมื่อคราวก่อน เพียงแต่นั่งดื่มเบียร์ทอดอารมณ์อยู่กับเพื่อนๆ ข้าราชการด้วยกัน สีหน้าท่าทางตลอดจนการพูดจารื่นเริงเป็นปรกติ เมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง ข้าพเจ้าถามเขาตรงๆ ว่า เห็นเคยบอกว่ารักชอบเป็นหนักหนา แล้วที่เมียเกิดขนของกลับไปอยู่กับพ่อแม่เสียอย่างนี้แล้วเขาไม่เสียอกเสียใจคิดติดตามไปเอากลับคืนมาบ้างหรือ

“ติดตามมาทำไมกันครับ” เขากลับว่าอย่างนี้ “พ่อแม่เขาอยากเอาลูกเขากลับไปทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นเมียของผมแล้วก็ตามใจเขาซี ถ้าผู้หญิงเขาอยากกลับมาอยู่กับผมเขาก็กลับมาเองแหละ ไม่กลับก็แล้วไป”

แต่แม่ดวงใจหล่อนก็ไม่กลับ ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้ายังเคยได้เห็นด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า แม้ว่าหล่อนจะได้เคยเดินสวนกับอมรในระยะใกล้ชิด หล่อนก็มิได้ทักทายเขา เพียงแต่มองผ่านไปเหมือนมองคนไม่รู้จักเท่านั้น จะว่าหล่อนโกรธแค้นก็ไม่ใช่อีก เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าหล่อนมีความรู้สึกเช่นนั้นจริง ดวงตาของหล่อนก็ต้องแสดงออกมาบ้าง แต่นี้ไม่มีเลย ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความว่างเปล่าแต่เพียงประการเดียว เพียงแต่มองเห็น ข้าพเจ้าก็อดรู้สึกมิได้ว่าในตัวของผู้หญิงคนนั้น มีสิ่งใดสิงหนึ่งขาดหายไปเสียแล้ว

อีกไม่กี่เดือนต่อจากนั้น ข้าพเจ้าก็กลับเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แม่หนูศรีเริ่มมีผู้ชายมาติดพันใหม่ และดูเหมือนหล่อนก็ออกจะมีใจเอนเอียงมาทางผู้ชายคนใหม่นี่่มิใช่น้อย ได้ยินเสียงหล่อนตวาดตาหมออยู่แว้ดๆ พอข้าพเจ้า มาอยู่กรุงเทพฯ ได้สักหน่อย ก็ได้ข่าวว่าหล่อนไล่ตาหมอออกจากบ้านเสียแล้ว ข้าพเจ้ามิได้พบกับแกอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ ไม่รู้ว่าแกเทียวไปรักษาใคร ตายไปอีกสักกี่คนแล้ว เท่าที่พอจะสังเกตได้ก็คือดูแกแก่ลงและยากจนผิดกว่าเมื่อข้าพเจ้าพบแกครั้งแรกเป็นคนละคน ที่ยังคงเหมือนเดิมอยู่ก็แต่หน้าตาที่อัปลักษณ์ของแกเท่านั้น

ส่วนแม่หญิงที่ชื่อดวงใจนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าได้พบกับหล่อนที่ไนต์คลับแถวสุริวงศ์ หล่อนเป็นพาทเน่อร์ประจำอยู่ที่นั่น สภาพของหล่อนและร่างกายที่ซีดโทรมได้บอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตของหล่อน ขณะนี้ประสบกับความยากลำบากเพียงใด มันทำให้ข้าพเจ้าต้องหวนนึกไปถึงคำทำนายของตาหมอสุข และเสียงหัวเราะซึ่งแสดงความไม่เชื่อถือของหล่อน

เมื่อท่านอ่านมาถึงแค่นี้แล้ว ท่านพอจะเดาออกหรือยังว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่คิดที่จะให้ตาหมอสุขผูกดวงดูโชคชาตาราศีให้ข้าพเจ้าบ้าง ? ก็เพราะข้าพเจ้าเกิดสงสัยขึ้นมาน่ะซีว่าตาหมอนี้แกเป็นหมอดูแม่นๆ จริงหรือไม่ ก็ถ้าแกเป็นจริงแล้ว เหตุใดแกจึงไม่ดูชาตาของตัวเองปล่อยให้ตัวเองต้องตกเป็นทาสรักของแม่หนูศรีให้หล่อนข่มขี่สนตะพายใช้เสียจนงอมแงม แล้วมิหนำซ้ำยังถูกหล่อนทรยศ ไล่ออกจากบ้านจนถึงแกความหมดเนื้อประดาตัวลงราวกับยาจกดังนี้?