สุภาว์ ราชินีเรื่องสั้น | |
7 | ทายาทของยายพลอย |
15 | พรานติดแร้ว |
16 | วจีกรรม |
22 | กรรม |
28 | ในฝัน |
29 | แท้กซี่ |
30 | ยายบัว |
31 | ระหว่างกากับหงส์ |
34 | กรรมของสัตว์ |
35 | ชบาแดง |
36 | แดงเพลิง |
38 | เรื่องรักๆ |
39 | เคียงขวัญ |
40 | ผู้พิทักษ์ |
41 | ห้องดำ |
42 | เมืองคนโม้ |
43 | พระเอกของธารี |
44 | เพราะฉันรักเธอ |
45 | กำไล |
50 | กรรมใดใครก่อ |
หน้าที่
1/3 |
นาฬิกา เรือนใหญ่ที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพงบอกเวลาสองยามพอดี ขณะที่แสวงขับรถผ่านมา
หัวลำโพงในเวลานี้ดูค่อยสงบเงียบลดความอึกทึกจอแจ ลงกว่าเมื่อตอนหัวค่ำเป็นอันมาก ผู้คนที่สัญจรไปมาจนแทบจะหลีกกันไม่พ้นอย่างเมื่อตอนหัวค่ำนี้ ต่างก็กลับคืนเข้าสู่เคหสถานของตนจนหมดสิ้น คงเหลืออยู่ก็แต่ขอทานสองสามคน ที่ไม่มีชายคาบ้านสำหรับซุกหัวนอน ต้องอาศัยนอนตามริมฟุตปาธไปคืนหนึ่งๆ เท่านั้น ที่นอนขดตัวซุกอยู่ชิดราวสะพานอย่างสุขารมณ์ ยวดยานต่างๆ ซึ่งเคยเบียดเสียดกันแน่นขนัดจนต้อง ‘คลาน’ ตามๆ กันไปนั้นเล่า ก็เพลาลงถนัดตา   ตำรวจจราจรที่ผลัดกันปฏิบัติหน้าที่อย่างคร่ำเคร่งมาแล้วทั้งวัน ก็ออกเวรไปพักผ่อนกัน แสวงพายานคู่ชีพขึ้นสะพานเจริญสวัสดิ์ตัดตรงไปทางวัดไตรมิตร ผ่านตลาดหัวลำโพงและร้านค้าซึ่งปิดประตูเงียบไปตลอดแถว   จะยังคงมีที่เปิดประตูทิ้งไว้บานหนึ่งหรือสองบานแคบๆ ก็แต่จำพวกโรงแรมต่างๆ เท่านั้น   ใกล้ๆ กับทางเข้าของโรงแรมแหล่านี้   ภายใต้เงามืดสลัวของชายกันสาด   สิ่งที่จะให้เห็นเกลื่อนกลาด   และชินตาที่สุดสำหรับคนที่มีอาชีพทางขับรถยนต์รับจ้างเช่นเขา ก็คือร่างตะคุ่มๆ ของหญิงกลางคืนที่เตร็ดเตร่คอยหาเหยื่ออยู่   หญิงเหล่านี้มีกลวิธีที่จะเรียกร้องความสนใจจากเหยื่อหรือ ลูกค้าของหล่อนต่างๆ กัน  แต่ละคนมักจะแต่งตัวเฉิดฉายล่อแหลมต่อสายตา  ปะพรมน้ำหอมกลิ่นฉุนและรุนแรงพอที่จะเตะจมูกคนที่เดินผ่านหล่อนไป   หล่อนจะยืนอิดเอื้อนอ้อยอิ่งอยู่ภายใต้เงามืดสลัวของชายคา   บ้างก็สูบบุหรี่พ่นควันอย่างสบายอกสบายใจ  และก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่ชอบใช้วิธีจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกัน   สัพยอกกันด้วยคำพูดที่หยาบโลนต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ยิงทีเดียวได้นกสองตัว   คือเป็นการเรียกความสนใจจากลูกค้าได้ประการหนึ่ง   กับอีกประการหนึ่งก็คือจะได้เป็นการแก้เหงาไปด้วย  ในขณะที่จ้องหาลูกค้าของหล่อนอยู่   แต่ก็ยังมีบางคนที่แต่งตัวซอมซ่อ  ยืนหรือนั่งตัวห่อซุกอยู่ตามซอกตึก  ตรงที่ที่มืดที่สุดเท่าที่จะหาได้  ราวกับว่าหล่อนกำลังซุกซ่อนหาที่หลบลี้หนีภัยมากกว่าจะออกมา ‘ทำมาหากิน’ เหมือนดังเขาอื่น   และบรรดาหญิงทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้   เพียงแต่ได้เห็นเงาหรือแม้แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ของตำรวจรักษาการณ์ผ่านมาเท่านั้น   หล่อนก็จะพากันหายแวบไปหมดราวกับเป็นการล่องหนของนักเล่นกลตัวฉกาจก็มิปาน
แสวงหักพวงมาลัยรถผ่านหน้าโรงภาพยนตร์นิวโอเดียน  บ่ายหน้าไปทางราชวงศ์ หนังรอบดึกที่นิวโอเดียนคงจะเลิกไปนานแล้ว  เพราะโรงปิดเงียบสนิท  แสวงตั้งใจไว้ว่าต้องหาผู้โดยสารให้ได้อีกสักรายหนึ่ง   ก่อนที่จะนำรถกลับบ้าน   บ้านซึ่งมีลักษณะเป็นเพียงห้องแถวเก่าๆ จวนจะพังมิพังแหล่อยู่แล้วห้องหนึ่ง   กระเบื้องที่มุงหลังคาอยู่ หลุดไปแล้วหลายแผ่น และฝ้าเพดานที่ทำด้วยไม้ก็ไม่สู้จะป้องกันอะไรได้นักในเวลาฝนตก   พอฝนตกละก็มักจะต้องอพยพที่นอนเข้าของหนีฝนที่รั่วลงไปให้จ้าละหวั่นไปหมด   แต่ถึงกระนั้น บ้านก็ยังมีความหมายที่อบอุ่นสำหรับเขา  เพราะว่ายังมีจิต   เมียคู่ยาก   และอ๊อด ลูกชายคนโตอายุสามขวบ กับแอ๊วลูกผู้หญิงคนเล็กอายุเพิ่งจะได้ขวบเดียว อยู่ภายในบ้าน   หรือห้องอันโกโรโกโสนั้นด้วย
แสวงคิดว่าเขาจะลองขับรถผ่านไปทางหน้าโรงภาพยนตร์ครีราชวงศ์   เพราะแถวนั้นเกือบจะได้ชื่อว่าเป็นที่ชุมนุมโรงมหรสพทีเดียว   ทั้งโรงภาพยนตร์และโรงงิ้วรวมอยู่ด้วยกันก็ร่วมสิบโรงเข้าไปแล้ว   และหนำซ้ำยังเป็นแหล่งชุมนุมสรรพอาหารเครื่องขบเคี้ยวนานาชนิด   ให้เลือกซื้อหาบริโภคเอาตามใจชอบอีกด้วย   คงจะมีบ้างสักรายสองรายหรอกนะ   ที่จะยังหลงเหลืออยู่ พอที่จะให้เขาเสนอบริการนำส่งถึงบ้านได้บ้าง   ถ้าทางแถวนี้ไม่มี   ก็จะเลยไปทางโรงหนังคิงส์และแกรนด์ต่อไป
อันที่จริงค่าเช่ารถที่จะต้องนำส่งในวันพรุ่งนี้ก็มีอยู่เรียบร้อยแล้ว   รวมทั้งค่ากับข้าวและค่านมกระป๋องของแอ๊วด้วย   แต่ว่าดูเหมือนกางเกงที่อ๊อดนุ่งผลัดกันอยู่สองตัวนั้น จะเก่าคร่ำคร่าและขาดวิ่นเต็มทนแล้ว   แสวงไม่อยากเห็นลูกชายของเขาเปลือยกายล่อนจ้อน   หรือสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นวิ่งเล่นร่อนๆ อยู่ในตรอกอย่างเด็กอื่นๆ   แสวงรู้สึกว่าบรรดาพ่อแม่ทั้งหลายที่พำนักพักพิงอยู่ในตรอกเดียวกับเขานั้นไม่สู้จะเอาใจใส่กับอนาคตของลูกๆ เท่าที่ควรเลย
เขาเป็นแต่ปล่อยให้ลูกดูแลตัวเองเสียโดยมาก  จะเล่นยังไงก็ช่างจะกินอะไรก็ช่าง  จะไปเรียนหนังสือหรือไม่ไปก็ตามใจมัน   เพียงชั่วระยะเวลาสองปีที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในตรอกนั้น   แสวงมีโอกาสได้เห็นว่าเด็กรุ่นๆ ที่นั่น ได้เติบโตขึ้นสู่ความเหลวแหลกหลายต่อหลายคน  ทั้งผู้ชายและผู้หญิง   เด็กผู้ชายส่วนมากมักไม่แคล้วที่จะกลายเป็นอันธพาลหรือที่เขาเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า ผู้กว้างขวางไป   บางคนอายุยังไม่ทันจะครบเกณฑ์ทหารกลายเป็นอาชญากรไปก็มี เด็กผู้หญิงเล่า อายุเพ่อจะย่างเข้าสู่วัยสิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ ก็ริเริ่มใจแตกเสียแล้ว   อย่างเมื่อวานซืนนี้เอง  ลูกสาวคนรองของยายเทียมขายขนมครก  ซึ่งอยู่ข้างห้องของเขา   อายุเพิ่งจะได้สิบห้าเท่านั้นหนีตามนายสิบทหารคนหนึ่งไปแล้ว  ทั้งๆ ที่พี่สาวซึ่งหนีตามเจ้าหนุ่มอะไรคนหนึ่งไปเมื่อไม่ทันจะถึงปีมานี่เพ่อจะหอบท้องกลับมาอยู่กับแม่หยกๆ ยังไม่ทันจะข้ามอาทิตย์
แสวงคิดว่าเขาจะยอมให้ลูกของเขาเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่ได้   ขณะนี้อ๊อดยังเด็กอยู่มาก   คงจะไม่สู้กระไรนัก   แต่อีกสักสองปีเท่านั้น   แกก็จะโตพอที่จะรู้ความและจดจำอะไรๆ ได้แล้ว   เด็กจะเติบโตมาดีหรือไม่ดีนั้น ย่อมจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่  เขาจะยอมให้ลูกๆ เติบโตขึ้นมาในท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการด่าทอผรุสวาท   การตีรันฟันแทง   และได้เห็นตัวอย่างอันเสื่อมทรามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกระไรได้
แสวงอดนึกติเตียนตัวเองมิได้ ที่ประพฤติตนเป็นคนไม่ดีมาเสียตั้งแต่ต้นมือ   ทั้งๆ ที่พ่อแม่ของเขาก็เต็มใจที่จะส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียนอย่างเต็มที่   แต่เขากลับไม่เอาถ่านเอง  พอโตขึ้น รู้จักที่จะหนีโรงเรียนเป็น  เขาก็เริ่มที่จะหนีโรงเรียนทีเดียว  คบเพื่อนเสเพลอีโหลกโขลกเขลก   เกะกะไปตามเรื่องตามราว  เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง   สอบตกบ้างได้บ้าง  จนมาถึงชั้นมัธยมสี่   แสวงก็รู้สึกว่า เขาโตเกินกว่าที่จะเรียนเสียแล้ว   ก็จะไปเรียนได้ยังไงไหว ในเมื่อขณะนั้นอายุเขาก็ปาเข้าไปตั้งสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว   แต่เจ้าพวกนักเรียนร่วมชั้นยังตัวเปี๊ยกๆ ทั้งนั้น   อายุสิบสองก็ยังมี   มิหนำซ้ำยังเรียนดีกว่าเขาเสียอีก ด้วย เพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันก็ขึ้นชั้นเจ็ดชั้นแปดไปโน่นแล้ว   มิใยที่พ่อแม่จะวิงวอนก็แล้ว   ขอร้องกันดีๆ โดยชี้แจงหาเหตุผลมาพูดจาหว่านล้อมก็แล้ว ตลอดจนถึงกับขู่เข็ญและลงอาญากันก็แล้ว แต่แสวงก็ยังดึงดันไม่ยอมเรียนต่อท่าเดียว   ถูกเอ็ดถูกว่า และถูกลงอาญาหนักๆ เข้า   เขาก็เลยเปิดหนีออกจากบ้านไป ระเหเร่รอนไปตามเรื่อง   กินบ้างอดบ้าง   ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น บางครั้งบางคราวก็อาศัยพักพิงตามบ้านเพื่อนฝูงบ้าง   เขาใช้ชีวิตเร่ร่อนไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่อย่างนั้นร่วมปี จึงได้มีอาชีพที่แน่นอน   คือเพื่อนคนหนึ่งชวนให้ไปเป็นเด็กกระเป๋ารถประจำทาง แสวงทำหน้าที่นั้นอยู่เกือบสี่ปี   ใช้เวลาว่างทั้งหมดขลุกอยู่กับเครื่องยนต์ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้โอกาสลาออกจากหน้าที่คนขายตั๋วไปเป็นคนขับรถประจำทางอีกสายหนึ่ง   นั่นแหละจึงค่อยนับว่าค่อยลืมตาอ้าปากขึ้น   พอมีเงินมีทองไว้พอจับจ่ายใช้สอยกับเขาบ้าง   และในตอนนี้เองที่เขาได้พบกับจิต
จิต ภรรยาของเขามิใช่ผู้หญิงที่สะสวยบาดตาอะไรนัก   แต่ว่าความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั่นสิที่จับใจเขาเหลือประมาณ   แม้กระนั้นเมื่อตอนที่เขาติดพันหล่อนใหม่ๆ นั้น   เขาก็ยังมิได้เกิดความคิดที่จะสะสมเงินทองอะไรไว้เผื่อกาลภายหน้า   หาได้มาเท่าไรก็ใช้ไปหมดเท่านั้น   ทำตัวเหมือนกับหนุ่มคะนองทั่วไป   แม้กระทั่งเมื่อเขาได้อยู่กินกับหล่อนแล้วอย่างเงียบๆ โดยความยินยอมของบิดามารดาของหล่อน  ตราบจนกระทั่งจิตเริ่มตั้งท้อง   แสวงก็ยังไม่คิดที่จะเก็บเงินเก็บทองไว้สร้างหลักฐานอะไรเลย   เห็นจะเป็นด้วยในเวลานั้นอายุของเขายังน้อยเกินไปจนยังไม่รู้จักที่จะรับผิดชอบอะไรก็เป็นไปได้   และอีกอย่างหนึ่ง  จิตก็หารายได้เล็กๆ น้อยๆ ได้จากการรับขนมมาขายด้วย   แต่พอจิตคลอดลูกแล้วนั่นสิ   สภาพที่ทรุดโทรมลงของหล่อน  กับภาระที่จะต้องเลี้ยงดูลูกทำให้หล่อนไม่สามารถจะเที่ยวออกเร่ขายขนมได้เหมือนที่เคย คราวนี้เองที่แสวงเริ่มเรียนรู้ถึงภาระและความรับผิดชอบของการเป็นพ่อบ้านและพ่อคน   ความรักและความผูกพันในสายโลหิตทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของลูกขึ้นมาเองโดยมิต้องพักคอยให้ใครสอน แสวงคิดถึงความเหลวไหลของตัวเขา และการเคี่ยวเข็ญเพราะความหวังดีของพ่อแม่ขึ้นมาได้ในตอนนี้ แล้วก็ตั้งปณิธานไว้ว่าเขาจะไม่ยอมให้ลูกประพฤติตนเช่นเขาเป็นอันขาด   การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นที่สุดที่คนจนๆ อย่างเขาควรจะให้ไว้เป็นสมบัติแก่ลูก   แสวงจึงเพิ่มความขยันขันแข็งในการงานยิ่งขึ้น และรู้จักงดเที่ยวเตร่อดออมเงินไว้จนกระทั่งมีโอกาสแยกจากบ้านพ่อตาแม่ยาย ซึ่งแสนจะคับแคบมาอยู่กับลูกเมียตามลำพัง
เฉพาะอาชีพคนขับรถเมล์นั้น   ลำพังลูกคนเดียวก็พอจะมีกินมีใช้อยู่ได้   แต่พอจิตตั้งท้องคนที่สองสิ   แสวงก็นึกเห็นรายจ่ายทวีขึ้นเป็นเงาตามตัวทีเดียว   เขาจะต้องดิ้นรนหางานใหม่เสียแล้ว   แต่คนที่มีความรู้ไม่จบมัธยมสี่อย่างเขานี้จะหางานที่มีเงินเดือนดีๆ ทำได้ที่ไหน แสวงเชียวชาญอยู่ก็แต่เฉพาะการขับรถยนต์เท่านั้น   ขณะนั้นรถยนต์รับจ้างเริ่มจะมีมากขึ้นแล้วในพระนคร   เพื่อนคนขับรถเมล์ด้วยกันคนหนึ่งซึ่งลาออกไปขับรถแท็กซี่เล่าให้ฟัง ว่ารายได้จากการขับรถของเขานั้น  เมื่อหักให้ค่าเช่ารถไปแล้วก็ยังคงมีเงินใช้เดือนหนึ่งๆ เท่ากับเงินเดือนของข้าราชการชั้นเอกทีเดียว  มันทำให้แสวงดิ้นรนอยากจะลาออกจากงานเดิมมาขับรถแท็กซี่บ้าง   แต่ปัญหาขัดข้องที่เขาขบไม่แตกก็คือ  เงินก้อนที่จะต้องนำไปมอบให้เจ้าของรถเป็นมัดจำสำหรับค่าเสียหายนั่นสิ เขาจะไปหามาจากที่ใด
ในขณะที่แสวงกำลังอดออมและวิ่งเต้นหาเงินตัวเป็นเกลียวอยู่นั้น ก็เผอิญมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า   “มีคนเขาจะให้เช่ารถ   นอกจากจะไม่เอาวางมัดจำแล้ว  ค่าเช่ายังถูกกว่าอัตราค่าเช่าตามปรกติทั่วๆ ไปตั้งเกือบเท่าตัวอีกด้วย”
“แต่มันท่าไม่ดีเว้ย”   เพื่อนเขาบอก   “มีคนมาเช่าไปขับหลายรอบแล้ว แต่ไม่เกินเดือนก็ส่งคืนทุกรายไปเลย   เขาว่ามันเฮี้ยนชะมัด”
แสวงไม่รู้ว่ารถคันนั้นเฮี้ยนเพราะอะไร  และเฮี้ยนอย่างไร   เขารู้แต่ว่าเขาเองอยากจะได้รถมาขับรับจ้างเท่านั้น   เขาจึงให้เพื่อนผู้นั้นพาเขาไปหาเจ้าของรถ   ซึ่งการตกลงก็เป็นไปโดยง่าย   เจ้าของรถอนุญาตให้เขาเอามันออกมาจากโรงได้เลยทีเดียว   มิหนำซ้ำยังบอกว่าเขาจะเอารถไปเก็บไว้ด้วยก็ได้   ขอแต่ให้นำค่าเช่ามาส่งตรงตามเวลาไม่ขาดตกบกพร่องเท่านั้นเป็นใช้ได้
ขณะที่แสวงลูบคลำรถอยู่ด้วยความปลาบปลื้มนั้น   เด็กหนุ่มๆ คนหนึ่งซึ่งอยู่ในบ้านนั้นก็เลียบเคียงเข้ามาใกล้ถามว่า
“พี่จะมาเช่ารถคันนี้น่ะเหรอ”
เมื่อแสวงรับคำ นายนั้นก็มองดูหน้าเขาร้องว่า   “จะไหวเร้อ พี่”
“ทำไมจะไม่ไหว”   แสวงถามอย่างสงสัย   เด็กหนุ่มคนนั้นทำไหล่ห่อ หัวหด แล้วก็เหลียวมองดูทางหน้า ทางหลัง ก่อนจะกระซิบ กระซาบบอกว่า
“ไม่มีใครสู้ได้สักคน  ผีดุชะมัดเลย”
“เฮ้ย ผีสางมีที่ไหนสมัยนี้”   แสวงหัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่   เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งในที่คนขับแล้วลองติดเครื่องดู   ก็เห็นว่าเครื่องยังเดินสนิทหูดีเหลือเกิน   เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นยังยืนเกาะประตูรถอยู่   ยื่นหน้าเข้ามาทางช่องกระจก   ทำหน้าตาขึงขังบอกว่า
“จริงๆ นะพี่   ให้ตายโหงเถอะ  แล้วจะว่าไม่บอก   ฉันยังโดนเข้ากับตัวเองทีเดียว   คืนวันนั้นมานอนเล่นอยู่ดีๆ แหละหลับไป   พอตื่นขึ้นมาซี   โอ๊ยโย่ เหาะขึ้นไปนอนอยู่คาคบต้นมะม่วงโน่น  เกือบตกลงมาคอหักตายโหงเสียแล้ว”
แสวงหัวเราะอย่างขบขันและชอบใจ   แต่ไม่ติดใจที่จะเก็บเอาคำพูดของเจ้าเด็กนั่นมาใส่ใจ ผีสางที่ไหนกัน มันดันทะเล้นนอนละเมอไปเองน่ะสิไม่ว่า   ดูซิ  รถก็ยังใหม่เอี่ยมอยู่อย่างนี้   มันก็ออสตินแวนธรรมดาเหมือนอย่างรถเช่าคันอื่นๆ ที่วิ่งอยู่เกลื่อนถนนไปนั่นเอง ที่คนอื่นๆ ขับไม่ทนนั้นคงจะเนื่องมาจากเครื่องยนต์อะไรติดขัดสักอย่างหนึ่งเป็นแน่   เขาเองก็คลุกคลีอยู่กับงานพรรค์อย่างนี้มาหลายปีแล้ว   สักวันหนึ่งก็คงจะค้นพบสาเหตุและแก้ไขได้เอง
แสวงขับรถกลับมาบ้านอย่างมีความสุขสมหวัง   เขาแวะตกลงกับเถ้าแก่เจ้าของโรงรถปากตรอกบ้านเพื่อจะฝากรถไว้ในตอนกลางคืน ซึ่งก็ตกลงกันได้ในอัตราค่าฝากคืนละห้าบาท   แล้วจึงเลยเข้าไปบอกข่าวดีกับจิต เมียคู่ยากของเขาก่อนที่จะไปขอลาออกจากงานดั้งเดิมที่ทำอยู่
นับแต่นั้นมาจนบัดนี้ก็ร่วมปีหนึ่งแล้ว  ที่แสวงขับรถคันนี้ตระเวรออกรับคนโดยสาร ยังไม่เคยปรากฏว่าจะมีเหตุการณ์แปลกๆ อะไรเกิดขึ้นสักที เป็นแต่ว่าดูเหมือนโชคของเขาไม่สู้จะดีเหมือนคนอื่นๆ เท่านั้น   เขาหาเงินไม่ได้มากเท่าที่คิดเอาไว้ ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาได้กันมากๆ   จนบางคนถึงกับมีเงินพอซื้อรถมาเป็นของตัวเองก็มี   แต่เขาจะหาได้อย่างมากก็พอคุ้มค่าเช่าและใช้จ่ายไปวันหนึ่งๆ   แสวงไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น   เห็นจะด้วยเขาเป็นคนไม่สู้จะมีโชคมากกว่า เพราะมีอยู่คราวหนึ่งที่เขาขับรถผ่านคนกลุ่มหนึ่ง   เด็กเล็กๆ ที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นยกมือโบกกับเขาพร้อมกับร้องเรียก “แท็กซี่”
แต่ผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วยปัดมือเด็กนั่นโดยพลันเอ็ดว่า   “ไฮ้ เรียกเข้าไปได้รึ  เขามีคนโดยสารแล้วเห็นไหม   นั่นแน่ะ  มาโน่นแล้วอีกคันหนึ่งแล้วคันนั้นว่าง   เรียกซี”
แสวงแปลกใจ   เพราะว่าความจริงนั้นรถของเขาหาได้มีผู้โดยสารไม่แม้แต่คนเดียว
และอีกวันหนึ่ง  เพื่อนเขาถามว่า   “เฮ้ย แหวง   เมื่อเย็นวานนี้อั๊วเห็นลื้อทางสีลม   ลื้อรับใครไปส่งโรงพยาบาลหรือวะ  หน้าตาหมอถึงได้เปรอะเปื้อนเลือดไปยังนั้น”
แสวงบอกว่าเมื่อวานตอนเย็นวันนั้นเขาผ่านไปทางสีลมจริง แต่ไม่เคยรับคนเจ็บไปโรงพยาบาลไหนเลย   และก็ตลอดทั้งวันไม่ได้รับผู้โดยสารที่มีลักษณะอาการเช่นนั้นด้วย  ชะรอยเพื่อนผู้นั้นเห็นจะตาฝาดไปเป็นแน่แท้
มันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน  แสวงคิด   ที่บางคราวแม้แต่เขาเอง ก็ยังรู้สึกคล้ายๆ กับว่ามีคนนั่งไปในรถด้วย   แต่เมื่อมองดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติ   แสวงจึงคิดเสียว่าเป็นเพราะเขาไปคิดถึงคำพูดของเพื่อนๆ มากเกินไปจนทำให้เกิดความรู้สึกไปเอง
“แท็กซี่”
เสียงร้องเรียกค่อนข้างดัง   ทำให้แสวงรู้สึกตัวตื่นจากความคิด   ขณะนั้นเขาขับผ่านหน้าโรงหนังคิงส์และแกรนด์มาแล้ว   กำลังแล่นผ่านสามยอดจะตัดตรงไปทางเฉลิมไทย ก็พอดีมีคนเรียก   เออ โล่งใจไปที   ได้เที่ยวนี้ก็พอกลับบ้านนอนได้เสียที   แสวงคิดขณะที่เทียบรถเข้าจอดที่ปากตรอกแคบๆ มืดสลัวเพราะถูกขนาบด้วยตึกแถวทั้งสองข้าง
“ไปบางโพเอาเท่าไร”   ผู้ที่ก้าวเข้ามาถามนั้นเป็นผู้ชาย   มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนแอบๆ คอยอยู่ในเงาสลัวติดผนังตึก
บางโพ ออกจะไกลและเปลี่ยวในยามวิกาลเช่นนี้   แสวงเคยระวังตัวหนักหนาที่จะไม่ออกไปส่งผู้โดยสารในที่ไกลและเปลี่ยว ในตอนกลางคืนนอกจากจะมีเด็กแล้วผู้หญิงไปด้วย แต่นี่ก็มีผู้หญิง
“ขอสิบสองบาทก็แล้วกันครับ”   แสวงบอก เตรียมพร้อมที่จะอธิบายเพื่อขอความเห็นใจถ้าหากว่าเขาผู้นั้นต่อราคา   แต่ชายผู้คนนั้นก็หาต่อไม่   เขาเปิดประตูรถออกแล้วหันไปพยักหน้ากับผู้หญิง บอกว่า
“มาเถอะ”   เขาก้าวเข้าไปนั่งข้างในก่อนสั่งว่า  “ไม่ต้องเปิดไฟหรอกนะ น้องชาย”
แม่หญิงก้าวตามเข้าไปด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน แสวงชำเลืองดูพลางนึกขันในใจ  แม่นี่คงจะขี้อายไม่น้อย   นี่ท่าจะเล่นไม่ซื่อหนีผู้ใหญ่ไปไหนกับเจ้าหนุ่มก็ไม่รู้ ดูเหมือนจะมีห่ออะไรหิ้วมาเสียด้วยซี   อยากเห็นหน้าตาชัดๆ จริงว่าหน้าตาจะเป็นยังไง   แต่ดูรูปร่างก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะอ้อนแอ้นเท่าไรนัก  แต่โดยมารยาทของคนขับรถแล้ว  เขาก็ไม่ควรที่จะเอาใจใส่กับเรื่องราวของผู้โดยสารให้มากนัก   เขามีหน้าที่เพียงนำส่งให้ถึงที่แล้วก็รับเงินค่าจ้างมาเท่านั้นเป็นใช้ได้   สิบสองบาท  พรุ่งนี้เป็นอันว่าอ๊อดจะได้กางเกงขาสั้นสักตัว  และบางทีอาจจะแถมได้เสื้อให้เข้าชุดกันด้วย
ขับรถไปพลาง แสวงก็อดมิได้ที่จะชำเลืองดูผู้โดยสารทั้งสองจากกระจกบานเล็ก แต่เนื่องจากไฟในรถปิดมืดจึงเห็นไม่ถนัดนัก เออ ผู้หญิงผู้ชายสมัยนี้ คู่ไหนก็คู่นั้นแหละ  ถ้าลงเรียกแท็กซี่กลางคืนก็เป็นไม่ชอบให้เปิดไฟในรถเสียเลย   เป็นคนขับแท็กซี่นี่ก็ดีไปอย่างหนึ่งเหมือนกัน  ได้รู้ได้เห็นเรื่องอะไรต่ออะไรร้อยแปด  ถ้าเป็นนักเขียนละก็ คงจะมีเรื่องเขียนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้นกันละ   ตั้งแต่เรื่องของพวกดาวร้ายที่ชอบตีชิงวิ่งราวไปจนถึงเรื่องเศรษฐีซึ่งมักจะชอบขับรถเก๋งคันมหึมาไปจอดแอบซุ่มไว้   แล้วพาผู้หญิงอื่นๆ ที่มิใช่ภรรยาของตนขึ้นรถแท็กซี่ไปหาความสุขกันถึงไหนๆ นั่นเทียว
คิดเพลินจนมาถึงสี่แยกเกียกกาย เมื่อไรไม่รู้สึกตัว   แสวงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยตลอดทางที่นั่งมาในรถนั้นผู้โดยสารมิได้พูดจากันเลยแม้สักแต่คำเดียว   ท่าทางคงจะกำลังใช้ความคิดหมกมุ่นด้วยกันทั้งคู่   เมื่อเลยสี่แยกเกียกกายไปได้สักครู่ เขาก็หันไปถามว่า
“จะให้ผมส่งคุณที่ไหนครับ”
“เดี๋ยว  ขับตรงไปอีกหน่อย”   เป็นเสียงตอบห้วนๆ จากผู้ชาย
รถยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ อีกสักประมาณสองกิโลซึ่งเริ่มเข้าสู่ในที่เปลี่ยว   นานๆ ทีจะมีบ้านคนสักหลังสองหลัง   ในไม่ช้าเขาก็ได้รับคำสั่งจากผู้ที่นั่งมาว่า
“เอาละ  หยุดตรงนี้แหละ”
แสวง   หยุดรถตามคำสั่งแล้วจึงได้สังเกตเห็นว่า   ณ ที่ตรงนั้นเป็นที่เปลี่ยวไม่มีบ้านคนแม้สักหลังหนึ่ง   แม้แต่ถนนซอยก็ไม่มี   และขณะเดียวกันกับที่เขาคิดจะหันไปถามผู้โดยสารด้วยความสงสัยนั้นเอง   แสวงก็รู้สึกว่าถูกท่อนแขนอันล่ำสันของใครคนหนึ่งตวัดรัดคอทางเบื้องหลัง พร้อมทั้งมีเสียงร้องสั่งอย่างเหี้ยมเกรียมว่า
“ลงมือเลยโว้ย พวก”
ขาดคำนั้น   นังผู้หญิงก็เผ่นพรวดข้ามพนักเก้าอี้มาข้างหน้า   แสวงรู้สึกมันสอดมือเข้ามาล้วงกระเป๋าเขาวุ่นวายไปหมด   เขาก็ดิ้นรนเป็นพัลวัน   เจ้าแขนที่รัดคอเขานั้นแข็งราวกับปลอกเหล็กก็มิปาน   มันทำท่าราวกับจะรัดเขาให้ขาดใจตายไปคาที่ทีเดียว   ทำให้เขาต้องสอดแขนข้างหนึ่งไปกันไว้   ในขณะที่ดิ้นทุรนทุรายจะให้หลุดจากปลอกเหล็กนั้น  เสียงเจ้าผู้ชายคำรามอย่างเดือดดาลว่า
“บ๊ะ ฤทธิ์มากจริงนะเจ้านี่   เฮ้ย   นั่นมัวเสือกคลำอะไรอยู่วะ   เห็นไหมว่ามันดิ้นตูมตามอยู่นี่   ประเดี๋ยวมันเกิดแหกปากร้องขึ้นมาก็ฉิบหายกันหมดเท่านั้น   จัดการให้มันหมดเสียงเสียก่อนซิวะแล้ว   ค่อยค้นตัวมันทีหลัง”
แสวงรู้สึกเย็นวาบจับขั้วหัวใจ   นังผู้หญิงวางมือจากการค้นตามตัวของเขาแล้ว   แสวงเห็นว่ามันล้วงหยิบวัตถุอะไรอย่างหนึ่งขึ้น   และในทันใดนั้นใบมีดโกนอันคมกริมเป็นเงาขาวปลาบก็ปรากฏแก่สายตาของเขา   แสวงรวบรวมกำลังดิ้นจนสุดฤทธิ์   พร้อมกับใบมีดขาวแวบลงมาที่ลำคอของเขานั้น แสวงก็พลิกตัวหนี   เขารู้สึกเจ็บแปลบที่ซอกคอด้านซ้าย และพร้อมกันนั้น มือที่ไขว่คว้าเปะปะไปโดนไม่ได้ตั้งใจของเขานั้นก็ตะปบลงบนเรือนผมของนังผู้หญิงนั่นเต็มที่   เขาขยุ้มมือจิกแล้วกระชากลงมาโดยแรง   ซึ่งมันก็หลุดติดมือมาอย่างง่ายดาย   คุณพระช่วย! มันเป็นผมปลอมแท้ๆ ทีเดียว   เขาหลงกลเจ้าผู้ร้ายสองคนนี่แท้ๆ   เสียงเจ้าผู้หญิงปลอมร้องว่า
“เฮ้ยมันดึงผมกูหลุดไปแล้วโว้ย   ต้องปิดปากมันเสียเร็วๆ   เดี๋ยวมันหลุดไปปูดกับตำรวจได้ละก็ฉิบหายกันแน่”
ขณะนั้นเจ้าแขนที่รัดคออยู่คลายออกไปแล้ว   แต่มันกลับใช้มือยึดแขนของเขาตรึงกับพนักเก้าอี้ไว้แน่น   ปากก็ร้องเตือนเพื่อนของมันว่า
“เชือดเลยซีวะ   ทีเดียวเอาให้เสร็จ”
เจ้าเพื่อนของมันใช้มือหนึ่งกดหน้าเขาไว้ให้แหงน   พร้อมกันนั้นมันก็ปาดมีดโกนในมือลงอีกครั้งหนึ่ง   แสวงพลิกหลบ คราวนี้มันกรีดแก้มซ้ายของเขาเป็นทางยาวเว่อไป   แสวงพยายามระงับความเจ็บปวดรวบรวมกำลังถีบตัวทะลึ่งขึ้นโดยแรง   หัวของเขากระแทกปากเจ้าคนข้างหลังโครมใหญ่   เสียงมันร้องลั่นด้วยความเจ็บ   มือที่ยึดเขาไว้มั่นนั้นคลายออก   ปล่อยโอกาสให้เขาเปิดประตูรถ  กระเสือกกระสนหลุดออกมาได้   เจ้าคนที่ใช้มีดเชือดเขาคำรามว่า
“มันหลุดไปจนได้เห็นไหม   ตามมันไปอีกซีวะ   ต้องช่วยกันจัดการปิดปากมันให้สำเร็จ”
แสวงวิ่งโซซัดโซเซออกไปจากที่นั้น  เลือดจากบาดแผลที่แก้มและที่คอไหลลงไปชุ่มโชกเสื้อที่เขาสวมอยู่   มีเสียงวิ่งตามติดมาเบื้องหลัง  ทั้งๆ ที่รู้สึกอ่อนกำลังเต็มทน เขาก็ยังกัดฟันวิ่งต่อไป   แต่ในไม่ช้าเขาก็สะดุดเข้ากับหินก้อนหนึ่งล้มกลิ้งลงข้างทาง   ชั่วขณะนั้นเองที่แสวงรู้สึกทอดอาลัยตายอยาก   รู้ว่าชะตาของเขาคงจะถึงฆาตกันคราวนี้แน่
แต่เจ้าวายร้ายทั้งสองก็หาตามมาถึงที่ที่เขานอนรอความตายอยู่นั้นไม่   ไม่รู้ว่ามันพากันวิ่งไปทางไหน  ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเครื่องยนต์   ความรู้สึกของแสวงเริ่มเลือนรางลงทุกที และก่อนที่เขาหมดสติไปนั้น   ดูเหมือนเขาจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่เหนือร่างของเขา   ดวงหน้าที่ก้มลงมองดูเขานั้น   แม้จะอยู่ในความมืดสลัวแต่ก็ยังเห็นได้ถนัดว่าช่างเป็นดวงหน้าที่ทำให้บังเกิดความสะพึงกลัวได้ไม่น้อยเลย   เนื่องจากใบหน้านั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผลสดๆ ที่ถูกเชือดเฉือนด้วยของมีคมจนเลือดอาบเลอะเทอะไปหมด   และที่คอเล่าก็เป็นแผลเหวอะหวะน่ากลัว   แสวงพยายามจะพูด   แต่ทว่าเรี่ยวแรงของเขาหมดสิ้นเสียแล้ว   ใบหน้าที่เขามองเห็นอยู่นั้นเลื่อนรางไป   ต่อจากนั้นความรู้สึกของเขาก็ดับวูบไป
เมื่อแสวงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั้น   เขาพบตัวเองมานอนทรมานอยู่ในห้องอันกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยคนเจ็บ   มีนางพยาบาลนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ  เมื่อเขาถามว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน นางพยาบาลก็ตอบว่าอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ  แล้วถามเขาว่ามีแรงพอที่จะให้การได้หรือยัง   แสวงพยักหน้า หล่อนจึงเดินออกไปจากห้อง   ในไม่ช้าก็กลับเข้ามาพร้อมกับนายตำรวจคนหนึ่งและคนอื่นๆ อีกสองคน
นายตำรวจยิ้มทักกับเขาแล้วบอกว่า   “ไม่เป็นไรแล้ว ทำใจดีๆ ไว้   อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้   ไงไปเสียท่าให้มันเชือดเอาได้ล่ะน้องชาย”
แสวงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นายตำรวจฟัง   นายตำรวจดูเหมือนจะไม่แปลกใจนัก   เขาจดข้อความเหล่านั้นอยู่อย่างเงียบๆ   เมื่อจบแล้วจึงพูดว่า
“นั่นซี   เราเดากันไว้แล้วว่าเหตุการณ์คงจะเป็นไปในทำนองนี้   เมื่อเราจับเจ้าสองคนได้นั้น เจ้าคนหนึ่งยังมีรอยลิฟสติ๊คแดงแจ๋ติดอยู่ริมฝีปากเลย”
แสวงเบิกตากว้าง   “จับได้แล้วรึครับ”
“จับได้แล้ว   สายตรวจเขาพบเจ้าสองคนนี้เดินอยู่ท่าทางมีพิรุธน่าสงสัยจึงหยุดถาม พอดีเห็นรอยเลือดที่เสื้อเจ้าคนหนึ่งกับรอยลิปสติ๊คที่เจ้าอีกคนหนึ่ง   เขาก็เลยรวบตัวไว้   เรื่องมันสวมรอยกันพอดีกับที่เขาไปพบลื้อนอนสลบเลือดโทรมตัวอยู่กับรถที่เต็มไปด้วยเลือด   ยังอยู่แต่จะให้ลื้อไปชี้ตัวเท่านั้นแหละ   ไงพอจำหน้าได้ไหมล่ะ”
“จำได้คนหนึ่งครับ  เจ้าคนผู้ชาย   แต่  เอ   ทำไมมันจึงไม่ขับรถหนีไปก็ไม่รู้   กุญแจก็ยังตกอยู่ไม่ใช่หรือครับ”
“นั่นซี   นอกจากกุญแจรถแล้วยังมีเสื้อผ้าผู้หญิงพร้อมทั้งวิกผมอีกครบชุดทีเดียว  เอาละลื้อนอนพักเสียเถอะ   พูดมากนักจะกระเทือนแผล   ลื้อน่ะโชคดีมากนารู้ไหม”
เมื่อเห็นแสวงมองดูด้วยความสงสัย นายตำรวจก็บอกว่า  “ก็ไอ้รถคันเดียวกันนี่แหละ เมื่อปีก่อนนี้มันพาคนขับไปตายเสียคนหนึ่งแล้ว   ถูกเชือดคอเหมือนกันเสียด้วย   ที่ก็ที่เดียวกันนั่นเอง   ผิดกันแต่ว่าลื้อรอดมาได้   แต่เจ้าหมอนั่นเสร็จไปเลย   ถูกมันปาดเสียหน้าตาดูไม่ได้ทีเดียว”
แสวงนิ่งอึ้งไป  เมื่อเมียของเขามาเยี่ยมในวันนั้น   แสวงสั่งให้หล่อนจัดการบอกคืนรถให้แก่เจ้าของไปด้วย   เมื่อใครๆ ซักถามถึงเหตุผล   แสวงก็บอกแต่เพียงสั้นๆ ว่า
“อาชีพนี้มันอันตรายนัก”
ไม่มีใครสักคนที่จะรู้ว่าในใจนั้นเขาคิดอย่างไร
จากนิตยสาร ศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 332 พ.ศ.2501