สุภาว์ เทวกุลฯ ราชินีแห่งเรื่องสั้น

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
แดงเพลิง

สุภาว์ เทวกุลฯ

supa : 0000-00-00

reader:784
reply:0

รองเท้าคู่นี้ มองดูงามเด่นสะดุดตายิ่งกว่ารองเท้าทุกคู่ ที่มารวมกันอยู่ในบริเวณสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ในตอนเย็นวันนั้น !

ความงามเด่นน่าดูของมัน อาจจะอยู่ที่ความสดใสแปลกตา   เพราะมันเป็นรองเท้าที่ตัดด้วยผ้าไหมไทยสีแดงสดสว่างสลับขาวเป็นมันวับ   ประดับด้วยกุหลาบแดงข้างละหนึ่งดอก   หรืออาจจะอยู่ที่ผิวเนื้อหลังเท้าอันอวบอิ่ม ขาวสะอาดจนดูเหมือนจะออกสีชมพูเรื่อๆ ของหญิงสาวที่สวมใส่มันอยู่ในเวลานั้น   ประกอบด้วยข้อเท้าเล็กและน่องอันเรียวงามเต่งตึงช่างส่งรูปร่างลักษณะของรองเท้าให้น่าดูยิ่งขึ้น   นอกจากนั้นแล้ว ที่รองเท้าคู่นั้นมองดูเด่นสะดุดตายิ่งกว่าอื่นใด ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันมิได้วางอยู่ในระดับเดียวกับรองเท้าทั้งหลายในบริเวณนั้นทั้งหมดก็เป็นได้   ด้วยเหตุว่ารองเท้าคู่อื่นๆ นั้นต่างก็วางราบอยู่บนพื้นหญ้าบ้าง   พาดซ่อนอยู่ตามพนักเก้าอี้และตามใต้โต๊ะบ้าง   แต่รองเท้าที่ประดับด้วยกุหลาบแดงคู่นี้ลอยอยู่ในอากาศ   สูงจากพื้นดินไม่ต่ำกว่าหนึ่งศอก   ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะขณะนั้น ผู้ที่สวมมันได้วางร่างทั้งร่างของหล่อนไว้บนโต๊ะเหล็กดัดค่อนข้างสูง ในลักษณะนั่งไขว้ขาอย่างสบายใจโดยไม่พรั่นต่อสายตาของผู้หนึ่งผู้ใด

ก็ทำไมหล่อนจะต้อง “พรั่น” ด้วยเล่า   ในเมื่อถ้าจะพูดไปแล้วหล่อนก็เป็นบุคคลที่เด่นที่สุด และน่าจะสำคัญที่สุดสำหรับงานในตอนเย็นวันนี้   เพราะมันเป็นงานที่จัดขึ้นเนื่องจากวาระคล้ายวันเกิดของหล่อนแท้ๆ   แม้ว่าคุณพ่อ จะเลยถือโอกาสเชิญเจ้าพนักงานที่บริษัท และบางคนซึ่งเป็นแขกที่หล่อนไม่รู้จัก มาร่วมงานเพื่อจะเลยหาเวลาประชุมปรึกษาหารือกันเป็นพิเศษอีกก็ตามที

“จุ๊ จุ๊ แดง   อีตาผู้ชายคนนั้นน่ะใครกันนะ”   เพื่อนสาวคนหนึ่งของหล่อนสะกิดขาพลางบุ้ยใบ้ด้วยสายตา   “ที่โต๊ะของคุณพ่อเธอนั่นแหละ   ปากหนวด ผูกเน็คไทแดง   พูดคำนึงก็ชายตามาเกี้ยวเธอทีนึงไม่หยุดไม่หย่อน”

“อ๋อ”   หล่อนร้องพลางปลิดองุ่นจากพานผลไม้ใส่ปากโดยไม่หันไปมองดู   “เลขานุการของพ่อเราเอง   เจ้าชู้บรม   เมียสอง ลูกหก แล้วยังจะทะเล้นมากะลิ้มกะเหลี่ยกะเราไม่หยุดไม่หย่อน   เราอยากจะยุพ่อให้ไล่ออกเสียหลายหนแล้ว   แต่พ่อบอกว่าแกคล่องงานดี   ใช้อะไรเป็นทำให้ได้ดังใจทันใจทุกอย่าง”

“เป็นบุญของคุณพ่อตัวที่มีลูกสาวสวย” เพื่อนอีกคนว่า

“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ   ที่แต่งสูตสีเทาอมฟ้านั่นน่ะ   ฉันเห็นเวลาเขามองดูเธอ   นั่นๆ นั่นไงแดง   ดูซี มองมาอีกแล้ว   ทำตาเหมือนกับเด็กเวลาจะถูกแม่ตียังงั้นแหละ”

“นั่นน่ะหรือ   เลขาฯ ของพ่ออีกเหมือนกันแหละ   แต่อยู่แผนกเอกสาร   พิมพ์หนังสือร่างจดหมายอะไรพรรค์นั้น   อีตาคนนี้นะเราเบื่อขี้หน้าอย่างที่สุด   รำค้าญ รำคาญ   จะพูดอะไรก็ไม่พูด   เอาแต่มองหน้าทำตาละห้อยยังกับเราเป็นเจ้าหนี้แกยังงั้นแหละ   วันนั้นเราลองยิ้มหวานๆ ให้หน่อย   แกทำท่าเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปเลย”

“ถ้าไงๆ ละก็อย่าทำอะไรที่ยิ่งกว่ายิ้มหวานนะแดง”   เพื่อนสาวคนหนึ่งที่ท่าทีดูจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กว่าเพื่อนติงด้วยใบหน้ายิ้มๆ   “สงสารแกบ้าง   เดี๋ยวแกจะเลยหัวใจหยุดไปเลย”

“แม่แดงเขายิ่งชอบน่ะซี”   อีกคนว่า   “มันน่าภาคภูมิออกจะตายจริงไหมแดง ถ้าจะมีใครสักคนตายเพราะความรักเรา”

“คนเดียวจะพออะไร”   หญิงสาวที่ถูกขนานนามว่า แดง พูดอย่างหน้าตาเฉย   และหล่อนก็ถูกสหายอีกคนหนึ่งชี้หน้าว่าเอาในทันทีนั้นว่า

“แดงละเจ้าชู้นัก”

“หนอยแน่ะมาว่าเค้า”   เจ้าของรองเท้าคู่งามร้อง แต่อาการไม่พอใจมิได้ปรากฏอยู่ในน้ำเสียงของหล่อนแม้แต่น้อย   “ถ้าเราวางท่าเฉยๆ ใครๆ ก็หาว่าเราหยิ่งทำวางท่าเป็นลูกสาวผู้อำนวยการ   หนอยแน่ะ พอเรายิ้มแย้มแจ่มใส พวกตัวก็มาชี้หน้าเราว่าเจ้าชู้   เซี้ยวที่สุดเลย”

“อย่าเข้าเลยย่ะ”   แม่คนที่ชี้หน้ากล่าวหาเอาซึ่งๆ หน้า   พยายามหาทางพิสูจน์ว่าคำกล่าวหาของเจ้าหล่อนมิได้เกินกว่าเหตุเลย   “กับพวกผู้หญิงด้วยกันไม่เห็นตัวทำตาหวานชมดชม้อยอย่างเวลาที่ตัวอยู่ในหมู่ผู้ชาย   เรารู้นาว่าพวกผู้ชายที่บริษัทน่ะ หลงตัวเป็นบ้าเป็นบอไปหมดทุกคนแทบจะตีกันตาย   แน่ะๆ พูดยังไม่ทันขาดคำหันไปยิ้มหวานกับตาเกริกอีกแล้ว”

“โธ่ ตัวนี่จะบ้า”   ผู้ถูกกล่าวหาร้องอุทธรณ์   “ก็คุณเกริกเขายิ้มกับเรา ตัวจะไม่ให้เรายิ้มตอบเขาหรือ...   ผ้าผืนนี้น่ะ...” หล่อนจิ้มนิ้วลงบนท่อนขาซึ่งปกคลุมด้วยกระโปรงตัดเย็บด้วยผ้าไหมไทยชิ้นเดียวกับรองเท้า   “คุณเกริกเขาซื้อมาฝากเราจากเชียงใหม่เทียวนะ รู้ไหม”

“สมวันนี้นายเกริกคงจะอิ่มใจจนไม่ต้องกินข้าว”   เพื่อนสาวว่า และหญิงสาวก็หัวเราะเสียงใสอย่างชอบใจ   เสียงหัวเราะอย่างแจ่มใสของหล่อนเรียกสายตาผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นให้มารวมกันอยู่ที่ตัวหล่อนเป็นจุดศูนย์กลาง   อาการสนใจนิดๆ ขวางหน่อยๆ จุดอยู่ในสายตาของพวกผู้หญิง   แต่สำหรับผู้ชาย...   แน่ละ ผู้ชายมักจะไม่ค่อยขวางเก่งอย่างผู้หญิง   และไม่ค่อยจะนึกขวางผู้หญิง   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ยังสาวสด ทั้งสวยสะพรั่งไปทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับกุหลาบแรกแย้มดังเช่นหญิงซึ่งสวมรองเท้าคู่งามคนนี้

“ถามจริงๆ เถอะแดง”   สหายของหล่อนเริ่มตั้งข้อปุจฉาขึ้นใหม่   “ในบรรดาพวกผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายที่รุมตอม และสยบราบอยู่รอบตัวเธอเวลานี้น่ะ   เธอไม่ชอบใครสักคนหนึ่งเลยเทียวหรือ”

“ใครว่า”   หญิงสาวตอบพลางยิ้มอย่างสนุกสนาน   “ฉันชอบพวกเขาทุกคนเลย”

“เจ้าชู้อีกแล้ว   พูดอย่างเจ้าชู้อีกแล้ว”

“อ้าว พุทโธ่   ก็ตัวว่าถามจริงๆ เค้าก็ตอบจริงๆ แล้วยังจะมาว่าเค้าเจ้าชู้อีก   นี่แน่ะฉันจะบอกให้   พวกเธอน่ะรู้จักคำว่ามิตรจิตมิตรใจกันบ้างหรือเปล่าจ๊ะ   คุณแม่ทั้งหลาย”

“อุ๊ย เล่นสำนวน น่าหมั่นไส้”   เพื่อนย้อนให้   “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นดอกย่ะ แต่อย่าให้มัน จ๋อย... จนเกินไปนักอย่างที่หล่อนชอบประพฤติอยู่เป็นนิจศีลจนติดเป็นนิสัยยังงี้   ฉันเห็นตัวเที่ยวควงใครต่อใครไปดูหนังไม่เลือกหน้าจนใครๆ เขาว่า นางสาวประกายแก้วคนนี้น่ะแสนจะเฟลิ๊ต   รู้ไหมยะ”

“ฮึ เราไม่เห็นหวั่น”   หญิงสาวสะบัดผมพลางเชิดหน้าประกอบคำพูดของหล่อน   “คนปากมาก   เราไปกันอย่างเพื่อน   แล้วถ้าไปสองต่อสองเราก็ไปแต่ตอนกลางวัน... กลางคืนเราไม่เคย... นอกจากกับคนที่พ่อเราไว้ใจ   ใครอยากจะว่าอะไรก็ว่าไปซี... เราไม่แปลก”

เพื่อนๆ พากันนิ่งไปเมื่อสังเกตรู้ว่าแม่สาวเจ้าของงานชักจะเริ่มบังเกิดความไม่พอใจ   แต่วิสัยหญิงสาว โดยเฉพาะหญิงสาวที่เพิ่งจะพ้นวัยแรกรุ่นดรุณีมาเพียงไม่กี่ปีเช่นหญิงทั้งหลายที่กำลังนั่งรวมกลุ่มอยู่นี้   ย่อมจะเก็บงำความคิดในสิ่งที่ตนสนใจอยู่แต่ภายในใจได้ไม่นานนัก   หลังจากที่ได้เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปได้สักครู่หนึ่ง   คนหนึ่งก็หาเรื่องวกเข้ามาสู่เรื่องเดิมจนได้

“เออ แดง   พวกชายหนุ่มทั้งหลายที่มาในงานวันเกิดตัววันนี้น่ะ   มีแฟนตัวอยู่ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ไหม”

“โอ๊ย แฟนของเราร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย”   หล่อนตอบหน้าเฉยๆ   “ถ้าเราอยากจะให้เป็น”

“หนอยแน่ะ เชื่อมั่นในตัวเธอเองถึงเพียงนั้นเทียวเรอะ   แต่ เออแดง   ผู้ชายคนนั้นน่ะเป็นใครนะ”

“คนไหน”   เจ้าของงานถามพลางเหลียวหน้าไปมองรอบๆ

“คนที่นั่งตรงข้ามกับคุณพ่อเธอ   ไม่ได้สวมเสื้อนอก  ใส่แต่เชิ้ตแขนยาวแบะคอนั่นไงล่ะ   ท่าทางเขาคมคายดีออก”

“ Tall dark and handsome”   อีกคนเสริม

“ไม่เห็น handsome สักหน่อย”   เจ้าภาพพูดหน้าเฉยไม่มีรอยยิ้ม   “เขาชื่อนายกรวิเศษ”

“อาไร้ คนอะไรชื่อพิลึกกึกกือยังงั้น   กรวิเศษ.... ชื่อเข้าไปได้ยังไง”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงตอบว่า   “เปล่าหรอก เขาชื่อกรเฉยๆ น่ะ   แต่ฉันเรียกเขาเองแหละว่ากรวิเศษ   เขาเป็นนายช่างของเรา   ควบคุมโรงงานทอผ้าทั้งหมด   พ่อนิยมชมชื่นเขานักหนา

“เธอเลยแกล้งเรียกประชดเพราะเขาเป็นคนโปรดของคุณพ่องั้นซี”   เพื่อสาวว่า   และเมื่อเห็นสหายมีใบหน้าอันเฉยเมยผิดปรกติ หล่อนก็เลยพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันมีชัยว่า   “ถ้างั้นเธอก็พูดผิดเสียแล้วละแดง ที่ว่าแขกที่มาในงานนี้เป็นแฟนเธอทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ”

หญิงสาวหันมามองดูหน้าผู้พูดทันที “ทำไม”

“เพราะอย่างน้อย ก็ยังมีนายกรวิเศษอะไรนั่นอีกคนน่ะซี ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับตัว   เราสังเกตอยู่นี่นา   ตั้งแต่เขามาถึงแล้ว   ไม่เห็นเขาจ้องมองดูตัวสักแวบเดียว   ไม่ว่าตัวจะยิ้มหวาน หรือเล่นหูเล่นตากับใครก็ไม่เห็นเขาเอาใจใส่   เอาแต่นั่งปรึกษาหารือกับคุณพ่อท่าเดียว”

เจ้าภาพสาวสะบัดหน้า “เราไม่เห็นจะอยากให้ผู้ชายทึ่มๆ ทื่อๆ เป็นท่อนไม้อย่างนั้นมาเอาใจใส่   แล้วก็ตัวอย่าลืมซีว่าเราไม่ได้พูดว่าผู้ชายทั้งหมดที่มาที่นี่เป็นแฟนเราร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม   เราบอกด้วยนี่ว่าถ้าเราอยากจะให้เป็น”

“อุ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว   คนที่สูงอาวุโสกว่าเพื่อนร้องปราม   แม่สาวๆ พวกนี้พูดอะไรไม่น่าฟังเลย   เปรี้ยวจี๊ดเทียวนะแม่คุณ   อย่างนี้ถ้าพวกคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่มาได้ยินลูกสาวหลานสาวพูดกันยังงี้ละก็ลมจับแน่   เพลาๆ ปากเพลาๆ คอกันหน่อยซียะ เธอ   ใครได้ยินเข้าละก็อายเขาตาย”

“เฉยเถอะน่า พี่เบิ้ม”   แม่สาวคนที่ตั้งข้อปรามาสเจ้าภาพคนสวยหันไปโบกมือห้าม   “อย่างนี้ดีกว่า   ตัวมาพนันกับเราไหมล่ะ แดง   ว่า อีตากรวิเศษคนนี้น่ะ ถึงยังไงตัวก็จูงจมูกเขามาหมอบอยู่แทบเท้าตัวเหมือนผู้ชายคนอื่นไม่ได้”

“หนอยแน่ะ ตัวประมาทหน้าเรานะนี่”   หญิงสาวทำตาลุกอย่างถือดี   “ถึงยังไงเราก็ไม่ยอมถอนคำที่ว่าถ้าเราต้องการให้ผู้ชายคนไหนสนใจเราแล้ว เราไม่เคยทำไม่สำเร็จ”

“ถ้างั้นก็มาพนันกันซี   ข้าวสักมื้อ หนังสักรอบเป็นไง”

“ยังได้”   อีกฝ่ายหนึ่งตกลงอย่างไม่ต้องใช้ความคิดทันที   หล่อนผู้ซึ่งใครๆ ก็ยกย่องแล้ว   ทั้งสวยงามเลิศเลอพร้อมทุกประการจะมายอมให้เพื่อนประมาทหน้าเอาได้ง่ายๆ เช่นนี้กระไรได้   “ดีแล้ว ถ้าฉันแพ้ฉันจ่าย   เธอแพ้ เธอจ่าย   เลี้ยงพวกเราหมดทั้งพวกนี่แหละ”

“ดี ใครๆ เป็นพยานนะเจ้าข้า”   ผู้ท้าพนันประกาศหาพยานทันที   “เราพนันกันอิ่มหนึ่งกับหนังหนึ่งรอบว่านางสาวประกายแก้วเขาจะทำให้กรวิเศษมาซบสยบอยู่แทบเท้าเขาให้จงได้   เราจะดูกันต่อไปว่าเขาทำสำเร็จหรือไม่”

เพื่อนๆ พากันสนับสนุนอย่างสนุกสนานด้วยความคึกคะนองและปราศจากความรู้จักยั้งคิดด้วยการควรมิควร   นอกจากคนเดียวที่ใครๆ เรียกว่า พี่เบิ้ม ที่บอกว่า

“ฉันไม่เอาด้วยหรอกย่ะ แม่คุณ   ใครๆ เขารู้เรื่องเข้าเขาได้เก็บไปนินทาตาย   เป็นสาวๆ แส้ๆ แท้ๆ   เล่นอะไรกันอุตรินอกรีดนอกรอยยังงี้ก็ไม่รู้”

คำประมาท ของเพื่อนคุกรุ่นอยู่ในใจของประกายแก้วนับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา   มันทำให้เลือดในกายของหล่อนเดือดพล่านด้วยความทะนงตนและถือดี   อันเป็นเหตุให้หล่อนต้องลอบมองดู “ตัวการ” ที่นั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อีกทางหนึ่งไม่น้อยครั้ง   จริงนั่นแหละ   เขาไม่ได้แสดงความสนใจหรือเอาใจใส่กับหล่อนเลยแม้แต่สักนิดเดียว   ครั้งหนึ่งก็ไม่เคยเหลียวแลมาไม่ว่าหล่อนจะเล่นจะหัวจะแกล้งหัวเราะเสียงสดใสสักปานใด   ผู้ชายคนนี้อวดดีอย่างไรจึงได้มาทำกับประกายแก้วคนงามถึงปานนี้   เขาแสดงกิริยาประหนึ่งว่าเห็นหล่อนเป็นเพียงเศษธุลีเล็กๆ ชิ้นเดียวที่ไม่ปรากฏแก่สายตาของเขาเลย   มันเป็นการเหยียดหยามกันตรงๆ   ประกายแก้วทนไม่ได้   ไม่มีผู้ชายคนใดเลยที่จะทำกับหล่อนถึงเพียงนี้   ผู้ชาย ไม่ว่าคนไหนก็คนนั้น   เพียงแต่ประกายแก้วยิ้มด้วย ก็ทำท่าดุจหลุดลอยจากผิวโลกขึ้นสู่สวรรค์   เพียงแต่ประกายแก้วจะพยักหน้าสักนิดหนึ่ง   เขาก็จะพรั่งพรูกันเข้ามาแทบว่าจะสยบอยู่แทบปลายเท้าของหล่อน   หรือเมื่อประกายแก้วจะเปรยถึงของต้องใจให้เข้าหูเขาคนใดคนหนึ่ง   ของสิ่งนั้นก็แทบจะลอยเข้ามาสู่มือของหล่อนในทันทีทันใด   ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ชายคนนี้วิเศษอย่างไร ที่จะมาเหยียดหยามดูถูกประหนึ่งว่าความงามของประกายแก้วไร้ค่าประดุจก้อนกรวด   ไม่คู่ควรแก่ความสนใจของเขาเช่นนี้

ดูเหมือนโชคจะอำนวยให้หล่อนได้เร็วทันใจ   เพราะในตอนเย็นวันนั้น หลังจากที่งานเลี้ยงน้ำชาสุดสิ้นลง   บิดาของหล่อนได้เอ่ยปากชวนให้เขา   ผู้ชายอวดดีคนนั้นกับนายเลขานุการปากหนวดอยู่รับประทานอาหารมื้อเย็นกับท่านเพื่อที่จะได้ปรึกษาหารือกันถึงเรื่องการงานที่ยังคงค้างอยู่ต่อไป   ประกายแก้วนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขา   และยิ่งทวีความเจ็บใจและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะยิ่งขึ้น เมื่อปรากฏว่าตลอดเวลารับประทานอาหารนั้น   เขามิได้มองดูหน้าหล่อนเลยแม้สักครั้งเดียว   มีแต่นายปากหนวดนั่นคนเดียวที่ชวนหล่อนพูดคุยและพยายามจะสบสายตากับหล่อนไม่หยุดหย่อน

จากห้องอาหาร   ย้ายออกมาสู่ห้องนั่งเล่น เพื่อสูบบุหรี่และดื่มกาแฟครู่หนึ่ง   ท่านเจ้าของบ้านก็ขอตัวขึ้นไปข้างบน

“คุณกรอย่าเพิ่งกลับนะ”   ท่านกำชับก่อนที่จะลุกออกจากห้องไป   “ประเดี๋ยวผมจะเอาอะไรลงมาให้ดู   เกี่ยวกับร่างชิ้นส่วนของเครื่องทอผ้าแบบใหม่   เขาเพิ่งส่งแบบมาให้คุณสุนทร”   ท่านหันไปทางนายปากหนวด   “ถ้ามีธุระหรือห่วงทางบ้านก็กลับได้   ถ้าไม่มีอะไรก็อยู่คุยไปพลางๆ ก่อนซี”

แล้วท่านก็ออกไป   ปล่อยให้ประกายแก้วอยู่กับนายกร... รูปปั้นทองแดง   กับนายสุนทรปากหนวด เมียสองลูกหก คนนั้น

พอคุณพ่อของหล่อนลับตัวไป นายสุนทรก็ถือโอกาสเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับหล่อนอย่างถือวิสาสะ   ทำตาเจ้าชู้เมื่อพูดว่า

“ชุดผ้าไทยที่คุณแดงแต่งเมื่อตอนกินน้ำชาช่างงามเหลือเกิน   ใครๆ พากันมองตะลึงไปตามๆ กันหมดเทียวนะครับ   รู้บ้างหรือเปล่า”

“คุณเกริก ทราบเข้าคงจะดีใจไม่น้อย”   ประกายแก้วพูดหน้าตาเฉย   “ทราบไหมคะว่าผ้าชุดนั้นคุณเกริกซื้อมาฝากจากเชียงใหม่”

“อ้อ แต่ความจริงคุณแดงแต่งชุดไหนๆ ก็ดูงามรับตัวคุณทั้งนั้นแหละครับ   อย่างชุดนี้”   เขามองดูชุดเย็นซึ่งตัดด้วยชีฟองบางๆ สีฟ้าหม่นซึ่งมีซับในด้วยต่วนสีเดียวกันที่หล่อนสวมอยู่นั้น   “ก็สวยหยอกเมื่อไร   คุณแดงเข้าใจซ่อนผิวของคุณไว้ใต้แพรให้เห็นรำไรแบบนี้ น่ามองไม่น้อย”

“งั้นหรือคะ   แหมคุณสุนทรนี่ช่างติชมเครื่องแต่งตัวผู้หญิงเสียจริง   ชุดนี้น่ะท่านชายน้อยทรงซื้อมาประทานจากอเมริกา   เออ นี่บุตรคนเล็กของคุณสุนทรอายุเท่าไหร่แล้วนะคะ ดิฉันชักจะจำไม่ได้เสียแล้ว”

นายสุนทร กระแอม กระไอ ราวกับมีอะไรเข้าไปติดอยู่ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะอึกอักตอบออกมาเหมือนคนพูดไม่ชัดว่า

“วิ่งได้แล้วครับ”   แล้วก็เสพูดเรื่องอื่นอยู่อีกไม่นานก็เลยลุกขึ้นบอกลา

ในที่สุด ก็เหลืออยู่เพียงสองคน   ประกายแก้วและนายกร   คนวิเศษคนนั้น หยุดยืนอยู่ที่ประตูเมื่อกลับเข้ามาหลังจากออกไปส่งสุนทรที่หน้าตึกตามมารยาทเจ้าของบ้านที่ดี   ประกายแก้วจับตาดูชายที่นั่งสูบบุหรี่พลาง พลิกสมุดภาพในมือพลางอย่างไม่สนใจด้วยความขุ่นเคือง   อยากจะรู้ว่าจะทำเป็นน้ำแข็งไปได้นานสักเพียงใด   จะไม่รู้จักละลายบ้างก็แล้วไป   หญิงสาวเดินข้ามห้องตรงไปยังที่เล่นแผ่นเสียง   เลือกเพลงที่โรแมนติคที่สุดที่มีอยู่   ปรับเสียงให้ดังเพียงแผ่วๆ แล้วก็หันหน้าไปทางเขา...   เพลงเพราะๆ อย่างนี้ ยังทำนั่งเฉยเหมือนคนหูหนวกอยู่ได้

“คุณกรไม่ชอบฟังเพลงหรอกหรือคะ”   ใครจะว่าเราหน้าไม่อายที่เป็นฝ่ายพูดก่อนไม่ได้นะ   เราทำตามมารยาทเจ้าของบ้านต่างหากเล่า

ชายหนุ่มลดบุหรี่ลงจากริมฝีปาก   ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน   ประกายแก้วดีใจที่หล่อนยืนหันข้างให้แก่ช่อไฟประดับข้างฝา   หล่อนรู้ว่าแสงไฟจะเล่นเงากับดวงหน้าของหล่อนให้เห็นส่วนโค้งอันอ่อนช้อยและส่งผิวพรรณให้สุกปลั่งขึ้น   จิตรกรหนุ่มผู้คลั่งไคล้ใหลหลงในตัวหล่อนคนหนึ่งเคยพรรณนาไว้เช่นนั้น   น่าเสียดายอยู่หน่อยตรงที่แสงไฟในห้องนี้ออกจะสว่างไสวมากเกินต้องการ   ถ้าจะมีแต่เพียงแสงจากโคมข้างฝาแห่งเดียว   เพลงที่กำลังดังแผ่วๆ อยู่เดี๋ยวนี้จะฟังดูไพเราะและศักดิ์สิทธิ์ราวกับมีมนตร์กำกับ   ทั้งรูปลักษณะของหล่อนเองก็คงจะอ่อนช้อย งดงาม ตรึงตา ตรึงใจมากขึ้นอีกหลายเท่านัก

“ผมชอบเพลงเหมือนกัน   แต่เป็นบางโอกาส”   เขาตอบเรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษในน้ำเสียง

“คุณชอบเต้นรำไหมคะ”

“เวลานี้ไม่ชอบครับ”

ตายจริง   คนบ้า   ไม่มีจรรยาเสียเลยที่ตอบออกมายังงี้   แหม   อยากจะหาคำพูดอะไรมาว่าให้เจ็บๆ นัก

แต่ก่อนที่ประกายแก้ว จะทันหาคำเจ็บๆ มาว่าเขาให้ได้ดังใจคิด   หล่อนก็ได้ยินเขาตั้งคำถามเอากับหล่อนว่า

“คุณคงชอบเต้นรำแบบนี้มาก”

ประกายแก้ว ทรงกายขึ้นจากท่าที่ยืนเท้าตู้แผ่นเสียงอยู่อย่างอ่อนช้อยเป็นยืนตัวตรงทันที   ตอบเขาด้วยเสียงห้วนๆ ว่า   “คุณหมายความว่ายังไง”

“ผมก็หมายความอย่างที่ผมพูด   คุณคงจะชอบเต้นรำแบบนี้   คือเปิดแผ่นเสียงแผ่วๆ แล้วก็เต้นรำกันเพียงสองคนกับ... เอ้อ... อาจจะเป็นคุณอะไรหรือท่านชายอะไรที่เป็นคนซื้อจานเสียงมากำนัลคุณก็เป็นได้”

ประกายแก้วรู้สึกประหลาดใจจนลืมโกรธ   ไม่นึกเลยว่าผู้ชายทึ่มๆ ทื่อๆ เหมือนรูปหล่อทองแดงคนนี้จะพูดอะไรที่เป็นการเหน็บแนมคนเป็นเหมือนกัน   แต่เขาตั้งใจจะเหน็บแนมหล่อนหรือ   ประกายแก้วไม่กล้าคิดเช่นนั้น เพราะใบหน้าของเขาขณะที่พูด ช่างเรียบเฉยเสียจนกระทั่งหล่อนไม่อาจจับความรู้สึกประการใดจากเขาได้

หล่อนเดินมานั่งเยื้องกับเขา   เปลี่ยนเรื่องพูดเสียใหม่ว่า   “งานที่โรงงานคงจะยุ่งมากจริงไหมคะ”

“งานทุกชนิด ถ้าจะจัดทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็จะไม่มีโอกาสได้ยุ่งเหยิงได้”

“ดีจริง   คุณพ่อเคยชวนดิฉันไปเที่ยวหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยโผล่ไปสักที   วันหน้าเห็นจะต้องไปเที่ยวบ้าง”   ประกายแก้วว่า

และถ้านายคนนี้จะเหมือนนายสุนทรหรือชายหนุ่มคนอื่น   เมื่อได้ยินประกายแก้วออกปากเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะไม่กุลีกุจอเชื้อเชิญหล่อนอย่างดีอกดีใจ   แต่นี่ เปล่าเลย   สักคำเดียวก็ไม่พูดว่ากระไร   เขาเพียงแต่เลิกคิ้วมองดูหล่อน   ริมฝีปากขมวดขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะยิ้ม แต่ก็มิได้ยิ้ม   ทำหน้าเป็นปริศนายังไงชอบกล   ผู้ชายคนนี้พิลึกแท้ๆ

คำยั่วเย้าของเพื่อนที่ส่งมาตามสายโทรศัพท์ว่า   “ไงยะ แม่แดงพระเพลิง   ตัวจะยอมแพ้พนันเราละหรือ”   เป็นแรงส่งประกายแก้วให้โลดไปถึงโรงงานทอผ้าของบิดาในวันหนึ่ง   แต่แน่ละ   หล่อนฉลาดพอที่จะเลือกไปในวันที่รู้ว่าบิดาจะไปตรวจงานที่นั่น   ถึงหล่อนแก่นกล้าสักเพียงไร หล่อนก็ยัง หน้าบาง และทะนงตัวอยู่บ้างไม่น้อยเหมือนกัน

หญิงสาวแสดงท่าทางไม่แยแสเมื่อบิดาบอกให้กร เป็นผู้พาหล่อนไปชมโรงงานแทนตัวท่าน   และเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างเรียบร้อยเคร่งครัด   ให้คำอธิบายอย่างละเอียดลออถี่ถ้วน ราวกับว่าหล่อนเป็นแขกคนสำคัญ   ประกายแก้วฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง   หล่อนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก   ความคิดที่ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่สามารถอ่านรู้ได้ละก็   ท่านเหล่านั้นจะต้องตกใจถึงตบอกทีเดียว

“คุณดูเหมือนจะไม่สู้สนใจเท่าไรนัก”   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะที่เขาพาหล่อนเดินมาถึงที่ย้อมด้าย   กลุ่มด้ายสีต่างๆ สด สวย แขวนอยู่เป็นระนาวบนคานไม้ยาวเหยียดเป็นแถวๆ ออกไป   ประกายแก้วยกมือขึ้นเหนี่ยวหัวคานด้านหนึ่งซึ่งสูงพอดีกับขมับของหล่อน   เมื่อหล่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นอีกเล็กน้อย   แก้มข้างหนึ่งของหล่อนก็แนบเข้าชิดกับด้านแบนของคานนั้นซึ่งตั้งเอาสันขึ้นพอดี

“ดิฉันกำลังสนใจว่าคุณช่างทำงานได้อย่างไรในที่ซึ่งเงียบเหงาและแห้งแล้งไกลผู้ไกลคนอย่างนี้”

“ที่นี่อยู่ห่างจากหลักเขตเทศบาลเพียงสองกิโลเมตร เท่านั้น”   เขาตอบขรึมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง   “คุณคงไม่ทราบกระมังว่าโรงงานอุตสาหกรรมจะตั้งอยู่ในเขตเทศบาลไม่ได้   แล้วก็ไม่เห็นเงียบเหงาและแห้งแล้งอะไรเลย   มันแค่ต่างกับโลกในแง่ที่คุณเคยอยู่และเคยรู้จักเท่านั้นเอง”

“ที่นี่หรือคะคือโลกของคุณ”

คราวนี้เขาจ้องตรงมาในดวงตาของหล่อนนิ่งและนานก่อนที่จะตอบว่า   “โลกของผมกว้างใหญ่และลึกลับกว่านี่มาก   แต่คุณคงไม่มีวันจะเข้าใจ”

ประกายแก้วปล่อยมือจากคาน   หล่อนยืนตรง ยึดไหล่และเชิดหน้าน้อยๆ อย่างถือดีเมื่อกล่าวว่า

“ดิฉันอยากจะคิดว่าคุณกำลังท้าทายดิฉัน”

รอยยิ้มนิดๆ แผ่ซ่านไปที่ดวงหน้า อันเกรียมแดดเหมือนรูปหล่อทองแดงของเขา   “เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไป”

“ดิฉันไม่เคยเฉยเมยต่อคำท้าทายไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม... นอกเสียจากว่า”   หล่อนมองดูเขาครู่หนึ่งแล้วมองเลยไปทางอื่น   “คนๆ นั้นขี้ขลาดตาขาวจนเกินไปเท่านั้น”

“แปลกดี”   หล่อนได้ยินเขารำพึง “ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นคนขี้ขลาดตาขาวอย่างคุณว่า   ลองบอกมาหน่อยได้ไหมครับ”

“ทำไม คุณสนใจหรือคะ”

“เผอิญผมก็มีนิสัยเหมือนคุณ   คือไม่ชอบให้ใครท้า   แล้วก็ยิ่งไม่ชอบหนักขึ้น ถ้าใครจะว่าผมขี้ขลาดตาขาวอีกด้วย   เอาอย่างนี้ดีกว่าคุณประกายแก้ว   เรามาพนันกันไหมล่ะ   ผมให้เวลาคุณสิบวันสำหรับการศึกษาโลกและชีวิตของผม ซึ่งผมเชื่อแน่ว่าถึงอย่างไรคุณก็ไม่มีวันจะเข้าใจ”

คุณพระช่วย   โอกาสช่างมาถึงรวดเร็วและง่ายดายอะไรอย่างนี้   แต่ประกายแก้วยังคงทำเหมือนไม่แยแสเมื่อถามเขาว่า   “ก็ถ้าพนันกันชนะแล้ว ดิฉันจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง”

“ก็สุดแต่คุณจะปรารถนาน่ะซีครับ”

“สิบวัน คุณจะให้โอกาสอะไรแก่ดิฉันในสิบวันนี้”

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโอกาสสำหรับคุณที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งที่คุณต้องการน่ะซีครับ.

“ดีละ”   ประกายแก้วว่า   ดวงตาเป็นประกายวับอย่างสมใจ   “ถ้าเช่นนั้น เรามาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ   ดิฉันขอเชิญคุณไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน”

เขาก้มศีรษะรับ   ยิ้มนิดๆ ไม่ได้พูดว่าอะไร

สิบวัน.! ประกายแก้วคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องขณะที่บังคับยานคู่ใจคันน้อยล่องละลิ่วทะยานกลับบ้าน   พอเกินพอ ที่จะทำให้ผู้ชายอวดดีคนนี้มาหมอบราบคาบแก้วอยู่แทบเท้า   หนอย อวดดีนัก   จะต้องทำให้สำนึกให้จงได้   ว่าเสน่ห์ของประกายแก้วคนนี้ไม่เป็นสิ่งบังควรที่จะดูถูกกันเล่นง่ายๆ   กับผู้ชายอื่น ประกายแก้วไม่ต้องทําอะไรสักนิด   เพียงแต่ชายตาสองสามครั้ง   ยิ้มหวานๆ ด้วยไม่กี่หนก็หน้ามืดตาลาย   ก็แล้วผู้ชายคนนี้มีดีอะไรจึงได้กล้ามาดูถูกอวดดีกับประกายแก้วถึงเพียงนี้

สิบวันแห่งการใกล้ชิดสนิทสนมกับนายกรคนนี้ดูช่างพิลึกและสร้างความรู้สึกประหลาดให้กับประกายแก้วเสียจริง   ผู้ชายอะไรอย่างนี้   สงสัยว่าพระเจ้าคงจะได้ลืมบรรจุธาตุของผู้ชายอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขาด้วยเป็นแน่   ประกายแก้วเรียกเขามากินข้าวด้วยเขาก็มา   ชวนเขาไปดูหนังเขาก็ไป   แต่ไปไหนด้วยกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หล่อนก็ไม่เคยรู้จักเขามากขึ้น   หญิงสาวพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศโดยชวนเขาลงเรือไปปิกนิกกันไกลๆ เขาก็ไปด้วยอย่างว่าง่าย   และก็ยังคงทำตัวเช่นเดิม คือไม่พูดหรือแสดงกิริยาอันใดที่จะทำให้หล่อนนึกกระหยิ่มถึงชัยชนะได้   ยิ่งกว่านั้นที่ประกายแก้วรู้สึกเดือดดาลเป็นนักหนาก็คือประกายตาขันๆ ที่เขาใช้มองดูหล่อน   มันทำให้หล่อนทวีความปรารถนาที่จะเอาชนะเขาให้ได้ยิ่งขึ้น   แล้วประกายแก้วก็วางแผนการขั้นสุดท้าย

หล่อนเชิญเขามารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน   วันนั้นเผอิญท่านบิดาไม่อยู่   ประกายแก้วให้คนใช้จัดโต๊ะที่เทอเรซ   อ้อยอิ่งพิรี้พิไรกับการตกแต่งใบหน้าและเรือนผมอยู่นานนักกว่าจะได้ดังใจ   คืนนี้หญิงสาวพิถีพิถันเป็นพิเศษกับการเลือกกลิ่นน้ำหอม... และเสื้อผ้าที่ใช้แต่งตัวที่ตัดมาใหม่ก็ช่างงดงามถูกใจนัก     แพรสีสดอันบางเบาที่พาดพันอยู่รอบต้นคอของหล่อนขับผิวที่ลาดไหล่และลำคอให้ดูนุ่มนวลเป็นนวลใย   ประกายแก้วรู้ดีว่าแสงจากเชิงเทียนคู่และอ่างแก้วรูปเรือปักสีสดสวยที่โต๊ะอาหาร   จะช่วยส่งโฉมของเธอให้งามซึ้งตรึงตาตรึงใจขึ้นอีก   อา นายน้ำแข็ง   อยากดูซิว่านายน่ะสร้างขึ้นมาด้วยอิฐหินหรืออะไรแน่   จะเป็นน้ำแข็งที่ไม่ยอมละลายได้ตลอดแน่ละหรือ

เขามาตามเวลานัดพอดี   ประกายแก้วรู้สึกผิดหวังที่เขามิได้ออกปากหรือแสดงแม้ท่าทางผิดปรกติเมื่อเห็นอาหารค่ำที่จัดพิเศษสำหรับคืนนี้ เมื่อหล่อนเชิญให้เขานั่งลง   และเมื่อคนใช้นำอาหารมาเสิร์ฟเขาก็กินไปเรื่อยๆ ตามสบาย มิได้เร่งร้อนแสดงว่าเอร็ดอร่อยในรสอาหารมากนัก   ราวกับว่านั่งกินอยู่ในโรงอาหารที่โรงงานอยู่ตามปกติเช่นนั้นแหละ..!

จากโต๊ะอาหาร   ประกายแก้วพาเขากลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งเปิดไฟสลัวๆ แค่โคมไฟเพียงดวงเดียว   หล่อนปรุงกาแฟให้เขาแล้วจึงลุกไปเปิดเพลงให้ดังแผ่วๆ ก่อนจะกลับมานั่งลงตามเดิม   ประกายแก้วเอ่ย ถามเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจจริงจังว่า

“อยากเต้นรำไหมล่ะคะ”

และแล้วด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด   ประกายแก้วได้ยินเขาตอบว่า “ก็ได้ครับ”

หล่อนเดินเข้าไปหาเขาและปล่อยให้เขาโอบร่างเคลื่อนไปตามเพลงช้าๆ   เพลงไพเราะจับใจและแสงไฟสลัว ประกอบกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ระคนปนเหล้า   กลิ่นไอของผู้ชายที่แสนจะลึกลับผู้ซึ่งประกายแก้วไม่เคยเข้าใจ   สร้างความรู้สึกประหลาดให้แก่หล่อน   มันเป็นอย่างไรประกายแก้วก็บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้   หล่อนรู้แต่ว่ามันไม่เหมือนกับที่หล่อนเคยรู้สึกต่อผู้ชายอื่นๆ   ดูมันรวมอยู่ทั้งความอบอุ่นระทึกใจและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก   หล่อนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย   และจะปล่อยไปให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปก็มิได้   มันเป็นอันตรายต่อจิตใจของหล่อนเสียแล้ว     เมื่อประกายแก้วบอกกับตัวเองเช่นนั้น หล่อนก็หยุดชะงัก ขยับจะผละออกจากเขา   แต่แล้วก่อนที่หล่อนจะทันรู้ตัว ร่างของหล่อนก็ถูกรัดแน่นเข้าไปกระชับร่างของเขาราวกับถูกงูกระหวัด   ริมฝีปากถูกประทับแน่นด้วยริมฝีปากที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ   มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงเสียจนกระทั่งหล่อนเกือบหมดสติ   รู้สึกเหมือนหัวใจจะหล่นวูบหลุดลอยไปจากร่าง   ขณะนั้นหล่อนลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก นอกจากวงแขนที่รัดอยู่รอบร่างของหล่อนอย่างแน่นหนาราวกับปลอกเหล็ก   และริมฝีปากอันอบอุ่นที่กรุ่นอยู่ด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ ที่ประทับแน่นอยู่บนริมฝีปากของหล่อนเท่านั้น

เมื่อเขาปล่อยหล่อน   ประกายแก้วก็หมดแรงเซซวนไปปะทะกับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วก็เลยนั่งแปะลงบนนั้น   หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาซึ่งขณะนั้นยืนหันหลังให้แสงไฟ   ดูสูงใหญ่ ดำทะมึนผงาดเงื้อมอยู่เหนือร่างของหล่อนราวกับปีศาจในความฝัน   ได้ยินเสียงเขาพูด คล้ายฟ้าคํารามมาแต่ไกลๆ ว่า

“เป็นยังไง ได้ผลสมใจไหม   คุณได้เรียนรู้อะไรจากผมแล้วบ้าง   วันนี้ครบสิบวันแล้วคุณประกายแก้ว   หมดสัญญาที่ผมได้ให้กับคุณแล้ว... ลาก่อน”   เขาก้มร่างลงเหนือดวงหน้าของหล่อน เมื่อพูดต่อไปว่า   “ผมขอให้คุณรับรู้ไว้เสียด้วยว่า ถ้าคุณอยากจะมัดผมเอาไว้เป็นทาสของคุณเหมือนผู้ชายอื่นๆ ละก็อย่าหวัง   ผู้ชายทุกคนอาจจะยอมเป็นทาสของคุณ   แต่ต้องยกเว้นผมเสียคนหนึ่ง   ลาก่อน คุณประกายแก้ว   ขอบคุณสำหรับอาหารที่แสนอร่อยและการเต้นรำแสนสนุกนี้”

แล้วเขาก็หันหลังกลับ   ร่างสูงล่ำสันก้าวออกไปจากห้อง   ปล่อยประกายแก้วไว้ในห้องอันสลับสลัวนั้นไว้ตามลำพัง กับฝันร้าย

ประกายแก้วเจ็บ   เจ็บทั้งใจที่ขมขื่นชอกช้ำแหลกลาญ เพราะถูกเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี   เจ็บทั้งกายที่ไม่เป็นอันพักผ่อนหลับนอนเพราะเนื่องมาจากใจเป็นมูลเหตุ   ไม่นึกเลยว่าผู้ชายจะสามารถสร้างความเจ็บปวด ดูถูกหล่อนได้ถึงเพียงนี้   อะไรเลยจะสร้างความเจ็บช้ำให้แก่มนุษย์อย่างลึกซึ้งแสนสาหัสได้เท่ากับความภาคภูมิทะนงตนของตนถูกเหยียบย่ำทำลายลงเป็นภัสม์ธุลีเช่นนี้

ไม่มีใครได้เห็นประกายแก้วโฉบเฉี่ยวไปไหนมาไหนดุจนกน้อยขนสวยที่เหินฟ้าเล่นอย่างสำราญใจอีกต่อไป   เขาเหล่านั้นคงจะรู้สึกอัศจรรย์ใจมิใช่น้อย ถ้าจะได้แอบไปที่บ้านของประกายแก้ว และได้เห็นหล่อนในชุดอยู่กับบ้านซึ่งยับยู่ยี่   ผมยุ่ง   หน้าตาไม่ได้แต่ง และนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง สะอึกสะอื้น

ชีวิตมิใช่ความฝัน   แต่บางชีวิตก็เหมือนความฝัน ตรงที่อาจจะเกิดสิ่งที่เราไม่คาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้น   ดังเช่นประกายแก้ว...   หลังจากคืนอันร้ายกาจทารุณที่บดขยี้หัวใจหล่อนคืนนั้นแล้ว ประกายแก้วมิได้คิดว่าหล่อนจะได้พบเห็นกร... ผู้ชายที่ทำร้ายหัวใจของหล่อนคนนั้นอีก   แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งขณะที่ประกายแก้วนอนพักสงบระงับอารมณ์อยู่ในเปลญวนในสวนหลังบ้าน   เขาก็ปรากฏตัวขึ้นเฉพาะหน้า   ลึกลับราวกับปีศาจ   รวดเร็วเกินกว่าที่หญิงสาวจะทันลุกหนีไปทางไหน   หล่อนจึงได้แต่ผุดลุกขึ้นนั่ง   ผมหยักยุ่ง   ดวงตาเบิ่งโตมองดูเขาอย่างตกใจไม่มีการเสแสร้งประดิษฐ์ให้หวานซึ้งยั่วใจอีกต่อไป

เขาเองก็ดูเหมือนจะตะลึงดูหล่อนเช่นกัน   แต่เขาระงับกิริยาได้รวดเร็วนัก   ดวงหน้าของเขาเคร่งขรึมอย่างเคย เมื่อเขาพูดกับหล่อนว่า

“ผู้อำนวยการบอกกับผมว่าคุณเจ็บ”

“ทำไมคุณพ่อจะต้องบอกกับคุณ”   หล่อนตวัดเสียงถาม กัดริมฝีปากแน่น   กลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา

“ท่านไม่ได้บอกกับผมโดยตรงหรอก ผมพูดผิดไป”   เขาพูดอย่างใจเย็น   “ผมเลยคิดเอาเองว่าถ้าคุณเจ็บเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมก็เสียใจ   มีอะไรที่ผมจะทำเพื่อเป็นการลบล้างความผิดที่ทำให้คุณเจ็บได้บ้าง”

“คุณกร ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่าคุณไม่มีความสำคัญอย่างใดเกี่ยวกับการเจ็บไข้ของฉันดอก   ฉันเจ็บเพราะความเจ็บใจตัวเอง   คุณเป็นผู้ชนะพนันต่างหาก   บอกมาซิว่า คุณจะต้องการอะไรเป็นสินพนัน”

เขามองดูหล่อนอย่างขันและลึกลับนิดๆ   ทั้งที่มีสีหน้าเฉยเมย   “คุณจะยอมให้ผมปรับสินพนันแน่หรือ   คุณจะให้อะไรผมบ้าง”

“ก็คุณต้องการอะไรเล่า”   หล่อนย้อนถามอย่างโกรธเคือง

เขาเม้มริมฝีปาก พินิจดูหล่อนครู่ใหญ่แล้วจึงบอกว่า   “คุณจะยอมหรือ ถ้าผมจะขอให้คุณแต่งงานกับผม”

ประกายแก้วผุดลุกขึ้นจากเปล ตาค้าง   “อะไรนะ”

“แต่งงานกับผม”   เขาตอบสั้นๆ ห้วนๆ และปราศจากความยิ้มแย้ม   ประกายแก้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งที่บนเปลตามเดิมขณะที่ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามริมฝีปากอย่างลืมตัว

“แต่คุณเกลียดฉันนี่   แล้วยังเรื่องที่พวกผู้ชายอื่นๆ ...แล้วทำไมคุณ...”

คำถามของหล่อนขาดหายเพียงแค่นั้น   ไม่ต้องจบประโยค แต่เขาก็เข้าใจว่าหล่อนจะถามว่ากระไร   เขามองดูหล่อนอย่างเพ่งพิศ   มองดูดวงหน้าอันขาวเรียวอ่อนละมุนที่ซีดเซียวลงไปเล็กน้อยเพราะความเจ็บไข้ที่มาเบียดเบียน   มองดูเรือนผมที่ยุ่งเหยิงปราศจากการตกแต่ง   มองดูเครื่องแต่งกายที่ยับเยินหลวมๆ ตามสบายของหล่อนแล้วอยากจะบอกหล่อนว่า   “เพราะภาพของเธอในเวลาที่เป็นตัวของเธอเองโดยธรรมชาติปราศจากการ ตบแต่งโดยสิ้นเชิงเช่นในเวลานี้ เป็นสิ่งที่จับตาจับใจฉันยิ่งนัก   สำหรับผู้ชายเหล่านั้นน่ะหรือ ... จะไปพูดถึงทำไม   เพียงแต่อาการสั่นสะท้านไปทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันค่ำคืนนั้นก็บอกให้ฉันรู้ดีแล้วว่าเรื่องที่พูดกันเกี่ยวกับผู้ชายเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”

แต่กร ก็ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิมที่ประกายแก้วยังคงไม่มีโอกาสเข้าใจอยู่นั่นเอง   เพราะเขาไม่ยอมปริปากขยาย ความคิดของเขาออกมาเป็นคำพูดจนแล้วจนรอด   เขาพูดแต่ว่า

“แล้วผมจะไปเรียนผู้อำนวยการ”

แล้วก็เดินจากไป   ปล่อยให้ประกายแก้วนั่งตะลึง อ้าปากค้างมองตามเขาไปอย่างงงงวยเกินกว่าจะทำสิ่งใดถูก

เกือบจะทันทีที่ข่าวการแต่งงานของประกายแก้วกับผู้จัดการโรงงานทอผ้าของบิดาของหล่อนแพร่ออกไป   ประกายแก้วก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนหญิงคู่พนันของหล่อนทันที

“นี่จะตัดสินใจว่าใครแพ้กันแน่ยะ แม่แดง”   เสียงแจ๋วๆ แจ๋นๆ ของแม่นั่นดังลั่นมาตามสาย   “เธอหรือฉัน... เราพนันกันว่าเธอจะเฆี่ยนนายนั่นให้หมอบ   แต่นี่กลับจะแต่งงานกับเขาเสียเลย   ฉันเลยชักเกิดสงสัยขึ้นมาเสียแล้วซีว่า เธอเฆี่ยนเขาหรือเขาเฆี่ยนเธอกันแน่”

“เออน่า ใครเฆี่ยนใคร ใครหมอบใครก็ไม่สำคัญหรอก”   ประกายแก้วกรอกคำตอบลงไปด้วยเสียงสดใสเต็มไปด้วยความสุข   “เป็นอันว่าเรายอมเป็นเจ้ามือเสียเองก็แล้วกัน   ถึงจะไม่แพ้พนันคราวนี้ แต่คราวต่อไปถ้าพวกตัวมาท้าพนันเราอีกเราก็ต้องยอมแพ้   เพราะเราไม่คิดที่จะ เฆี่ยน ใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว”

แต่ประกายแก้วจะไม่มีวันรู้ ว่าพร้อมๆ กับที่หล่อนยอมตัวเป็นเจ้ามือควักกระเป๋าพาเพื่อนฝูงไปเลี้ยงดูเฮฮากันอยู่นั้น   อีกมุมหนึ่งของพระนคร   กร ผู้ชายอวดดี เจ้าบ่าวในอนาคตของหล่อน กับสุนทร เลขานุการปากหวานของคุณพ่อของหล่อน   ก็กำลังร่วมฉลองอาหารจีนของเขาอยู่เช่นเดียวกัน

“เมื่อเช้านี้ผมส่งตราขาวครึ่งโหลไปบ้านคุณแล้วนาคุณกร”   สุนทรว่า   “ให้ตายซี ถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่าคุณจะเอาลูกสาวผู้อำนวยการไว้อยู่หมัดจริงๆ ผมไม่ยักท้าพนันคุณหรอก   คุณนี่เห็นขรึมๆ ยังงี้ก็เถอะ น้ำนิ่งไหลลึกชมัด   ผมยอมซูฮก ให้ตาย”

กรใช้ตะเกียบคีบกุ้งทอดใส่ปาก เคี้ยวตุ้ยๆ   ทำหน้ายิ้มๆ แต่ไม่พูดว่ากระไร   สุนทรปรารภเหมือนรำพึงต่อไปว่า

“แต่เอ... ผมชักหนักใจแทนคุณนา คุณกร   ลูกสาวผู้อำนวยการคนนี้ คนทั้งเมืองเขาให้สมญาแกว่า แม่แดงพระเพลิง   สงสัยว่าคุณจะเอาแกไว้ไหวรื้อ”

คราวนี้กรยิ้มเต็มที่ ตอบอย่างสนุกสนานแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า   “อย่าวิตกเลยคุณ   ผมไม่เคยเล่าให้คุณฟังหรอกหรือ   ว่าพ่อของผมเคยเป็นตำรวจดับเพลิง?”


........ลงพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 451 ปีพ.ศ.2503