สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
เคียงขวัญ

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:891
reply:0

อากาศในยามบ่ายท้ายฤดูฝนนี่ช่างร้อนอบอ้าวเสียจริง

เคียงขวัญเปิดกระเป๋าถือ   คว้าเอาโอดีโคโลญจ์ขวดเล็กที่เธอมีติดตัวเป็นประจำขึ้นมา แล้วลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปในห้องน้ำ   เปิดตู้แขวนใบย่อมเหนืออ่างล้างหน้า หยิบเอาผ้าขนหนูเนื้อนิ่มขนาดจิ๋วออกมาผืนหนึ่ง   ชุบน้ำจนทั่วแล้วก็บิดให้หมาด   เหยาะโอดิโคโลญจ์ลงไปบนผ้า 3-4 หยด   กลิ่นน้ำหอมเมื่อผสมกับน้ำยิ่งขจรขจายมากขึ้น   หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูชื้นๆ ผืนนั้นเช็ดตามหน้าตาลำคอและแขนส่วนที่อยู่พ้นจากการปกคลุมของเสื้อ   ความเยือกเย็นชุ่มฉ่ำของน้ำและกลิ่นอันหอมฟุ้งจรุงใจของน้ำหอมชนิดดี   ช่วยให้ความร้อนอบอ้าวคลายลงไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

เคียงขวัญพิรี้พิไรเช็ดแล้วเช็ดเล่า   พร้อมกันนั้น ก็อดที่จะดีใจและภาคภูมิใจในตัวเองมิได้ ที่เธอไม่ต้องมัวเป็นธุระห่วงกังวลถึงเครื่องสำอางบนใบหน้าเช่นหญิงสาวคนอื่นๆ   มองดูเพื่อนร่วมงานบางคนแล้ว เธอรู้สึกสงสารเมื่อเห็นเจ้าหล่อนเหล่านั้นบางคราวรู้สึกร้อนถึงกับเหงื่อหยด   แต่ก็มิกล้าจะทำอย่างไรมากไปกว่าใช้ผ้าเช็ดหน้าแตะๆ ซับเหงื่อเข้าไว้   เคียงขวัญรู้สึกว่าเธอควรจะขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงรวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเธอด้วย   ที่ทำให้เธอมาพร้อมกับมีผิวพรรณที่ผุดผ่องละเอียดอ่อนปราศจากไฝฝ้าราคีเช่นนี้

ในตู้ยังมีแป้งกระป๋องอยู่อีกกระป๋องหนึ่ง ซึ่งเคียงขวัญนำมาใช้ส่วนตัว   เธอเทแป้งใส่ฝ่ามือแต่น้อย ลูบไล้ไปทั่วทั้งดวงหน้าและลำคอ   ใช้ปลายนิ้วลบคิ้วเสียหน่อยก็เป็นอันเสร็จพิธี     เคียงขวัญซักผ้าขนหนูที่เช็ดหน้า   ตากไว้ที่ราวชุบโครเมี่ยมเรียบร้อยแล้ว จึงได้กลับออกมาด้วยความรู้สึกที่แช่มชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น

แต่พอก้าวกลับเข้ามาในห้องทำงาน   หญิงสาวก็ต้องชะงักด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งเอามือไพล่หลังเดินวนเวียนอยู่ในห้อง     พอเขาหันกลับมาและมองเห็นเธอเข้าเขาก็หยุดเดิน   จ้องมองดูเธอตาค้างโดยมิได้พูดว่ากระไร   เคียงขวัญนึกขัน   เธอคงเข้ามาเงียบเกินไปจนเขาไม่รู้สึกตัว   เมื่อหันมาพบเธอยืนอยู่เขาจึงได้ตกใจตะลึงงันไปเช่นนั้น     ความที่นึกขันนี่เองทำให้เธอยิ้มออกมากับเขาขณะที่ก้าวเดินไปที่โต๊ะทำงาน

“คุณ...มีธุระอะไรหรือคะ”

เขาดูเหมือนจะหายจากอาการตะลึงแล้ว   แต่ยังคงจ้องมองเธออยู่   พร้อมกันนั้นก็ยิ้มเมื่อตอบว่า   “ผม   เอ้อ   ผมอยากพบคุณคงทรัพย์   เจ้าของและผู้จัดการบริษัทสักหน่อยครับ     เจ้าพนักงานที่ห้องนอกเขาบอกว่าให้ผมมาบอกกับเลขานุการของท่านก่อน   ผมก็เข้ามาแต่ไม่เห็นมีใครสักคน”

“ขอโทษค่ะ   ดิฉันไป...”   เคียงขวัญหยุดคำพูดที่จะพูดต่อไป   ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรสักนิดเดียวที่เธอจะต้องไปอธิบายให้ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ฟังว่าเธอลุกออกจากห้องทำงานไปทำอะไรมา   “เอ้อ   คุณจะให้ดิฉันเรียน... เอ้อ   ผู้จัดการ   ว่าคุณเป็นใครและต้องการพบท่านเพื่อความประสงค์อย่างใดคะ”

“อ้อ   ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือเลขานุการของคุณคงทรัพย์”   เขาพูดอย่างเก้อ ๆ แกมพอใจหน่อยๆ   เคียงขวัญก้มศีรษะรับ

“ค่ะ   ตอนนี้ผู้จัดการกำลังว่าง   คุณจะให้เรียนว่าอย่างไร”

“ผม   ผมชื่อนิพนธ์ครับ   อยากจะขอพบคุณคงทรัพย์ด้วยเรื่องงานที่...”

“อ๋อ” เคียงขวัญอุทานอย่างรับรู้เมื่อเขาอึกอักเพราะหาคำพูดไม่ถูก   “คุณคงจะมาสมัครงานเป็นพนักงานเดินตลาดตามที่เราประกาศหนังสือพิมพ์กระมัง     เอ   แต่เท่าที่มีจดหมายสมัครมา   ดิฉันจำได้ว่าไม่เคยมีชื่อนี้ผ่านสายตาก่อนเลย”

“เปล่าครับ   ผมไม่ได้เขียนจดหมายมา   เพราะผม...เอ้อ...”

“เพราะคุณตั้งใจจะมาสมัครด้วยตนเองใช่ไหมคะ”

เขามีอาการลังเลแกมไม่แน่ใจ มองดูหล่อน     ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีพอใช้   เคียงขวัญคิด   ดวงตาของเขาดำเป็นเงาดูเหมือนคนที่มีอารมณ์รื่นเริงมองเห็นโลกสนุกสนามเบิกบานอยู่เป็นนิตย์   แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวของเขาไม่เหมาะแก่ตำแหน่งพนักงานเดินตลาด     จริงอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งกายด้วยกางเกงที่ตัดด้วยผ้าเนื้อดี   เสื้อเชิ้ทแขนยาว และผูกเนคไท ครบเครื่อง   แต่เสื้อของเขาก็ยังมีรอยยับย่นตามหลังแสดงว่าเขาไม่สู้จะระมัดระวังในการนั่งนัก   ผ้าผูกคอของเขามีสีสวยกลมกลืนกับเสื้อและกางเกง   แต่มันก็หาได้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ไม่     มันเพล่ไผลบิดเบี้ยวไปข้างหนึ่งโดยที่เจ้าตัวมิได้เอาใจใส่     เคียงขวัญมองดูแล้วรู้สึกรำคาญตาแทนอย่างบอกไม่ถูก

“แต่   อ้อ   บางทีคุณอาจจะเคยพบท่านเป็นการส่วนตัวมาก่อนแล้วกระมัง”   เคียงขวัญพูดต่อไป   “ท่านนัดให้คุณมาพบวันนี้หรือคะ”

“เปล่าครับ   ผม   เอ้อ   ผม…”   ตาสีดำเป็นเงาของเขาจ้องมองดูเธอย่างไม่แน่ใจและไม่สะดวกใจนัก   เคียงขวัญถอนใจเบา ๆ

“เอาละค่ะ   ดิฉันจะลองเข้าไปเรีบนท่านให้   เพราะตามปรกติท่านมักจะยอมให้พบแต่คนที่มีนัดไว้กับท่านแล้วเท่านั้น   ท่านมีงานยุ่งมาก   ดิฉันมักจะเป็นผู้ติดต่อทำกิจธุระที่ไม่สู้จะสำคัญแทนเสมอ   แต่นี่”   เธอมองดูเขาแล้วยิ้ม   “เป็นการมาสมัครงานเกี่ยวกับการเดินตลาด   ท่านคงจะต้องการสัมภาษณ์ สอบ ถาม ปากคำคุณด้วยตัวท่านเองเป็นแน่”

เขาทำปากหมุบหมิบคล้ายจะขอบใจเธอ   เคียงขวัญผลักบังตาที่กั้นอยู่ระหว่างห้องทำงานของเธอและผู้จัดการ   หายเข้าไปอยู่ในนั้นสักครู่ก็กลับออกมา   หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อบอกกับเขาว่า

“ท่านจะพบกับคุณค่ะ  เชิญเข้าไปได้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”   คราวนี้เขาพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำพร้อมกับยิ้มอย่างเปิดเผยเต็มที่   ซ้ำยังก้มศรีษะให้เธอน้อยๆ   แล้วก็หันหน้าเดินตรงไปยังบังตา   แต่ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นผลักมันแล้วก้าวเข้าไป   เคียงขวัญก็ร้องออกมาว่า

“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณนิพนธ์”

ชายหนุ่มหยุดชะงัก หันกลับมามองดูเธอพร้อมกับเลิกคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงถาม     เคียงขวัญยิ้มให้เขา แล้วบอกว่า

“ถ้าหากคุณจะมาสมัครงานละก็   คุณควรจะขยับผ้าผูกคอของคุณให้มันเข้าที่เข้าทางเสียหน่อยคงจะดี”

เขาก้มลงมองตัวเองแล้วยิ้ม   ทำตามที่หญิงสาวบอก   แล้วจึงหันมายิ้มกับเธออีกครั้งหนึ่ง บอกว่า   “ขอบคุณมากครับ”   และผลักบังตาเข้าไปในห้อง   เคียงขัวญถอนใจยาว หันเข้าหางานที่ทำค้างไว้ต่อไป   แต่ดูเหมือนว่าเธอจะทำใจให้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าได้ยากเหลือเกิน   หูของเธอคอยแต่จะเงี่ยฟังการสนทนาซึ่งดังแว่วๆ ออกมาจากห้องใน   ฟังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง   ไม่สามารถจะปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้   เวลาผ่านไปนานมิใช่น้อย เธอจึงได้ยินเสียงบังตาถูกผลักให้เปิดออก   พอเงยหน้าขึ้น ก็ได้เห็นชายหนุ่มเข้ามายืนยิ้มมองลงมาที่เธอ อยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานแล้ว

“เป็นยังไงคะ”   เคียงขวัญถาม   “ดูท่าทีพอจะมีหวังอยู่บ้างไหม”

“ต้องสุดแท้แต่การพิจารณาของคุณคงทรัพย์   ท่านนัดให้ผมมาฟังข่าวในวันจันทร์”

“ท่านคงจะต้องการปรึกษากับผู้ช่วยผู้จัดการและที่ปรึกษาของบริษัทดูก่อนกระมังคะ   แต่อย่างไรก็ตาม   ดิฉันหวังว่าคุณคงจะได้รับคำตอบที่คุณต้องการ”

“ขอบคุณครับ”   เขาบอก   อ้อยอิ่งอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่สู้เต็มใจว่า   “ผมลาก่อนละครับ   วันจันทร์พบกันใหม่”

เคียงขวัญมองตามจนเขาออกจากห้องไปแล้วจึงได้ลุกจากเก้าอี้   ผลักบังตาเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้จัดการ   ชายกลางคนรูปร่างสมบูรณ์ผู้ซึ่งกำลังนั่งสูบซิการ์มวนโตอยู่ที่เก้าอี้หมุนหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่นั้น   ลดซิการ์ลงจากปาก ยิ้มกับเธออย่างอารมณ์ดีและรักใคร่เมื่อร้องทักว่า

“ว่าไงลูก”

“เปล่าค่ะ”   เคียงขวัญหลุดปากออกไปก่อนตามนิสัยที่เคยชิน แล้วจึงพูดต่อไปว่า   “วันจันทร์นี่คุณพ่อจะตอบรับเรื่องพนักงานเดินตลาดหรือคะ”

“พ่อคิดว่ายังงั้น   ลูกสั่งให้เขางดลงประกาศแจ้งความในหนังสือพิมพ์ได้แล้ว   ถ้ามีจดหมายสมัครมาอีกก็รวบรวมเอาไว้ให้พ่อด้วย   วันเสาร์นี้ต้องปรึกษากับคุณบุญชิดและมิสเตอร์แจ๊คคินสันดูอีกครั้งหนึ่ง   ยากไม่ใช่เล่นเหมือนกันนา ที่จะคัดเลือกเอาคนเพียงสามคนจากจดหมายตั้ง 20-30 ฉบับน่ะ”

“แต่วันจันทร์นี้เพียงแต่จะเรียกมาสัมภาษณ์เท่านั้นใช่ไหมคะ”

“ใช่   พ่อคิดว่าจะเลือกเรียกมาสัมภาษณ์สักเจ็ดคนแล้วจากจำนวนเจ็ดคนนี้เราคัดเอาไว้เพียงสาม”

“เมื่อกี้นี้ก็มีมาคนหนึ่งใช่ไหมคะ”   เคียงขวัญถามเรื่อยๆ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยกลีบดอกไม้ที่ปักไว้ในแจกันบนโต๊ะเล่นเหมือนไม่สนใจต่อคำถามของตนเองนัก

“ไหน   อ๋อ   พ่อหนุ่มเมื่อกี้น่ะหรือ”

“เขาบอกเอาไว้ว่าชื่อนิพนธ์ค่ะ   แล้วก็ไม่มีจดหมายสมัครมาก่อนเสียด้วยซี”

“พ่อลองคุยกับเขาดูแล้ว   ยังไม่เคยมีความชำนาญในงานด้านนี้มาก่อนเลย   แต่เท่าที่คุยกัน รู้สึกว่าเขาออกจะมีหัวในทางนี้อยู่เหมือนกัน   บางทีเราอาจจะรับไว้ลองฝึกดูก่อน   แต่นั่นแหละ   พ่อต้องลองให้มิสเตอร์แจ๊คคินสันสัมภาษณ์ดูทีก่อน   นี่พ่อนัดให้เขามาฟังข่าววันจันทร์   เผื่อยังไงก็จะได้สัมภาษณ์ในวันนั้นเสียเลย”

“พื้นภูมิความรู้เป็นยังไงบ้างคะ   พอใช้ได้หรือไหมคะ”

“เห็นบอกว่าจบห้องแปดแล้วออกมาเรียนการค้าแต่ไม่สำเร็จ   ถามถึงการงานก็อ้ำอึ้งแล้วในที่สุดก็บอกออกมาว่าไม่เคยทำงานที่ไหน   เคยแต่ช่วยญาติผู้ใหญ่ทำงานส่วนตัวนิดๆ หน่อยๆ”

“เอ ไม่ทำงานแล้วอยู่มาได้ยังไงจนป่านนี้   ดูหน้าตาท่าทางก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มๆ แล้วนี่นะคะคุณพ่อ   อย่างน้อยๆ ขวัญกะว่าจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าแล้ว”

“ก็คงจะเป็นพวกที่พ่อแม่ตามใจนั่นแหละ   จะเรียนบ้างไม่เรียนบ้างก็ไม่ว่า   อันที่จริงพ่อสังเกตดูเด็กคนนี้ก็ดูออกจะมีไหวพริบดีอยู่ไม่ใช่น้อย   แต่ไม่มีใครคอยเคี่ยวเข็ญหรือให้โอกาสให้เขาใช้ความสามารถเท่าที่ควร   ถึงจะมีความฉลาดความสามารถก็เหมือนกับไม่มี   คนอย่างนี้แหละ ถ้าคบเพื่อนดีก็ดีเลิศ   แต่ถ้าลองคบเพื่อนร้ายๆ ซี   จะกลายเป็นคนที่ร้ายจนจับไม่อยู่เลยทีเดียว”

“เพราะนำความฉลาดไปใช้ในทางที่ผิด”   เคียงขวัญต่อแล้วหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อไปเหมือนพูดเล่นว่า   “คุณพ่อจะไม่ลองทำบุญช่วยไม่ให้เขานำความฉลาดไปใช้ในทางที่ผิดและเป็นภัยแก่สังคมบ้างหรือคะ”


เช้าวันจันทร์   พอเคียงขวัญไปถึงบริษัทพร้อมกับบิดา เธอก็มองเห็นนิพนธ์เดินเตร็ดเตร่คอยอยู่แถวหน้าบริษัทแล้ว     ดวงตาของเขาส่งประกายบอกความปิติยินดีมายังเธอ   และเมื่อเธอเดินเข้าไปในบริษัทกับบิดา   เขาก็เดินตามเข้ามาห่างๆ ด้วยกิริยาที่ระมัดระวังให้สงบสำรวมและเรียบร้อย

เขาคอยอยู่นอกห้องจนได้ยินเสียงบังตาเปิดและปิดซึ่ง แสดงว่าผู้จัดการเข้าห้องไปแล้วจึงเข้ามา   เคียงขวัญยิ้มรับเขาพร้อมกับทักว่า

“มาแต่เช้าเทียวนะคะ”

“โธ่ ใจผมมาก่อนนี้หลายวันแล้ว”   เขาบอก   แต่พอเห็นหญิงสาวเลิกคิ้วแล้วกลับทำหน้าเฉย เขาก็รีบพูดต่อไปโดยเร็วว่า   “ผมใจร้อนครับ   อยากทราบเต็มทีว่าจะได้งานหรือไม่”

“เชิญนั่งก่อนซีคะ   ดิฉันจะเข้าไปเรียนผู้จัดการให้ทราบว่าคุณมาแล้ว”

เขารับคำแล้วถอยไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสงบเสงี่ยม   เคียงขวัญผลักบังตาเข้าไปหาบิดา   บอกแกมหัวเราะว่า

“มาแต่หัวไก่โห่เลยทีเดียวค่ะ   คนที่คุณพ่อนัดไว้”

“ใคร   อ๋อ   พ่อหนุ่มนั่นน่ะรึ   เหอ เหอ   ท่าคงจะอยากได้งานเต็มทีละซี   หนูบอกให้เขาเข้ามาหาพ่อก็ได้   อ้อ   แล้วเลยลองไปดูที่ห้องมิสเตอร์แจ๊คคินสันด้วยนะลูกว่ามาหรือยัง   ถ้ามาแล้วก็เลยเชิญเขามาที่นี่เลย”

เคียงขวัญส่งตัวชายหนุ่มเข้าไปหาบิดาของเธอแล้วจึงได้เดินไปตามแจ๊คคินสันที่ปรึกษาของบริษัทที่ห้องของเขา

การสัมภาษณ์ดำเนินไปนานเกินกว่าชั่วโมง   เคียงขวัญไม่เคยเห็นการสัมภาษณ์ครั้งใดที่กินเวลานานเทียบเท่าครั้งนี้   ในที่สุดบังตาก็ถูกผลักออกมา   ชายหนุ่มผู้มาสมัครงานเดินออกมาก่อน... จึงถึงแจ๊คคินสันและบิดาของหล่อนเป็นคนสุดท้าย   ดูหน้าตาแจ่มใสบอกอารมณ์ปลอดโปร่งผ่องแผ้วด้วยกันทุกคน   แจ๊คคินสันยิ้มให้เธอก่อนที่จะเดินเลยไปยังห้องทำงานของเขา   นายคงทรัพย์บอกกับบุตรีว่า

“เราตกลงจะรับ คุณนิพนธ์ไว้ฝึกงานก่อนเป็นเวลาสองเดือน   ถ้าทำงานได้ผลดีจึงจะบรรจุไว้เป็นตำแหน่งประจำ   ในระหว่างนี้จ่ายค่ารถและค่าใช้จ่ายไปตามระเบียบอย่างที่เคยทำ     แล้วจึงหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า

“คุณแจ้งประวัติ และรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคุณเท่าที่จำเป็นให้ลูกสาวผมทราบ   เขาจะกรอกลงในรายการแบบฟอร์มของบริษัทตามระเบียบ     เสร็จแล้วก็กลับก่อนได้   พรุ่งนี้ค่อยเริ่มรับการอบรมสองอาทิตย์เกี่ยวกับสินค้าของเรา แล้วจึงจะปล่อยออกตลาดได้   คุณเข้าใจดีแล้วไม่ใช่หรือ”

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”   เขาตอบอย่างเรียบร้อย   นายคงทรัพย์พยักหน้า ก่อนที่จะกลับไปในห้อง   ยังกำชับซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า

“มีอะไรไม่เข้าใจหรือขัดข้องในเรื่องอะไรก็ถามลูกสาวผมดูได้   เขาจัดการเรื่องอะไรๆ แทนผมเกือบทุกอย่าง”

พอบิดาของเคียงขวัญเข้าห้องไป ชายหนุ่มก็หันมาทางเธอ   เขามองดูเธออย่างพินิจแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ผมไม่ยักทราบว่าคุณเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท”

“ก็ทำไมคุณถึงจะต้องทราบด้วยล่ะคะ”   เคียงขวัญย้อนถามเขาอย่างฉงน   “ดิฉันไม่เห็นแตกต่างกันที่ตรงไหน”

เขายืนนิ่ง ไม่พูดว่ากระไร   เธอจึงใช้ปลายปากกาที่ถืออยู่ชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้ามแล้วบอกว่า   “เชิญนั่งก่อนซีคะ   จะได้กรอกข้อความลงในแบบฟอร์มของบริษัทเสียตามระเบียบ”

เขาทรุดกายลงนั่งตามที่เธอบอก   ถอนใจเบาๆ แล้วพูดว่า   “ผมชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าผมทำถูกหรือเปล่าที่.....”

เคียงขวัญ กำลังชักลิ้นชักโต๊ะเพื่อหยิบเอากระดาษแบบฟอรฺ์มออกมา   เมื่อได้ยินเสียงเขาพูดเช่นนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยความแปลกใจ

“เอ๊ะ   แปลว่าคุณไม่อยากจะได้งานหรือยังไงคะที่บอกว่า...”

“เปล่าครับ เปล่าๆ”   เขาปฏิเสธโดยเร็ว   “อยากครับ อยากได้   ผมเพียงแต่ไม่แน่ใจว่า   เอ้อ   ผมทำถูกหรือเปล่าที่สมัครเข้าทำงานที่ผมยังไม่เคยมีความรู้ความชำนาญมาก่อนเลย   ผมเกรงว่าผมอาจจะไม่มีความสามารถพอก็ได้”

“คุณยังไม่เคยได้ลองทำดู แล้วคุณจะทราบได้อย่างไรเล่าคะว่าคุณมีความสามารถหรือเปล่า   อย่าลืมนะคะ   ว่าบริษัทให้โอกาสคุณพิสูจน์ความสามารถของคุณถึงสองเดือน”

“ครับ   ผมไม่ลืม และจะพยายามทำงานจนเต็มความสามารถของผมทีเดียว   ขอบคุณที่กรุณาให้สติแก่ผม”

“ไม่ใช่บุญคุณอะไรหรอกค่ะ”   เคียงขวัญหลบตาเขา แล้ววางกระดาษสองสามแผ่นลงบนโต๊ะเบื้องหน้าชายหนุ่ม   พูดต่อไปว่า   “ดิฉันเพียงแต่อยากให้คุณได้งาน เพราะเห็นใจคนที่ไม่มีงานทำเท่านั้นเอง”

“ถึงงั้นก็เถอะครับ   ผม...”

“กรุณากรอกข้อความลงในกระดาษนี่ค่ะ”   เคียงขวัญพูดตัดบทเสียเมื่อรู้สึกว่าการสนทนาชักจะยืดเยื้อออกนอกเรื่องการงานไปเสียแล้ว   ยังเร็วเกินไปนัก   เธอคิด   วันนี้นับเป็นครั้งที่สองที่เธอได้พูดจากับเขา   เธอไม่รู้จักเขาดีมากกว่าที่ได้รู้ว่าเขาเป็นเพียงคนมาสมัครทำงานตามธรรมดา   เขายังไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนร่วมงานของเธอเสียด้วยซ้ำ

เธอรับกระดาษที่เขาเขียนเสร็จแล้วมาถือไว้   มองดูคร่าวๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นบอกกับเขาว่า

“เวลาทำงานของเราเริ่มตั้งแต่ 8.30 นาฬิกานะคะ   พยายามอย่ามาช้ากว่านั้น   พรุ่งนี้คุณมารับใบสั่งจ่ายค่าใช้จ่ายประจำสัปดาห์ได้ที่ดิฉันแล้วนำไปเบิกเงินที่แคชเชียร์   คุณพ่อคงบอกให้คุณทราบแล้วว่าในระหว่างฝึกงานนี้ คุณจะได้ค่าใช้จ่ายสัปดาห์ละเท่าไร”

“ครับ ท่านบอกแล้ว”

“ดิฉันขอแสดงความยินดีด้วยค่ะที่คุณโชคดี   และหวังว่าคุณคงจะประสบความสำเร็จ”

“ขอบคุณครับ”   เขายิ้มอย่างปลาบปลื้ม   “ผม... เอ้อ...”

“สวัสดีค่ะ”   เคียงขวัญก้มศีรษะให้เขา   ยังผลให้ยิ้มบนริมฝีปากคู่นั้นค้าง   ใบหน้าของเขาสลดลงเล็กน้อย   เขามองดูเธออึ้งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นยืน   บอกว่า

“สวัสดีครับ”   แล้วก็เดินงุดๆ ออกจากห้องไป

พร้อมด้วยผู้ที่มาสมัครใหม่และได้รับการคัดเลือกไว้อีกสองสามคน   นิพนธ์ได้มารับการอบรมจากหัวหน้าแผนกขายทุกวันตรงเวลาไม่ขาด   เคียงขวัญได้ยินบิดาเธอและแจ๊คคินสันออกปากชมเขาเสมอว่าสอนง่าย   พูดอะไรก็เข้าใจดีและภาษาอังกฤษก็เก่งกว่าอีกสองคนนั้นมาก

“พูดอังกฤษยังกับนักเรียนอ๊อกซฟอร์ด”   แจ๊คคินสันพูดบ่อยๆ   เมื่อการสนทนาพาดพิงไปถึงนิพนธ์

เพียงสองวันแรกที่ออกเดินตลาด นิพนธ์ ก็ยิ้มแป้นนำใบสั่งของมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเคียงขวัญ

“order จากบริษัทสหธุรพาณิชย์ครับ   เขารายงานเสียงใสอย่างตื่นเต้น”   สั่งซื้อเครื่องพิมพ์ดีดตั้งโต๊ะภาษาไทย และ อังกฤษอย่างละหนึ่งเครื่อง”

เคียงขวัญคว้ากระดาษขึ้นมาอ่าน   จริงๆ นั่นแหละ   เป็นใบสั่งซื้อพิมพ์ดีดสองเครื่อง   มีลายเซ็นของผู้จัดการกำกับรับรองมาอย่างเรียบร้อย   เธอมองดูเขาอย่างแปลกใจและชื่นชม

“คุณเก่งมากนี่คะ”   เธอบอก   “เพียงฝึกออกตลาดได้สองวันเท่านั้นก็ได้ order มาแล้ว   ต่อไปคงจะเป็นพนักงานเดินตลาดที่สามารถที่สุดเป็นแน่”

นายคงทรัยพ์และแจ๊คคินสันเองก็รู้สึกประหลาดใจในความสามารถของเขามิใช่น้อย

“ออกเดินตลาดเพียงสองวันขายเครื่องพิมพ์ได้ถึงสองเครื่อง”   เคียงขวัญได้ยินบิดาของเธออุทาน   “คุณนี่คงจะพูดเก่งอยู่ไม่น้อยเทียวละ”

“ทำไมหรือครับ”   ชายหนุ่มทำหน้าซื่อเหมือนเด็กขณะที่เกิดความสงสัยขึ้นมา เมื่อถามเช่นนั้น

“ทำไมหรือ   ก็อีตาผู้จัดการบริษัทนี้น่ะแกขี้ตืดหยอกอยู่ไม่น้อยนี่   พนักงานเดินตลาดของเราเคยเข้าไปทาบทามหลายหนแล้วไม่เคยขายอะไรได้สักชิ้นเดียว   แกยอมสั่งซื้อเสียเมื่อไหร่   เออ   ขอถามหน่อยเถอะว่านี่คุณต้องหยอดอะไรให้แกบ้างหรือเปล่า”

“หยอดอะไรครับ”   เขาถาม กระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ     หมั่นใส้.. เคียงขวัญนึก... นายคนนี้น่ะต้องกะล่อน   เลห์เหลี่ยมพราวเทียวละถึงได้ต้อนหน้าต้อนหลังให้ผู้จัดการบริษัท สหธุรพาณิชย์ ลงชื่อสั่งซื้อของได้

“อ้าวก็หยอดน้ำมงน้ำมัน   น้ำร้อนน้ำชาอย่างที่เขาพูดกันน่ะซี”   นายคงทรัพย์อธิบาย   “มันเป็นเรื่องธรรมดาของการค้าขาย   เป็นศิลปอย่างหนึ่งของการขายของ”

“เปล่าเลยนี่ครับ”   ชายหนุ่มบอก   “ผมไม่เห็นคุณชุบ   เอ้อ   ผู้จัดการน่ะครับ   แกเรียกร้องอะไร   พอผมขอให้แกซื้อ   แกก็เซ็นชื่อสั่งซื้อโดยดี หน้างอๆ นิดหน่อยครับ   แต่ก็ไม่เกี่ยงงอนอะไร   ผมแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย”

“เหอ เหอ เหอ”   เคียงขวัญเห็นบิดาของเธอแหงนหน้าหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ   “คุณนี่ช่างถ่อมตัวสำคัญนักเทียว   พวกเรารู้นิสัยอีตาคุณชุบคนนี้แกดีอยู่ทั้งนั้น   แต่ในเรื่องการขายของนี่คุณจะมีศิลปะ มีอุบาย ยังไงของคุณผมไม่ว่า และจะไม่ซักถามด้วย   เพราะบางทีคุณอาจจะต้องถือเป็นความลับ   หน้าที่ของผมก็คือการพิจารณาผลงานของคุณ   และหน้าที่ของคุณก็คือ   “ต้องขายสินค้าให้ได้”   จำไว้ให้ดีนะ   คุณนิพนธ์   มติของเซลส์แมน มีอยู่ว่าต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะขายสินค้าให้ได้”

เขาเหลือบมาสบตาเคียงขวัญก่อนที่จะตอบรับคุณพ่อของเธอ

นายคงทรัพย์หันมาทางธิดา   สั่งว่า “หนูสั่งให้เขาส่งของไปตามใบสั่งนี่ด้วยนะลูก   เมื่อเก็บเงินมาได้แล้วก็จ่ายเงินส่วนแบ่งของคุณนิพนธ์ไปเลย   เออ.. แต่ว่า...”   เ ขาหันกลับมาทางนิพนธ์อีกอย่างยังไม่สิ้นสงสัย   “นี่เขาสั่งซื้อโดยไม่มีการขอชมสินค้าก่อนตามระเบียบหรอกรึคุณ”

“เปล่าครับ”   ชายหนุ่มตอบ   “ส่งของไปแล้วก็เก็บเงินได้เลยทีเดียว”

“เออ อัศจรรย์ๆ”   นายคงทรัพย์ออกอุทานด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจจริง ๆ

วันรุ่งขึ้น เมื่อเคียงขวัญส่งใบสั่งจ่ายส่วนแบ่งการขายให้แก่นิพนธ์   ชายหนุ่มก็รับไปพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ   แต่เขายังยืนรีรออยู่ครู่หนึ่ง   เมื่อหญิงสาวเลิกคิ้วมองดูเขาเป็นเชิงถาม   เขาก็ยิ้มอย่างเก้อๆ แถมกระดากเมื่อจะกล่าวว่า

“ผม...เอ้อ   ผมรู้สึกว่าผมยังเป็นหนี้บุญคุณของคุณอยู่อีกอย่างหนึ่ง”

“บุญคุณอะไรกันคะ”   เคียงขวัญถามเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ

“บุญคุณที่คุณช่วยให้ผมขายของได้ยังไงละครับ”

“ดิฉันน่ะหรือคะช่วยคุณ”   เคียงขวัญออกอุทานแล้วหัวเราะอย่างแปลกใจ   “คุณเอาอะไรที่ไหนมาพูดกัน   ดิฉันช่วยอะไรคุณเมื่อไหร่กันคะ   คุณทำสำเร็จด้วยความสามารถของคุณเองแท้ๆ”

“คุณช่วยซีครับ”   เขายืนยัน   “ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมอย่างไรเล่า   หรือไม่จริง”   เขาพูดเร็วเมื่อเธอทำท่าจะค้าน   “คุณเคยบอกว่าคุณหวังว่าผมจะประสบกับความสำเร็จ แล้วคุณยังอวยพรให้ผมประสบโชคดีด้วย”

“กับคำพูด แค่นั้นไม่ใช่บุญใช่คุณอะไรหรอกค่ะ   อย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย   ดิฉันไม่ทวงบุญคุณจากคุณหรอก”

“แต่ผมถือว่าใช่นี่ครับ”   เขาว่า   “แล้วผมก็อยากให้คุณทวงเสียด้วยซี”

เคียงขวัญหัวเราะ   รู้สึกแปลกในใจอย่างไรพิกล คล้ายๆ จะกระดากแกมลำบากใจยังไงก็บอกไม่ถูก   เธอหลบตาเขาเมื่อกล่าวว่า

“ดิฉันว่าไม่ใช่   และถ้าคุณอยากให้ทวงก็ไม่ทราบว่าจะทวงเอาอะไรเป็นการตอบแทนดี”

“ถ้างั้นผมจะขอเสนอให้คุณเอง”   เขาบอก   “ยอมให้ผมเลี้ยงอาหารกลางวันสักมื้อหนึ่งเป็นไงครับ”

เคียงขวัญเงยหน้าขึ้นมองดูเขา   ร้องว่า “นี้น่ะหรือคะที่คุณเรียกว่าเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณ”

เขายิ้ม   ทำท่าเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับกลโกงของตนได้   “ผมไม่ได้เรียกว่ายังไงทั้งนั้นแหละครับ   ผมเพียงแต่ขอร้องและวิงวอนให้คุณให้เกียรติออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับผมสักมื้อเท่านั้น   นะครับ   ไปนะครับ”

“ถ้าหากว่าดิฉันไม่ไปล่ะ”

“งั้นผมจะนั่งเกาะขาโต๊ะคุณอยู่ตรงนี้แหละจนกว่าคุณจะใจอ่อน”

“อุ๊ย อย่าค่ะ”   เคียงขวัญร้องเมื่อเห็นเขาทำท่าจะนั่งแปะลงกับพื้นอย่างที่พูดจริงๆ   “อย่านั่งลงไปนะคะ   เดี๋ยวกางเกงเปื้อนหมดหรอก”

“แปลว่าคุณตกลงจะไปรับประทานอาหารกับผมแล้วใช่ไหมครับ”   เขาแสดงความลิงโลดออกมาจนออกนอกหน้า   ทำให้เคียงขวัญต้องระงับคำปฏิเสธที่กำลังหลุดออกจากปากอยู่แล้วนั้น   เธอนิ่งอึ้งด้วยความลังเลและการตัดสินใจ   มองสบตาเขาซึ่งต้องคอยอยู่อย่างกระหายที่จะได้ฟังคำตอบ   เคียงขวัญยิ้มนิดหนึ่งแล้วกลับวางหน้าขรึม บอกกับเขาว่า

“ตกลงค่ะ สำหรับคราวนี้   แต่คุณจะ... เอ้อ... มาใช้วิธีบังคับกันทางอ้อมแบบนี้กับดิฉันอีกต่อไปไม่ได้นะ”

“ขอบคุณครับ”   เขายิ้มจนแก้มแทบปริ

เขาพาเธอไปที่ภัตตาคารซึ่งไม่มีชื่อหรูหรานัก แต่ทว่าเงียบ สะอาดและอากาศโปร่งสบาย   ผู้คนไม่พลุกพล่าน   ไม่มีเสียงถ่มน้ำลายหรือตะโกนสั่งอาหารข้ามหัวใครต่อใคร   นิพนธ์ขอให้หญิงสาวเป็นคนเลือกอาหาร   ดูท่าทางเขาปลาบปลื้มยิ่งนักที่ได้มากินอาหารกับเธอตามลำพัง   แต่แม้กระนั้นเขาก็ยังรักษามารยาทของสุภาพบุรุษไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยมิต้องฝืนใจหรือบังคับตัวเองเลย   ทุกอิริยาบถของเขาเป็นไปเองตามสบาย

“ดีใจมากไหมคะที่พอลงมือทำงานก็ได้ผลงานสมใจ”   เธอถามเขา

“ก็...ไม่ค่อยจะดีใจเท่าไรนักหรอกครับ”   เขาตอบ   คำตอบของเขายังผลให้เธอต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ

“เอ๊ะ   ทำไมเป็นยังงั้น”

เขาไม่ตอบว่ากระไร   เคียงขวัญจึงมองดูเขาอย่างพินิจ   จะเป็นด้วยอุปาทานหรือไม่เธอไม่แน่ใจนัก   แต่เธอคิดว่าได้เห็นหน้าเขาเศร้าลงไปเล็กน้อย   ไม่เบิกบานแจ่มใสเท่าที่ควรเป็นและเคยเป็น

“อ้อ   หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าคุณมีนิสัยไม่ถูกกับการขายของกระมัง”   เธอพูดไปตามที่ใจคิด   “อย่างเช่นการติดสินบนหรือการตกรางวัลให้เขาซื้อสินค้าของเราอะไรแบบนี้ใช่ไหมคะ”

“ผมยังไม่ทันได้ใช้วิธีนี้”

“แต่คุณอาจจะต้องใช้” เ   คียงขวัญบอกกับเขา   “ถ้าคุณยังทำงานนี้ต่อไปคุณจะต้องได้ใช้แน่   หลีกไม่พ้นหรอกค่ะ”

“มันก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนติดนิสัยกินสินบนน่ะซีครับ”

“ช่วยไม่ได้เลยค่ะ   มันน่าเศร้าใจเหมือนกัน   แต่เราช่วยไม่ได้เลยจริงๆ”   เคียงขวัญพูด   “เราเป็นคนขายของ   หน้าที่ของเราคือต้องพยายามขายสินค้าของเราให้ได้   ลืมเสียแล้วหรือคะ   ที่คุณพ่อสั่งให้จำคติของคนขายของไว้ ... ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะขายสินค้าของตนให้ได้”

“คุณก็รู้สึกเห็นด้วยเหมือนกันหรือ   ผมหมายถึงการติดสินบนให้เขาสั่งซื้อสินค้าของเราน่ะ”   นิพนธ์ถามและมองดูหล่อนอย่างตั้งใจรอคำตอบ   เคียงขวัญยักไหล่เล็กน้อยแล้วยิ้มอย่างแจ่มใส   หล่อนตอบว่า

“ดิฉันรู้สึกดีใจค่ะ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นคนเดินตลาดเหมือนคุณ”   และเมื่อเห็นเขาถอนใจ เธอก็ปลอบว่า   “จะมามัวนั่งคิดโน่นคิดนี่อยู่ทำไมคะ   คุณตั้งใจที่จะทำงานนี้แล้วก็ก้าวเข้ามาแล้ว   คุณก็ควรจะเดินต่อไปจนพบกับความสำเร็จ   ถ้าหากรู้สึกว่านิสัยไม่ถูกกับงานนี้จริงๆ ละก็ค่อยคิดขยับขยายเอาทีหลังซีคะ   แต่ยังไม่ควรจะทิ้งไปในเวลานี้ เพราะคุณจะถูกมองว่าเป็นคนจับจด   ทำอะไรก็ไม่ทำให้ตลอด   ไม่เป็นการดีสำหรับคุณเลย”   เคียงขวัญรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอันมากเมื่อสังเกตเห็นว่าดวงหน้าที่ขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิดของเขาค่อยคลายลง   และเมื่อเขายิ้มกับเธอ   เธอก็ยิ้มตอบเขาอย่างแจ่มใสที่สุด   เป็นการยิ้มที่ออกมาจากใจจริงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมา

นิพนธ์มีความสามารถอย่างน่าอัศจรรย์   เขาขายสินค้าของบริษัทคิดเฉลี่ยแล้วได้ถึงสัปดาห์ละสองชิ้น   ชั่วเวลาเพียงสองเดือนที่เขาเข้ามาฝึกงาน นิพนธ์สามารถทำรายได้ให้แก่บริษัทเป็นจำนวนเงินที่น่าทึ่ง

“เด็กคนนี้วิเศษจริง”   เคียงขวัญได้ยินบิดาของเธอพูดถึงนิพนธ์อย่างนิยมยกย่อง   “เป็นคนที่มีโชคดีอย่างประหลาด   รู้สึกว่าคงจะเข้ากับคนได้ง่าย   ดูซิมาทำงานเพียงสองเดือนเท่านั้นขายของได้มากกว่าคนที่ชำนาญงานมาแล้วเสียอีก   อย่างที่บริษัทสหธุรพาณิชยฺ์นั่นน่ะ   เมื่อก่อนนี้เคยแยแสกับสินค้าของเราเสียเมื่อไหร่   ส่งใครเข้าไปเป็นหน้าหงายกลับมา   นี่นิพนธ์โผล่เข้าไปประเดี๋ยวเดี๋ยวเท่านั้นแหละ ประเดิมเสียด้วยพิมพ์ดีดสองเครื่องพร้อมกันเลยทีเดียว   แล้วยังเครื่องอัดสำเนา   เครื่องคิดเลข   ตู้เก็บเอกสารอีกละ   เอ ไม่รู้ว่าอีตาคุณชุบแกถูกชะตาอะไรกับพ่อหนุ่มคนนี้ขึ้นมา

นิพนธ์ได้รับเบี้ยเลี้ยงประจำวันเพิ่มขึ้น   ได้รับการบรรจุเข้าตำแหน่งประจำ   ทั้งนายคงทรัพย์และมิสเตอร์แจ๊คคินสันนิยมชมชื่น เอาอกเอาใจเขาราวกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษก็ไม่ปาน

“ถ้าฉันเป็นคุณ”   เคียงขวัญพูดด้วยเสียงหัวเราะๆ กับเขาในกลางวันวันหนึ่ง   เมื่อเขาเชิญออกไปรับเลี้ยงอาหารกลางวัน ฉลองใบสั่งซื้อเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ขนาด 24 นิ้วเครื่องหนึ่ง   “ฉันจะไม่ระดมส่งใบสั่งซื้อของเข้ามาติดๆ กันแทบจะไม่เว้นแต่ละวัน อย่างนี้หรอก   คุณไม่รู้จักอ่อยเหยื่อ เก็บเอาไว้กินเมื่อถึงคราวขาดแคลนเสียบ้างเลย”

เขาเลิกคิ้วมองดูเธอด้วยความแปลกใจ   “หมายความว่ายังไงครับ”

เคียงขวัญหัวเราะชอบใจ   “ก็แปลว่าฉันจะเก็บใบสั่งไว้บ้างสำหรับแก้ขัดในเวลาที่ขายอะไรไม่ได้น่ะซีคะ”   เธอหัวเราะคิกเมื่อเห็นเขาทำท่างงยิ่งขึ้น   “คุณคงนึกแปลกใจใช่ไหมคะที่ฉันพูดอย่างนี้   แต่ว่าฉันพูดตามที่ฉันเคยเห็นมาจริงๆ นะ”

นิพนธ์สั่นศรีษะ   “ผมไม่ชอบทำแบบนี้   ลูกค้าเขาสั่งของมาเขาก็ต้องอยากได้ของเร็วๆ ซีครับ   เราจะมากักเอาไว้เพื่อประโยชน์ของเราได้ยังไง”

เคียงขวัญยิ้ม   “นิสัยคุณไม่ถูกกับงานอย่างนี้เลย”

“ยังงั้นหรือฮะ”   เขาทำเสียงแปลกใจ   “เอ ถ้าไม่ถูกกับนิสัยผมอย่างคุณว่าจริงแล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมผมจึงขายของได้มากถึงขนาดนี้”

“เป็นเพราะคุณมีความฉลาดและมีโชคดีนะซีคะ”   เคียงขวัญตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด   ไม่เฉพาะแต่งานนี้หรอก   ถึงเป็นงานประเภทอื่น   ถ้าคุณปรารถนาจะทำ ดิฉันก็เชื่อว่าคุณต้องทำได้ดีเช่นนี้เหมือนกัน”

“โอ้โฮ   คุณชมเสียจนตัวลอย   ผมจะลอยอยู่แล้ว   ผมปลื้มใจจริงๆ   เอ้อ... คุณเคียงขวัญครับ   คุณคิดว่าเมื่อนิสัยของผมไม่ถูกกับงานนี้แล้วผมควรจะทำต่อไปอีกไหม”

“ดิฉันคิดว่าถ้ามีโอกาสแล้ว คนเราควรจะทำงานที่ถูกกับนิสัยของตัว   แต่สมัยนี้ไม่มีงานเหลือไว้ให้คนเลือกหรอกค่ะ   เป็นสมัยงานเลือกคนไม่ใช่คนเลือกงาน”

เคียงขวัญพูดพลางพินิจดูดวงหน้าของคู่สนทนา   เธออดรู้สึกไม่ได้ว่านิพนธ์มีลักษณะอะไรหลายอย่างที่ดูสะดุดตากว่าเพื่อนร่วมงานทั้งหลาย   เธอบอกไม่ถูกว่าจะเป็นที่ใบหน้าคมคายแจ่มใสซึ่งประกอบด้วยดวงตาที่แฝงความฉลาดลึกซึ้งของเขา   ที่กิริยามารยาทอันคล่องแคล่วเป็นไปตามสบายแต่ทว่ามีจังหวะน่าดูและไม่เคยบกพร่อง     มารยาทของสุภาพบุรุษ หรือที่ความสามารถในการงานอย่างใดกันแน่   แต่ที่รู้แน่ก็คือว่า   ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ เธอก็รู้สึกชอบเขาเข้าแล้วมากกว่าที่เคยรู้สึกต่อบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายที่เข้ามาพัวพันกับเธอ     ใจของเธอเริ่มจะเต้นแรงเมื่อเพียงแต่ได้ยินเสียงพูดของเขา     และถ้าวันใดเขาหายเงียบไป   เคียงขวัญก็จะรู้สึกเงียบเหงาหมดสุขไปอย่างน่าประหลาด

ใบสั่งของนิพนธ์ยังคงปลิวเข้ามาสู่บริษัทอยู่เรื่อยๆ   รักษาระยะสม่ำเสมอไม่เคยขาด   แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมเสียแล้ว   ที่พอได้เงินส่วนแบ่งค่าขายครั้งใด เขากับเธอจะต้องออกไปกินอาหารกลางวันร่วมกันเป็นการฉลองครั้งนั้น

จนกระทั่ง....

เคียงขวัญได้รับคำเชิญชวนจากสหายคนหนึ่งของเธอ   ให้ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันเป็นการฉลองในวาระคล้ายวันเกิดของเจ้าหล่อนผู้นั้นร่วมกับมิตรสหายอีกหลายคนในวันหนึ่ง     สถานที่เลี้ยงเป็นชั้นบนของภัตตาคารแห่งหนึ่ง   ห้องโถงยาวใหญ่กรุกระจกตลอดและติดตั้งเครื่องทำความเย็น   ภายในมีแผงกระจกฝ้าสูงเกินศีรษะเล็กน้อย แบ่งกั้นออกเป็นห้องๆ   แต่ละห้องประดับด้วยโต๊ะอาหารสวยงามหรูหรา   เก้าอี้สำหรับนั่งพักเล่นมีรูปภาพที่สวยงามติดที่ข้างฝา   กระถางปลูกไม้ใบพันธ์ สวยๆ แปลกๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะเหล็กดัดเล็กๆ โปร่งๆ ตามมุมห้อง

“โอ้โฮ”   ใครคนหนึ่งในหมู่เพื่อนสาวๆ ของเธอร้องขึ้นเมื่อพากันเข้าไปในห้อง หนึ่งแล้ว   “เอากันถึงอย่างนี้เทียวเรอะนี่   ไม่เปิ๊ดสะก๊าดไปหน่อยรึจ๊ะเธอ”

“ก็เจ้าภาพเขาเปิ๊ดสะก๊าดนี่ยะ”   อีกคนตอบ   “เขาก็เลี้ยงให้มันสมศักดิ์ศรีเขาหน่อยซี   ดีซิ เราชอบกินข้าวในร้านโก้ๆ ยังงี้   นานๆ ได้มีโอกาสโก้กับเขาทีหนึ่งก็เป็นยาอายุวัฒนะต่ออายุให้ยาวออกไปอีกหนึ่งปี”

“เอ้า ใครจะกินอะไรก็สั่งเลยจ้า”   เจ้าภาพร้องประกาศ   “เอ้าเคียงขวัญสั่งอาหารซีจ๊ะ   แหม นั่งตาลอยใจลอยออกไปไกลตัวเหมือนคนกำลังมีความรักยังงั้นแหละ”

แต่เคียงขวัญมิได้ใจลอยตาลอยออกไปไกลตัวอย่างที่เพื่อนของเธอพูดเลย   เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวเตี้ยชิดกับฝากระจกที่กั้นระหว่างห้องอยู่   เสียงสนทนาของคนที่อยู่ในห้องถัดไปนั้นต่างหากเล่าที่ดึงความสนใจของเธอออกไปจากห้องนี้

“ก็แล้วว่ายังไงล่ะ”   ประโยคแรกที่เธอพอจะจับความได้ชัดเป็นเสียงพูดของชายที่คงจะมีอายุแล้ว   “เมื่อไหร่แกจะหยุดเล่นแล้วก็จับงานทำให้มันจริงจังเสียทีนะ   เจ้าหนู   พ่อถามจริงๆ เถอะ”

“โธ่ พ่อฮะ   ก็เดี๋ยวนี้น่ะผมกำลังทำงานอยู่แล้ว”

“งานแมวๆ อะไรของแกกัน   คุณชุบเขาบอกว่าแกสั่งให้ซื้อเครื่องอัดโรเนียวอีกอันหนึ่งแล้วเรอะ   หนอยแน่ะ   พอมาถึงก็สั่งซื้อโน่นซื้อนี่เรื่อยๆ เทียวนะ   ประเดี๋ยวพิมพ์ดีด   ประเดี๋ยวตู้เก็บเอกสาร   ประเดี๋ยวเครื่องคิดเลข   ประเดี๋ยว.....”

“โธ่พ่อครับ   ซื้อเอาไว้ก็ไม่เสียหาย   ไม่ใช่ของบูดของเน่าอะไรนี่ครับพ่อ”

“เออ จริงซี   ไม่ใช่ของบูดของเน่า   ในห้องทำงานของฉันน่ะ   แกขนเอาพิมพ์ดีดไปเก็บไว้ตั้งสองเครื่อง   ที่บ้าน ที.วี ก็มีอยู่แล้วยังไม่พอ   ขนซื้อไปอีกเครื่องหนึ่ง”

“ก็เผื่อพ่อขี้เกียจลงมาดูข้างล่าง จะได้นอนดู ให้สบายๆ ในห้องนั่งเล่นข้างบนไงฮะ”

“เออ เออ…. คุณย่าก็บอกมาว่าแกไปเคี่ยวเข็ญให้ท่านซื้อที.วี.เครื่องหนึ่งจนได้   แล้วอาของแกเขาก็ฟ้องมาว่าแกไปบังคับขายตู้เย็นให้เขาอีกตู้หนึ่งเรอะ”

“โธ่ อาพรละก็ขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง   ตู้เย็นอันที่ใช้อยู่น่ะมันดีเมื่อไหร่เล่าฮะ   แช่อะไรก็เกือบจะไม่เย็นอยู่แล้ว   แล้วก็แช่ปนกันให้เปรอะไปหมดทีเทียว ทั้งของสดของคาว เครื่องดื่ม ผลไม้   ผมจึงแนะนำว่าควรจะซื้อตู้เย็นเสียอีกตู้หนึ่งดีกว่าจะได้ไม่ปนกัน”

“แล้วที่บ้านล่ะ   มันปนกันเหมือนกันเรอะ   เดี๋ยวนี้น่ะมีตู้เย็นถึงสามตู้แล้วนะแก   มันออกจะมากไปสักหน่อยแล้วละเว้ย   ในครัวก็ต้องตั้งตู้เย็น   แม่ครัวต้องมีวิทยุฟังนี่น่ะ”

“ยายแป้นแกจะได้ใช้แช่ของสดไงฮะ   ของจะได้ไม่เสีย   แล้ววันหลังผมจะสอนให้แกทำกับข้าวฝรั่งอร่อยๆ ให้พ่อรับบ้าง   ผมทำเก่งนะ   อยู่โน่นผมมักจะแสดงเองเกือบตลอดเวลาเลย”

“เออ วิเศษละพ่อคุณ   สำเร็จมหาลัยอ๊อกซฟอร์ด แทนที่จะมาเป็นครูบาอาจาร์ยเขา กลับมาทำงานเป็นพนักงานเดินตลาด   ทุเรศจริงลูกชายฉัน”

ต่อมาก็มีเสียงเลื่อนเก้าอี้   “แล้วนี่แกจะไปไหนล่ะ   เอารถมาด้วยหรือาเปล่า”

“เปล่าฮะ เก็บไว้ในโรงรถชั่วคราวก่อน   ตอนนี้ ผมนั่งแท๊กซี่บ้างรถเมล์บ้าง”

“เออ ดีมาก   พ่อน่ะสงสัยว่าแกจะบ้าเสียแล้วน่ะนา เจัาหนู   มาซีจะไปบ้านไหน   ไปก็มา...พ่อจะไปส่ง”

เคียงขวัญลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินอย่างเร็วไปที่ประตูห้อง   เธอออกไปยืนอยู่หน้าห้องพร้อมๆ กันกับที่ผู้ที่อยู่ในห้องถัดไปผลักบังตาออกมาพอดี     คนแรกที่ก้าวออกมาเป็นชายสูงอายุ รูปร่างสง่าและสมบูรณ์พอควรแก่วัย   เคียงขวัญจำได้ทันทีว่าบิดาของเธอเคยชี้ให้ดูและบอกว่าเป็นผู้อำนวยการบริษัทสหธุรพาณิชย์ และประธานกรรมการธนาคารแห่งหนึ่ง     ผู้ที่ก้าวตามติดชายสูงอายุออกมาคือชายหนุ่มผู้ที่มีดวงหน้าอันคมสันรื่นเริง   ริมฝีปากของเขากำลังเผยอออกจากกันในลักษณะของการยิ้มแย้มเบิกบาน   แต่ยิ้มนั้นต้องค้างไปในทันทีที่เขามองมาสบสายตาอันชาเย็นของเคียงขวัญเข้า   หญิงสาวมองสบตาเขาอยู่อึดใจหนึ่งแล้วก็เม้มริมฝีปาก เชิดคอขึ้น   หมุนตัวกลับเข้าห้องไป

เคียงขวัญกลับมาถึงที่ทำงานเมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเลยบ่ายโมงไปเกือบสิบห้านาที   หยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะทำงานของเธอ   เมื่อได้ยินเสียงรองเท้า   เขาก็เหลียวมามอง   หน้าชื่นขึ้นเล็กน้อยแล้วปราดเข้ามาหา

“คุณเคียงขวัญ”

เคียงขวัญมองดูเขาด้วยหางตา แล้วเดินหลีกไปนั่งลงที่โต๊ะของเธอ   เขาหน้าเรี่ยลง แต่ยังเดินตามไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ

“คุณเคียงขวัญครับ”   เขาทำเสียงออดเป็นมอดกัดไม้   “ขอให้ผมได้อธิบายเรื่องราวให้คุณฟังสักนิด”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ คุณนิพนธฺ์   คุณพ่อจะทำงานเดี๋ยวท่านหนวกหูแย่”

“คุณคงทรัพย์ไม่อยู่”   เขาบอก   “เคียงขวัญครับ   ฟังผมพูดสักนิดไม่ได้หรือ”

“มีเรื่องอะไรที่ดิฉันจะต้องรับรู้ด้วยหรือคะ”

“ต้องซีครับ   ก็คุณ   คุณโกรธผมนี่”

“ตายจริง คุณนิพนธ์   มันเรื่องอะไรที่ดิฉันจะต้องโกรธคุณด้วยล่ะคะ”   ทั้งๆ ที่ปากถามเขาเช่นนั้น เคียงขวัญก็ยังอดนึกสงสัยตัวเองมิได้ว่า   จริงซี   มันเรื่องอะไรที่เธอจะต้องไปโกรธเขา   เขาทำสิ่งใดผิดหรือ

“ไม่รู้ละ”   ตอนนี้เขาทำเสียงเหมือนเด็กเกเร   “กิริยาของคุณบอกอยู่ชัดๆ นี่นะว่าคุณโกรธผม   บอกมาตรงๆ ดีกว่าน่านะฮะว่าคุณโกรธที่ผม... เอ้อ... ไม่บอกคุณว่าผมเป็นลูกคุณพ่อ”

“ความโกรธหรือไม่โกรธของดิฉันมันสำคัญสำหรับคุณด้วยหรือ คุณนิพนธ์”

“สำคัญที่สุดเทียวครับ”   เขารับคำเสียงหนักแน่น   “ก็ไม่ใช่เพราะคุณหรอกหรือ ที่วันนั้นคุณพ่อใช้ผมมาติดต่อเรื่องงานกับคุณพ่อของคุณ   และเมื่อคุณทึกทักเอาว่าผมจะมาสมัครงาน ทำให้ผมต้องเลยโมเมผสมรอยเอาจริงๆ”

“เอ๊ะ นี่คุณกลับจะมาเหมาเอาว่าเป็นความผิดของดิฉันหรือคะ   ในการที่คุณปลอมเนื้อปลอมตัวจากลูกชายเศรษฐีมาเป็นคนว่างงานนี่น่ะ”

“ใครบอกว่าผมปลอมตัว   ผมแค่แปลงนามสกุลนิดหน่อยเท่านั้น   แล้วผมก็เป็นคนว่างงานจริงๆ เสียด้วยซี”

“ฮี นักเรียนอ๊อกซ์ฟอร์ดว่างงาน”

“ว่างจริงๆ ครับ   อีกเดือนหนึ่งถึงจะไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย”

“แล้วทำไมคุณบอกว่าเรียนการค้าแต่ไม่สำเร็จ”

“อ้าว ผมเคยเรียนการค้าจริงๆ   เคยเรียนพิเศษตอนที่อยู่อังกฤษ แต่เรียนไม่สำเร็จ   ว่าแต่คุณไม่โกรธผมไม่ใช่หรือฮะ เคียงขวัญ   ถ้าผมจะลาออกจากที่นี่   คุณเคยบอกว่าคุณดีใจที่ไม่ต้องเป็นคนเดินตลาด   ผมจำได้   ตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยจะดูแก่เกินไปไหมฮ่ะสำหรับคนที่...อ้า...   คุณจะเดินด้วย”

เคียงขวัญมองสบตาเขา   รู้สึกว่าเธอน่าจะโกรธเขาให้มากกว่านี้ และนานกว่านี้อีกสักหน่อย   แต่เผอิญเธอเป็นคนที่โกรธใครไม่ได้นานแล้วก็ไม่ชอบทำสิ่งใดที่ฝืนกับความรู้สึกของตนเสียด้วย   หญิงสาวดึงลิ้นชัก หยิบกระดาษสองแผ่นออกมาส่งให้เขา   นิพนธ์รับไปดูอย่างงงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูเธออย่างไม่เข้าใจ

“เอ๊ะ ใบสั่งซื้อเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์สองเครื่อง   คุณคืนผมมาทำไม”

“คุณจะซื้อไปทำไมกันตั้งสองเครื่อง”

“ไม่ใช่ผมนะฮ่ะที่จะซื้อ   คุณพ่อของผมต่างหากล่ะจะซื้อ   ผมเป็นคนขาย”

“คุณพ่อคุณจะซื้อไปทำไมกันตั้งสองเครื่อง”

“คืออย่างนี้ฮะ   คุณพ่อท่านบอกให้ผมช่วยหาซื้อของขวัญสักสองชิ้นให้เพื่อนของท่าน   คนหนึ่งมีงานวันเกิด   อีกคนหนึ่งจะขึ้นบ้านใหม่”

“แล้วคุณก็เลยจัดการซึ้อ ที.วี.เสียเลย   แถมยังหักเอาส่วนแบ่งค่าขายไว้เสียอีก   น่าขายหน้า   ฉีกทิ้งเสียค่ะ”

“เอ๊ะ”   เขาร้องเสียงดัง   “ฉีกทิ้งเสียแล้วผมจะมีโอกาสเชิญคุณไปเลี้ยงฉลองได้ยังไงกันอีกล่ะทีนี่”

“คุณนิพนธฺ์”   เคียงขวัญทำเสียงเคร่งขรึม   แต่แม้กระนั้นก็ยังอดรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มขึ้นมาเสียมิได้   “ดิฉันจะบอกให้ว่าผู้หญิงน่ะ โดยมากมักจะไม่นิยมผู้ชายชนิดที่ใช้เงินเป็นเบี้ย   ถึงเงินนี้จะเป็นของคุณพ่อของคุณ ก็เท่ากับว่าเป็นของคุณเหมือนกัน”

“แล้วสินค้าก็เป็นของคุณพ่อของคุณเหมือนกันนี่”

“ถึงงั้นก็เถอะค่ะ”   เคียงขวัญว่า แก้มร้อนจัดยิ่งขึ้น   “ถ้าดิฉันมีบ้านของดิฉันเอง ดิฉันก็คงไม่ขนซื้อเป็นบ้าเป็นบออย่างนี้... แม้ว่าจะเป็นสินค้าของพ่อของดิฉันเองก็ตามที...”

“ตกลงนี่แปลว่าคุณเต็มใจให้ผมลาออกนะครับ”   เขาทวนถามเธอ   และเมื่อเคียงขวัญพยักหน้า เขาก็ถามต่อไปว่า   “ถ้าผมออกแล้วคุณ...จะออกไปรับอาหารกลางวันกับผมอีกไหม”

“ถ้าคุณลาออก”   เคียงขวัญตอบ   “ก็แปลว่าคุณไม่มีหน้าที่ข้องเกี่ยวกับบริษัทนี้อีกต่อไปแล้ว   คุณก็ควรจะไปปรึกษากับคุณพ่อของดิฉันดูว่าท่านจะยอมให้คุณพาลูกสาวของท่านไปหรือไม่ซีคะ”

“ไชโย”   เขาร้อง   “ถ้างั้นก็ช่วยฉีกใบสั่งนี้ทีเถอะครับ   แล้วส่งใบลามาให้ผมเซ็นชื่อเร็วๆ เข้า”