สุภาว์ ราชินีเรื่องสั้น | |
7 | ทายาทของยายพลอย |
15 | พรานติดแร้ว |
16 | วจีกรรม |
22 | กรรม |
28 | ในฝัน |
29 | แท้กซี่ |
30 | ยายบัว |
31 | ระหว่างกากับหงส์ |
34 | กรรมของสัตว์ |
35 | ชบาแดง |
36 | แดงเพลิง |
38 | เรื่องรักๆ |
39 | เคียงขวัญ |
40 | ผู้พิทักษ์ |
41 | ห้องดำ |
42 | เมืองคนโม้ |
43 | พระเอกของธารี |
44 | เพราะฉันรักเธอ |
45 | กำไล |
50 | กรรมใดใครก่อ |
หน้าที่
1/3 |
รองเท้าคู่นี้ มองดูงามเด่นสะดุดตายิ่งกว่ารองเท้าทุกคู่ ที่มารวมกันอยู่ในบริเวณสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ในตอนเย็นวันนั้น !
ความงามเด่นน่าดูของมัน อาจจะอยู่ที่ความสดใสแปลกตา เพราะมันเป็นรองเท้าที่ตัดด้วยผ้าไหมไทยสีแดงสดสว่างสลับขาวเป็นมันวับ ประดับด้วยกุหลาบแดงข้างละหนึ่งดอก หรืออาจจะอยู่ที่ผิวเนื้อหลังเท้าอันอวบอิ่ม ขาวสะอาดจนดูเหมือนจะออกสีชมพูเรื่อๆ ของหญิงสาวที่สวมใส่มันอยู่ในเวลานั้น ประกอบด้วยข้อเท้าเล็กและน่องอันเรียวงามเต่งตึงช่างส่งรูปร่างลักษณะของรองเท้าให้น่าดูยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ที่รองเท้าคู่นั้นมองดูเด่นสะดุดตายิ่งกว่าอื่นใด ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันมิได้วางอยู่ในระดับเดียวกับรองเท้าทั้งหลายในบริเวณนั้นทั้งหมดก็เป็นได้ ด้วยเหตุว่ารองเท้าคู่อื่นๆ นั้นต่างก็วางราบอยู่บนพื้นหญ้าบ้าง พาดซ่อนอยู่ตามพนักเก้าอี้และตามใต้โต๊ะบ้าง แต่รองเท้าที่ประดับด้วยกุหลาบแดงคู่นี้ลอยอยู่ในอากาศ สูงจากพื้นดินไม่ต่ำกว่าหนึ่งศอก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะขณะนั้น ผู้ที่สวมมันได้วางร่างทั้งร่างของหล่อนไว้บนโต๊ะเหล็กดัดค่อนข้างสูง ในลักษณะนั่งไขว้ขาอย่างสบายใจโดยไม่พรั่นต่อสายตาของผู้หนึ่งผู้ใด
ก็ทำไมหล่อนจะต้อง “พรั่น” ด้วยเล่า ในเมื่อถ้าจะพูดไปแล้วหล่อนก็เป็นบุคคลที่เด่นที่สุด และน่าจะสำคัญที่สุดสำหรับงานในตอนเย็นวันนี้ เพราะมันเป็นงานที่จัดขึ้นเนื่องจากวาระคล้ายวันเกิดของหล่อนแท้ๆ แม้ว่าคุณพ่อ จะเลยถือโอกาสเชิญเจ้าพนักงานที่บริษัท และบางคนซึ่งเป็นแขกที่หล่อนไม่รู้จัก มาร่วมงานเพื่อจะเลยหาเวลาประชุมปรึกษาหารือกันเป็นพิเศษอีกก็ตามที
“จุ๊ จุ๊ แดง อีตาผู้ชายคนนั้นน่ะใครกันนะ” เพื่อนสาวคนหนึ่งของหล่อนสะกิดขาพลางบุ้ยใบ้ด้วยสายตา “ที่โต๊ะของคุณพ่อเธอนั่นแหละ ปากหนวด ผูกเน็คไทแดง พูดคำนึงก็ชายตามาเกี้ยวเธอทีนึงไม่หยุดไม่หย่อน”
“อ๋อ” หล่อนร้องพลางปลิดองุ่นจากพานผลไม้ใส่ปากโดยไม่หันไปมองดู “เลขานุการของพ่อเราเอง เจ้าชู้บรม เมียสอง ลูกหก แล้วยังจะทะเล้นมากะลิ้มกะเหลี่ยกะเราไม่หยุดไม่หย่อน เราอยากจะยุพ่อให้ไล่ออกเสียหลายหนแล้ว แต่พ่อบอกว่าแกคล่องงานดี ใช้อะไรเป็นทำให้ได้ดังใจทันใจทุกอย่าง”
“เป็นบุญของคุณพ่อตัวที่มีลูกสาวสวย” เพื่อนอีกคนว่า
“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ ที่แต่งสูตสีเทาอมฟ้านั่นน่ะ ฉันเห็นเวลาเขามองดูเธอ นั่นๆ นั่นไงแดง ดูซี มองมาอีกแล้ว ทำตาเหมือนกับเด็กเวลาจะถูกแม่ตียังงั้นแหละ”
“นั่นน่ะหรือ เลขาฯ ของพ่ออีกเหมือนกันแหละ แต่อยู่แผนกเอกสาร พิมพ์หนังสือร่างจดหมายอะไรพรรค์นั้น อีตาคนนี้นะเราเบื่อขี้หน้าอย่างที่สุด รำค้าญ รำคาญ จะพูดอะไรก็ไม่พูด เอาแต่มองหน้าทำตาละห้อยยังกับเราเป็นเจ้าหนี้แกยังงั้นแหละ วันนั้นเราลองยิ้มหวานๆ ให้หน่อย แกทำท่าเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปเลย”
“ถ้าไงๆ ละก็อย่าทำอะไรที่ยิ่งกว่ายิ้มหวานนะแดง” เพื่อนสาวคนหนึ่งที่ท่าทีดูจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กว่าเพื่อนติงด้วยใบหน้ายิ้มๆ “สงสารแกบ้าง เดี๋ยวแกจะเลยหัวใจหยุดไปเลย”
“แม่แดงเขายิ่งชอบน่ะซี” อีกคนว่า “มันน่าภาคภูมิออกจะตายจริงไหมแดง ถ้าจะมีใครสักคนตายเพราะความรักเรา”
“คนเดียวจะพออะไร” หญิงสาวที่ถูกขนานนามว่า แดง พูดอย่างหน้าตาเฉย และหล่อนก็ถูกสหายอีกคนหนึ่งชี้หน้าว่าเอาในทันทีนั้นว่า
“แดงละเจ้าชู้นัก”
“หนอยแน่ะมาว่าเค้า” เจ้าของรองเท้าคู่งามร้อง แต่อาการไม่พอใจมิได้ปรากฏอยู่ในน้ำเสียงของหล่อนแม้แต่น้อย “ถ้าเราวางท่าเฉยๆ ใครๆ ก็หาว่าเราหยิ่งทำวางท่าเป็นลูกสาวผู้อำนวยการ หนอยแน่ะ พอเรายิ้มแย้มแจ่มใส พวกตัวก็มาชี้หน้าเราว่าเจ้าชู้ เซี้ยวที่สุดเลย”
“อย่าเข้าเลยย่ะ” แม่คนที่ชี้หน้ากล่าวหาเอาซึ่งๆ หน้า พยายามหาทางพิสูจน์ว่าคำกล่าวหาของเจ้าหล่อนมิได้เกินกว่าเหตุเลย “กับพวกผู้หญิงด้วยกันไม่เห็นตัวทำตาหวานชมดชม้อยอย่างเวลาที่ตัวอยู่ในหมู่ผู้ชาย เรารู้นาว่าพวกผู้ชายที่บริษัทน่ะ หลงตัวเป็นบ้าเป็นบอไปหมดทุกคนแทบจะตีกันตาย แน่ะๆ พูดยังไม่ทันขาดคำหันไปยิ้มหวานกับตาเกริกอีกแล้ว”
“โธ่ ตัวนี่จะบ้า” ผู้ถูกกล่าวหาร้องอุทธรณ์ “ก็คุณเกริกเขายิ้มกับเรา ตัวจะไม่ให้เรายิ้มตอบเขาหรือ... ผ้าผืนนี้น่ะ...” หล่อนจิ้มนิ้วลงบนท่อนขาซึ่งปกคลุมด้วยกระโปรงตัดเย็บด้วยผ้าไหมไทยชิ้นเดียวกับรองเท้า “คุณเกริกเขาซื้อมาฝากเราจากเชียงใหม่เทียวนะ รู้ไหม”
“สมวันนี้นายเกริกคงจะอิ่มใจจนไม่ต้องกินข้าว” เพื่อนสาวว่า และหญิงสาวก็หัวเราะเสียงใสอย่างชอบใจ เสียงหัวเราะอย่างแจ่มใสของหล่อนเรียกสายตาผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นให้มารวมกันอยู่ที่ตัวหล่อนเป็นจุดศูนย์กลาง อาการสนใจนิดๆ ขวางหน่อยๆ จุดอยู่ในสายตาของพวกผู้หญิง แต่สำหรับผู้ชาย... แน่ละ ผู้ชายมักจะไม่ค่อยขวางเก่งอย่างผู้หญิง และไม่ค่อยจะนึกขวางผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ยังสาวสด ทั้งสวยสะพรั่งไปทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับกุหลาบแรกแย้มดังเช่นหญิงซึ่งสวมรองเท้าคู่งามคนนี้
“ถามจริงๆ เถอะแดง” สหายของหล่อนเริ่มตั้งข้อปุจฉาขึ้นใหม่ “ในบรรดาพวกผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายที่รุมตอม และสยบราบอยู่รอบตัวเธอเวลานี้น่ะ เธอไม่ชอบใครสักคนหนึ่งเลยเทียวหรือ”
“ใครว่า” หญิงสาวตอบพลางยิ้มอย่างสนุกสนาน “ฉันชอบพวกเขาทุกคนเลย”
“เจ้าชู้อีกแล้ว พูดอย่างเจ้าชู้อีกแล้ว”
“อ้าว พุทโธ่ ก็ตัวว่าถามจริงๆ เค้าก็ตอบจริงๆ แล้วยังจะมาว่าเค้าเจ้าชู้อีก นี่แน่ะฉันจะบอกให้ พวกเธอน่ะรู้จักคำว่ามิตรจิตมิตรใจกันบ้างหรือเปล่าจ๊ะ คุณแม่ทั้งหลาย”
“อุ๊ย เล่นสำนวน น่าหมั่นไส้” เพื่อนย้อนให้ “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นดอกย่ะ แต่อย่าให้มัน จ๋อย... จนเกินไปนักอย่างที่หล่อนชอบประพฤติอยู่เป็นนิจศีลจนติดเป็นนิสัยยังงี้ ฉันเห็นตัวเที่ยวควงใครต่อใครไปดูหนังไม่เลือกหน้าจนใครๆ เขาว่า นางสาวประกายแก้วคนนี้น่ะแสนจะเฟลิ๊ต รู้ไหมยะ”
“ฮึ เราไม่เห็นหวั่น” หญิงสาวสะบัดผมพลางเชิดหน้าประกอบคำพูดของหล่อน “คนปากมาก เราไปกันอย่างเพื่อน แล้วถ้าไปสองต่อสองเราก็ไปแต่ตอนกลางวัน... กลางคืนเราไม่เคย... นอกจากกับคนที่พ่อเราไว้ใจ ใครอยากจะว่าอะไรก็ว่าไปซี... เราไม่แปลก”
เพื่อนๆ พากันนิ่งไปเมื่อสังเกตรู้ว่าแม่สาวเจ้าของงานชักจะเริ่มบังเกิดความไม่พอใจ แต่วิสัยหญิงสาว โดยเฉพาะหญิงสาวที่เพิ่งจะพ้นวัยแรกรุ่นดรุณีมาเพียงไม่กี่ปีเช่นหญิงทั้งหลายที่กำลังนั่งรวมกลุ่มอยู่นี้ ย่อมจะเก็บงำความคิดในสิ่งที่ตนสนใจอยู่แต่ภายในใจได้ไม่นานนัก หลังจากที่ได้เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปได้สักครู่หนึ่ง คนหนึ่งก็หาเรื่องวกเข้ามาสู่เรื่องเดิมจนได้
“เออ แดง พวกชายหนุ่มทั้งหลายที่มาในงานวันเกิดตัววันนี้น่ะ มีแฟนตัวอยู่ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ไหม”
“โอ๊ย แฟนของเราร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย” หล่อนตอบหน้าเฉยๆ “ถ้าเราอยากจะให้เป็น”
“หนอยแน่ะ เชื่อมั่นในตัวเธอเองถึงเพียงนั้นเทียวเรอะ แต่ เออแดง ผู้ชายคนนั้นน่ะเป็นใครนะ”
“คนไหน” เจ้าของงานถามพลางเหลียวหน้าไปมองรอบๆ
“คนที่นั่งตรงข้ามกับคุณพ่อเธอ ไม่ได้สวมเสื้อนอก ใส่แต่เชิ้ตแขนยาวแบะคอนั่นไงล่ะ ท่าทางเขาคมคายดีออก”
“ Tall dark and handsome” อีกคนเสริม
“ไม่เห็น handsome สักหน่อย” เจ้าภาพพูดหน้าเฉยไม่มีรอยยิ้ม “เขาชื่อนายกรวิเศษ”
“อาไร้ คนอะไรชื่อพิลึกกึกกือยังงั้น กรวิเศษ.... ชื่อเข้าไปได้ยังไง”
หญิงสาวนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงตอบว่า “เปล่าหรอก เขาชื่อกรเฉยๆ น่ะ แต่ฉันเรียกเขาเองแหละว่ากรวิเศษ เขาเป็นนายช่างของเรา ควบคุมโรงงานทอผ้าทั้งหมด พ่อนิยมชมชื่นเขานักหนา
“เธอเลยแกล้งเรียกประชดเพราะเขาเป็นคนโปรดของคุณพ่องั้นซี” เพื่อสาวว่า และเมื่อเห็นสหายมีใบหน้าอันเฉยเมยผิดปรกติ หล่อนก็เลยพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันมีชัยว่า “ถ้างั้นเธอก็พูดผิดเสียแล้วละแดง ที่ว่าแขกที่มาในงานนี้เป็นแฟนเธอทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ”
หญิงสาวหันมามองดูหน้าผู้พูดทันที “ทำไม”
“เพราะอย่างน้อย ก็ยังมีนายกรวิเศษอะไรนั่นอีกคนน่ะซี ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับตัว เราสังเกตอยู่นี่นา ตั้งแต่เขามาถึงแล้ว ไม่เห็นเขาจ้องมองดูตัวสักแวบเดียว ไม่ว่าตัวจะยิ้มหวาน หรือเล่นหูเล่นตากับใครก็ไม่เห็นเขาเอาใจใส่ เอาแต่นั่งปรึกษาหารือกับคุณพ่อท่าเดียว”
เจ้าภาพสาวสะบัดหน้า “เราไม่เห็นจะอยากให้ผู้ชายทึ่มๆ ทื่อๆ เป็นท่อนไม้อย่างนั้นมาเอาใจใส่ แล้วก็ตัวอย่าลืมซีว่าเราไม่ได้พูดว่าผู้ชายทั้งหมดที่มาที่นี่เป็นแฟนเราร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เราบอกด้วยนี่ว่าถ้าเราอยากจะให้เป็น”
“อุ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว คนที่สูงอาวุโสกว่าเพื่อนร้องปราม แม่สาวๆ พวกนี้พูดอะไรไม่น่าฟังเลย เปรี้ยวจี๊ดเทียวนะแม่คุณ อย่างนี้ถ้าพวกคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่มาได้ยินลูกสาวหลานสาวพูดกันยังงี้ละก็ลมจับแน่ เพลาๆ ปากเพลาๆ คอกันหน่อยซียะ เธอ ใครได้ยินเข้าละก็อายเขาตาย”
“เฉยเถอะน่า พี่เบิ้ม” แม่สาวคนที่ตั้งข้อปรามาสเจ้าภาพคนสวยหันไปโบกมือห้าม “อย่างนี้ดีกว่า ตัวมาพนันกับเราไหมล่ะ แดง ว่า อีตากรวิเศษคนนี้น่ะ ถึงยังไงตัวก็จูงจมูกเขามาหมอบอยู่แทบเท้าตัวเหมือนผู้ชายคนอื่นไม่ได้”
“หนอยแน่ะ ตัวประมาทหน้าเรานะนี่” หญิงสาวทำตาลุกอย่างถือดี “ถึงยังไงเราก็ไม่ยอมถอนคำที่ว่าถ้าเราต้องการให้ผู้ชายคนไหนสนใจเราแล้ว เราไม่เคยทำไม่สำเร็จ”
“ถ้างั้นก็มาพนันกันซี ข้าวสักมื้อ หนังสักรอบเป็นไง”
“ยังได้” อีกฝ่ายหนึ่งตกลงอย่างไม่ต้องใช้ความคิดทันที หล่อนผู้ซึ่งใครๆ ก็ยกย่องแล้ว ทั้งสวยงามเลิศเลอพร้อมทุกประการจะมายอมให้เพื่อนประมาทหน้าเอาได้ง่ายๆ เช่นนี้กระไรได้ “ดีแล้ว ถ้าฉันแพ้ฉันจ่าย เธอแพ้ เธอจ่าย เลี้ยงพวกเราหมดทั้งพวกนี่แหละ”
“ดี ใครๆ เป็นพยานนะเจ้าข้า” ผู้ท้าพนันประกาศหาพยานทันที “เราพนันกันอิ่มหนึ่งกับหนังหนึ่งรอบว่านางสาวประกายแก้วเขาจะทำให้กรวิเศษมาซบสยบอยู่แทบเท้าเขาให้จงได้ เราจะดูกันต่อไปว่าเขาทำสำเร็จหรือไม่”
เพื่อนๆ พากันสนับสนุนอย่างสนุกสนานด้วยความคึกคะนองและปราศจากความรู้จักยั้งคิดด้วยการควรมิควร นอกจากคนเดียวที่ใครๆ เรียกว่า พี่เบิ้ม ที่บอกว่า
“ฉันไม่เอาด้วยหรอกย่ะ แม่คุณ ใครๆ เขารู้เรื่องเข้าเขาได้เก็บไปนินทาตาย เป็นสาวๆ แส้ๆ แท้ๆ เล่นอะไรกันอุตรินอกรีดนอกรอยยังงี้ก็ไม่รู้”
คำประมาท ของเพื่อนคุกรุ่นอยู่ในใจของประกายแก้วนับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา มันทำให้เลือดในกายของหล่อนเดือดพล่านด้วยความทะนงตนและถือดี อันเป็นเหตุให้หล่อนต้องลอบมองดู “ตัวการ” ที่นั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อีกทางหนึ่งไม่น้อยครั้ง จริงนั่นแหละ เขาไม่ได้แสดงความสนใจหรือเอาใจใส่กับหล่อนเลยแม้แต่สักนิดเดียว ครั้งหนึ่งก็ไม่เคยเหลียวแลมาไม่ว่าหล่อนจะเล่นจะหัวจะแกล้งหัวเราะเสียงสดใสสักปานใด ผู้ชายคนนี้อวดดีอย่างไรจึงได้มาทำกับประกายแก้วคนงามถึงปานนี้ เขาแสดงกิริยาประหนึ่งว่าเห็นหล่อนเป็นเพียงเศษธุลีเล็กๆ ชิ้นเดียวที่ไม่ปรากฏแก่สายตาของเขาเลย มันเป็นการเหยียดหยามกันตรงๆ ประกายแก้วทนไม่ได้ ไม่มีผู้ชายคนใดเลยที่จะทำกับหล่อนถึงเพียงนี้ ผู้ชาย ไม่ว่าคนไหนก็คนนั้น เพียงแต่ประกายแก้วยิ้มด้วย ก็ทำท่าดุจหลุดลอยจากผิวโลกขึ้นสู่สวรรค์ เพียงแต่ประกายแก้วจะพยักหน้าสักนิดหนึ่ง เขาก็จะพรั่งพรูกันเข้ามาแทบว่าจะสยบอยู่แทบปลายเท้าของหล่อน หรือเมื่อประกายแก้วจะเปรยถึงของต้องใจให้เข้าหูเขาคนใดคนหนึ่ง ของสิ่งนั้นก็แทบจะลอยเข้ามาสู่มือของหล่อนในทันทีทันใด ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ชายคนนี้วิเศษอย่างไร ที่จะมาเหยียดหยามดูถูกประหนึ่งว่าความงามของประกายแก้วไร้ค่าประดุจก้อนกรวด ไม่คู่ควรแก่ความสนใจของเขาเช่นนี้
ดูเหมือนโชคจะอำนวยให้หล่อนได้เร็วทันใจ เพราะในตอนเย็นวันนั้น หลังจากที่งานเลี้ยงน้ำชาสุดสิ้นลง บิดาของหล่อนได้เอ่ยปากชวนให้เขา ผู้ชายอวดดีคนนั้นกับนายเลขานุการปากหนวดอยู่รับประทานอาหารมื้อเย็นกับท่านเพื่อที่จะได้ปรึกษาหารือกันถึงเรื่องการงานที่ยังคงค้างอยู่ต่อไป ประกายแก้วนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขา และยิ่งทวีความเจ็บใจและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะยิ่งขึ้น เมื่อปรากฏว่าตลอดเวลารับประทานอาหารนั้น เขามิได้มองดูหน้าหล่อนเลยแม้สักครั้งเดียว มีแต่นายปากหนวดนั่นคนเดียวที่ชวนหล่อนพูดคุยและพยายามจะสบสายตากับหล่อนไม่หยุดหย่อน
จากห้องอาหาร ย้ายออกมาสู่ห้องนั่งเล่น เพื่อสูบบุหรี่และดื่มกาแฟครู่หนึ่ง ท่านเจ้าของบ้านก็ขอตัวขึ้นไปข้างบน
“คุณกรอย่าเพิ่งกลับนะ” ท่านกำชับก่อนที่จะลุกออกจากห้องไป “ประเดี๋ยวผมจะเอาอะไรลงมาให้ดู เกี่ยวกับร่างชิ้นส่วนของเครื่องทอผ้าแบบใหม่ เขาเพิ่งส่งแบบมาให้คุณสุนทร” ท่านหันไปทางนายปากหนวด “ถ้ามีธุระหรือห่วงทางบ้านก็กลับได้ ถ้าไม่มีอะไรก็อยู่คุยไปพลางๆ ก่อนซี”
แล้วท่านก็ออกไป ปล่อยให้ประกายแก้วอยู่กับนายกร... รูปปั้นทองแดง กับนายสุนทรปากหนวด เมียสองลูกหก คนนั้น
พอคุณพ่อของหล่อนลับตัวไป นายสุนทรก็ถือโอกาสเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับหล่อนอย่างถือวิสาสะ ทำตาเจ้าชู้เมื่อพูดว่า
“ชุดผ้าไทยที่คุณแดงแต่งเมื่อตอนกินน้ำชาช่างงามเหลือเกิน ใครๆ พากันมองตะลึงไปตามๆ กันหมดเทียวนะครับ รู้บ้างหรือเปล่า”
“คุณเกริก ทราบเข้าคงจะดีใจไม่น้อย” ประกายแก้วพูดหน้าตาเฉย “ทราบไหมคะว่าผ้าชุดนั้นคุณเกริกซื้อมาฝากจากเชียงใหม่”
“อ้อ แต่ความจริงคุณแดงแต่งชุดไหนๆ ก็ดูงามรับตัวคุณทั้งนั้นแหละครับ อย่างชุดนี้” เขามองดูชุดเย็นซึ่งตัดด้วยชีฟองบางๆ สีฟ้าหม่นซึ่งมีซับในด้วยต่วนสีเดียวกันที่หล่อนสวมอยู่นั้น “ก็สวยหยอกเมื่อไร คุณแดงเข้าใจซ่อนผิวของคุณไว้ใต้แพรให้เห็นรำไรแบบนี้ น่ามองไม่น้อย”
“งั้นหรือคะ แหมคุณสุนทรนี่ช่างติชมเครื่องแต่งตัวผู้หญิงเสียจริง ชุดนี้น่ะท่านชายน้อยทรงซื้อมาประทานจากอเมริกา เออ นี่บุตรคนเล็กของคุณสุนทรอายุเท่าไหร่แล้วนะคะ ดิฉันชักจะจำไม่ได้เสียแล้ว”
นายสุนทร กระแอม กระไอ ราวกับมีอะไรเข้าไปติดอยู่ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะอึกอักตอบออกมาเหมือนคนพูดไม่ชัดว่า
“วิ่งได้แล้วครับ” แล้วก็เสพูดเรื่องอื่นอยู่อีกไม่นานก็เลยลุกขึ้นบอกลา
ในที่สุด ก็เหลืออยู่เพียงสองคน ประกายแก้วและนายกร คนวิเศษคนนั้น หยุดยืนอยู่ที่ประตูเมื่อกลับเข้ามาหลังจากออกไปส่งสุนทรที่หน้าตึกตามมารยาทเจ้าของบ้านที่ดี ประกายแก้วจับตาดูชายที่นั่งสูบบุหรี่พลาง พลิกสมุดภาพในมือพลางอย่างไม่สนใจด้วยความขุ่นเคือง อยากจะรู้ว่าจะทำเป็นน้ำแข็งไปได้นานสักเพียงใด จะไม่รู้จักละลายบ้างก็แล้วไป หญิงสาวเดินข้ามห้องตรงไปยังที่เล่นแผ่นเสียง เลือกเพลงที่โรแมนติคที่สุดที่มีอยู่ ปรับเสียงให้ดังเพียงแผ่วๆ แล้วก็หันหน้าไปทางเขา... เพลงเพราะๆ อย่างนี้ ยังทำนั่งเฉยเหมือนคนหูหนวกอยู่ได้
“คุณกรไม่ชอบฟังเพลงหรอกหรือคะ” ใครจะว่าเราหน้าไม่อายที่เป็นฝ่ายพูดก่อนไม่ได้นะ เราทำตามมารยาทเจ้าของบ้านต่างหากเล่า
ชายหนุ่มลดบุหรี่ลงจากริมฝีปาก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน ประกายแก้วดีใจที่หล่อนยืนหันข้างให้แก่ช่อไฟประดับข้างฝา หล่อนรู้ว่าแสงไฟจะเล่นเงากับดวงหน้าของหล่อนให้เห็นส่วนโค้งอันอ่อนช้อยและส่งผิวพรรณให้สุกปลั่งขึ้น จิตรกรหนุ่มผู้คลั่งไคล้ใหลหลงในตัวหล่อนคนหนึ่งเคยพรรณนาไว้เช่นนั้น น่าเสียดายอยู่หน่อยตรงที่แสงไฟในห้องนี้ออกจะสว่างไสวมากเกินต้องการ ถ้าจะมีแต่เพียงแสงจากโคมข้างฝาแห่งเดียว เพลงที่กำลังดังแผ่วๆ อยู่เดี๋ยวนี้จะฟังดูไพเราะและศักดิ์สิทธิ์ราวกับมีมนตร์กำกับ ทั้งรูปลักษณะของหล่อนเองก็คงจะอ่อนช้อย งดงาม ตรึงตา ตรึงใจมากขึ้นอีกหลายเท่านัก
“ผมชอบเพลงเหมือนกัน แต่เป็นบางโอกาส” เขาตอบเรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษในน้ำเสียง
“คุณชอบเต้นรำไหมคะ”
“เวลานี้ไม่ชอบครับ”
ตายจริง คนบ้า ไม่มีจรรยาเสียเลยที่ตอบออกมายังงี้ แหม อยากจะหาคำพูดอะไรมาว่าให้เจ็บๆ นัก
แต่ก่อนที่ประกายแก้ว จะทันหาคำเจ็บๆ มาว่าเขาให้ได้ดังใจคิด หล่อนก็ได้ยินเขาตั้งคำถามเอากับหล่อนว่า
“คุณคงชอบเต้นรำแบบนี้มาก”
ประกายแก้ว ทรงกายขึ้นจากท่าที่ยืนเท้าตู้แผ่นเสียงอยู่อย่างอ่อนช้อยเป็นยืนตัวตรงทันที ตอบเขาด้วยเสียงห้วนๆ ว่า “คุณหมายความว่ายังไง”
“ผมก็หมายความอย่างที่ผมพูด คุณคงจะชอบเต้นรำแบบนี้ คือเปิดแผ่นเสียงแผ่วๆ แล้วก็เต้นรำกันเพียงสองคนกับ... เอ้อ... อาจจะเป็นคุณอะไรหรือท่านชายอะไรที่เป็นคนซื้อจานเสียงมากำนัลคุณก็เป็นได้”
ประกายแก้วรู้สึกประหลาดใจจนลืมโกรธ ไม่นึกเลยว่าผู้ชายทึ่มๆ ทื่อๆ เหมือนรูปหล่อทองแดงคนนี้จะพูดอะไรที่เป็นการเหน็บแนมคนเป็นเหมือนกัน แต่เขาตั้งใจจะเหน็บแนมหล่อนหรือ ประกายแก้วไม่กล้าคิดเช่นนั้น เพราะใบหน้าของเขาขณะที่พูด ช่างเรียบเฉยเสียจนกระทั่งหล่อนไม่อาจจับความรู้สึกประการใดจากเขาได้
หล่อนเดินมานั่งเยื้องกับเขา เปลี่ยนเรื่องพูดเสียใหม่ว่า “งานที่โรงงานคงจะยุ่งมากจริงไหมคะ”
“งานทุกชนิด ถ้าจะจัดทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็จะไม่มีโอกาสได้ยุ่งเหยิงได้”
“ดีจริง คุณพ่อเคยชวนดิฉันไปเที่ยวหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยโผล่ไปสักที วันหน้าเห็นจะต้องไปเที่ยวบ้าง” ประกายแก้วว่า
และถ้านายคนนี้จะเหมือนนายสุนทรหรือชายหนุ่มคนอื่น เมื่อได้ยินประกายแก้วออกปากเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะไม่กุลีกุจอเชื้อเชิญหล่อนอย่างดีอกดีใจ แต่นี่ เปล่าเลย สักคำเดียวก็ไม่พูดว่ากระไร เขาเพียงแต่เลิกคิ้วมองดูหล่อน ริมฝีปากขมวดขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะยิ้ม แต่ก็มิได้ยิ้ม ทำหน้าเป็นปริศนายังไงชอบกล ผู้ชายคนนี้พิลึกแท้ๆ
คำยั่วเย้าของเพื่อนที่ส่งมาตามสายโทรศัพท์ว่า “ไงยะ แม่แดงพระเพลิง ตัวจะยอมแพ้พนันเราละหรือ” เป็นแรงส่งประกายแก้วให้โลดไปถึงโรงงานทอผ้าของบิดาในวันหนึ่ง แต่แน่ละ หล่อนฉลาดพอที่จะเลือกไปในวันที่รู้ว่าบิดาจะไปตรวจงานที่นั่น ถึงหล่อนแก่นกล้าสักเพียงไร หล่อนก็ยัง หน้าบาง และทะนงตัวอยู่บ้างไม่น้อยเหมือนกัน
หญิงสาวแสดงท่าทางไม่แยแสเมื่อบิดาบอกให้กร เป็นผู้พาหล่อนไปชมโรงงานแทนตัวท่าน และเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างเรียบร้อยเคร่งครัด ให้คำอธิบายอย่างละเอียดลออถี่ถ้วน ราวกับว่าหล่อนเป็นแขกคนสำคัญ ประกายแก้วฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง หล่อนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ความคิดที่ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่สามารถอ่านรู้ได้ละก็ ท่านเหล่านั้นจะต้องตกใจถึงตบอกทีเดียว
“คุณดูเหมือนจะไม่สู้สนใจเท่าไรนัก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะที่เขาพาหล่อนเดินมาถึงที่ย้อมด้าย กลุ่มด้ายสีต่างๆ สด สวย แขวนอยู่เป็นระนาวบนคานไม้ยาวเหยียดเป็นแถวๆ ออกไป ประกายแก้วยกมือขึ้นเหนี่ยวหัวคานด้านหนึ่งซึ่งสูงพอดีกับขมับของหล่อน เมื่อหล่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นอีกเล็กน้อย แก้มข้างหนึ่งของหล่อนก็แนบเข้าชิดกับด้านแบนของคานนั้นซึ่งตั้งเอาสันขึ้นพอดี
“ดิฉันกำลังสนใจว่าคุณช่างทำงานได้อย่างไรในที่ซึ่งเงียบเหงาและแห้งแล้งไกลผู้ไกลคนอย่างนี้”
“ที่นี่อยู่ห่างจากหลักเขตเทศบาลเพียงสองกิโลเมตร เท่านั้น” เขาตอบขรึมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง “คุณคงไม่ทราบกระมังว่าโรงงานอุตสาหกรรมจะตั้งอยู่ในเขตเทศบาลไม่ได้ แล้วก็ไม่เห็นเงียบเหงาและแห้งแล้งอะไรเลย มันแค่ต่างกับโลกในแง่ที่คุณเคยอยู่และเคยรู้จักเท่านั้นเอง”
“ที่นี่หรือคะคือโลกของคุณ”
คราวนี้เขาจ้องตรงมาในดวงตาของหล่อนนิ่งและนานก่อนที่จะตอบว่า “โลกของผมกว้างใหญ่และลึกลับกว่านี่มาก แต่คุณคงไม่มีวันจะเข้าใจ”
ประกายแก้วปล่อยมือจากคาน หล่อนยืนตรง ยึดไหล่และเชิดหน้าน้อยๆ อย่างถือดีเมื่อกล่าวว่า
“ดิฉันอยากจะคิดว่าคุณกำลังท้าทายดิฉัน”
รอยยิ้มนิดๆ แผ่ซ่านไปที่ดวงหน้า อันเกรียมแดดเหมือนรูปหล่อทองแดงของเขา “เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไป”
“ดิฉันไม่เคยเฉยเมยต่อคำท้าทายไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม... นอกเสียจากว่า” หล่อนมองดูเขาครู่หนึ่งแล้วมองเลยไปทางอื่น “คนๆ นั้นขี้ขลาดตาขาวจนเกินไปเท่านั้น”
“แปลกดี” หล่อนได้ยินเขารำพึง “ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นคนขี้ขลาดตาขาวอย่างคุณว่า ลองบอกมาหน่อยได้ไหมครับ”
“ทำไม คุณสนใจหรือคะ”
“เผอิญผมก็มีนิสัยเหมือนคุณ คือไม่ชอบให้ใครท้า แล้วก็ยิ่งไม่ชอบหนักขึ้น ถ้าใครจะว่าผมขี้ขลาดตาขาวอีกด้วย เอาอย่างนี้ดีกว่าคุณประกายแก้ว เรามาพนันกันไหมล่ะ ผมให้เวลาคุณสิบวันสำหรับการศึกษาโลกและชีวิตของผม ซึ่งผมเชื่อแน่ว่าถึงอย่างไรคุณก็ไม่มีวันจะเข้าใจ”
คุณพระช่วย โอกาสช่างมาถึงรวดเร็วและง่ายดายอะไรอย่างนี้ แต่ประกายแก้วยังคงทำเหมือนไม่แยแสเมื่อถามเขาว่า “ก็ถ้าพนันกันชนะแล้ว ดิฉันจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง”
“ก็สุดแต่คุณจะปรารถนาน่ะซีครับ”
“สิบวัน คุณจะให้โอกาสอะไรแก่ดิฉันในสิบวันนี้”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโอกาสสำหรับคุณที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งที่คุณต้องการน่ะซีครับ.
“ดีละ” ประกายแก้วว่า ดวงตาเป็นประกายวับอย่างสมใจ “ถ้าเช่นนั้น เรามาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ ดิฉันขอเชิญคุณไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน”
เขาก้มศีรษะรับ ยิ้มนิดๆ ไม่ได้พูดว่าอะไร
สิบวัน.! ประกายแก้วคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องขณะที่บังคับยานคู่ใจคันน้อยล่องละลิ่วทะยานกลับบ้าน พอเกินพอ ที่จะทำให้ผู้ชายอวดดีคนนี้มาหมอบราบคาบแก้วอยู่แทบเท้า หนอย อวดดีนัก จะต้องทำให้สำนึกให้จงได้ ว่าเสน่ห์ของประกายแก้วคนนี้ไม่เป็นสิ่งบังควรที่จะดูถูกกันเล่นง่ายๆ กับผู้ชายอื่น ประกายแก้วไม่ต้องทําอะไรสักนิด เพียงแต่ชายตาสองสามครั้ง ยิ้มหวานๆ ด้วยไม่กี่หนก็หน้ามืดตาลาย ก็แล้วผู้ชายคนนี้มีดีอะไรจึงได้กล้ามาดูถูกอวดดีกับประกายแก้วถึงเพียงนี้
สิบวันแห่งการใกล้ชิดสนิทสนมกับนายกรคนนี้ดูช่างพิลึกและสร้างความรู้สึกประหลาดให้กับประกายแก้วเสียจริง ผู้ชายอะไรอย่างนี้ สงสัยว่าพระเจ้าคงจะได้ลืมบรรจุธาตุของผู้ชายอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขาด้วยเป็นแน่ ประกายแก้วเรียกเขามากินข้าวด้วยเขาก็มา ชวนเขาไปดูหนังเขาก็ไป แต่ไปไหนด้วยกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หล่อนก็ไม่เคยรู้จักเขามากขึ้น หญิงสาวพยายามจะเปลี่ยนบรรยากาศโดยชวนเขาลงเรือไปปิกนิกกันไกลๆ เขาก็ไปด้วยอย่างว่าง่าย และก็ยังคงทำตัวเช่นเดิม คือไม่พูดหรือแสดงกิริยาอันใดที่จะทำให้หล่อนนึกกระหยิ่มถึงชัยชนะได้ ยิ่งกว่านั้นที่ประกายแก้วรู้สึกเดือดดาลเป็นนักหนาก็คือประกายตาขันๆ ที่เขาใช้มองดูหล่อน มันทำให้หล่อนทวีความปรารถนาที่จะเอาชนะเขาให้ได้ยิ่งขึ้น แล้วประกายแก้วก็วางแผนการขั้นสุดท้าย
หล่อนเชิญเขามารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน วันนั้นเผอิญท่านบิดาไม่อยู่ ประกายแก้วให้คนใช้จัดโต๊ะที่เทอเรซ อ้อยอิ่งพิรี้พิไรกับการตกแต่งใบหน้าและเรือนผมอยู่นานนักกว่าจะได้ดังใจ คืนนี้หญิงสาวพิถีพิถันเป็นพิเศษกับการเลือกกลิ่นน้ำหอม... และเสื้อผ้าที่ใช้แต่งตัวที่ตัดมาใหม่ก็ช่างงดงามถูกใจนัก แพรสีสดอันบางเบาที่พาดพันอยู่รอบต้นคอของหล่อนขับผิวที่ลาดไหล่และลำคอให้ดูนุ่มนวลเป็นนวลใย ประกายแก้วรู้ดีว่าแสงจากเชิงเทียนคู่และอ่างแก้วรูปเรือปักสีสดสวยที่โต๊ะอาหาร จะช่วยส่งโฉมของเธอให้งามซึ้งตรึงตาตรึงใจขึ้นอีก อา นายน้ำแข็ง อยากดูซิว่านายน่ะสร้างขึ้นมาด้วยอิฐหินหรืออะไรแน่ จะเป็นน้ำแข็งที่ไม่ยอมละลายได้ตลอดแน่ละหรือ
เขามาตามเวลานัดพอดี ประกายแก้วรู้สึกผิดหวังที่เขามิได้ออกปากหรือแสดงแม้ท่าทางผิดปรกติเมื่อเห็นอาหารค่ำที่จัดพิเศษสำหรับคืนนี้ เมื่อหล่อนเชิญให้เขานั่งลง และเมื่อคนใช้นำอาหารมาเสิร์ฟเขาก็กินไปเรื่อยๆ ตามสบาย มิได้เร่งร้อนแสดงว่าเอร็ดอร่อยในรสอาหารมากนัก ราวกับว่านั่งกินอยู่ในโรงอาหารที่โรงงานอยู่ตามปกติเช่นนั้นแหละ..!
จากโต๊ะอาหาร ประกายแก้วพาเขากลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งเปิดไฟสลัวๆ แค่โคมไฟเพียงดวงเดียว หล่อนปรุงกาแฟให้เขาแล้วจึงลุกไปเปิดเพลงให้ดังแผ่วๆ ก่อนจะกลับมานั่งลงตามเดิม ประกายแก้วเอ่ย ถามเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจจริงจังว่า
“อยากเต้นรำไหมล่ะคะ”
และแล้วด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ประกายแก้วได้ยินเขาตอบว่า “ก็ได้ครับ”
หล่อนเดินเข้าไปหาเขาและปล่อยให้เขาโอบร่างเคลื่อนไปตามเพลงช้าๆ เพลงไพเราะจับใจและแสงไฟสลัว ประกอบกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ระคนปนเหล้า กลิ่นไอของผู้ชายที่แสนจะลึกลับผู้ซึ่งประกายแก้วไม่เคยเข้าใจ สร้างความรู้สึกประหลาดให้แก่หล่อน มันเป็นอย่างไรประกายแก้วก็บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ หล่อนรู้แต่ว่ามันไม่เหมือนกับที่หล่อนเคยรู้สึกต่อผู้ชายอื่นๆ ดูมันรวมอยู่ทั้งความอบอุ่นระทึกใจและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย และจะปล่อยไปให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปก็มิได้ มันเป็นอันตรายต่อจิตใจของหล่อนเสียแล้ว เมื่อประกายแก้วบอกกับตัวเองเช่นนั้น หล่อนก็หยุดชะงัก ขยับจะผละออกจากเขา แต่แล้วก่อนที่หล่อนจะทันรู้ตัว ร่างของหล่อนก็ถูกรัดแน่นเข้าไปกระชับร่างของเขาราวกับถูกงูกระหวัด ริมฝีปากถูกประทับแน่นด้วยริมฝีปากที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงเสียจนกระทั่งหล่อนเกือบหมดสติ รู้สึกเหมือนหัวใจจะหล่นวูบหลุดลอยไปจากร่าง ขณะนั้นหล่อนลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก นอกจากวงแขนที่รัดอยู่รอบร่างของหล่อนอย่างแน่นหนาราวกับปลอกเหล็ก และริมฝีปากอันอบอุ่นที่กรุ่นอยู่ด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ ที่ประทับแน่นอยู่บนริมฝีปากของหล่อนเท่านั้น
เมื่อเขาปล่อยหล่อน ประกายแก้วก็หมดแรงเซซวนไปปะทะกับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วก็เลยนั่งแปะลงบนนั้น หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาซึ่งขณะนั้นยืนหันหลังให้แสงไฟ ดูสูงใหญ่ ดำทะมึนผงาดเงื้อมอยู่เหนือร่างของหล่อนราวกับปีศาจในความฝัน ได้ยินเสียงเขาพูด คล้ายฟ้าคํารามมาแต่ไกลๆ ว่า
“เป็นยังไง ได้ผลสมใจไหม คุณได้เรียนรู้อะไรจากผมแล้วบ้าง วันนี้ครบสิบวันแล้วคุณประกายแก้ว หมดสัญญาที่ผมได้ให้กับคุณแล้ว... ลาก่อน” เขาก้มร่างลงเหนือดวงหน้าของหล่อน เมื่อพูดต่อไปว่า “ผมขอให้คุณรับรู้ไว้เสียด้วยว่า ถ้าคุณอยากจะมัดผมเอาไว้เป็นทาสของคุณเหมือนผู้ชายอื่นๆ ละก็อย่าหวัง ผู้ชายทุกคนอาจจะยอมเป็นทาสของคุณ แต่ต้องยกเว้นผมเสียคนหนึ่ง ลาก่อน คุณประกายแก้ว ขอบคุณสำหรับอาหารที่แสนอร่อยและการเต้นรำแสนสนุกนี้”
แล้วเขาก็หันหลังกลับ ร่างสูงล่ำสันก้าวออกไปจากห้อง ปล่อยประกายแก้วไว้ในห้องอันสลับสลัวนั้นไว้ตามลำพัง กับฝันร้าย
ประกายแก้วเจ็บ เจ็บทั้งใจที่ขมขื่นชอกช้ำแหลกลาญ เพราะถูกเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี เจ็บทั้งกายที่ไม่เป็นอันพักผ่อนหลับนอนเพราะเนื่องมาจากใจเป็นมูลเหตุ ไม่นึกเลยว่าผู้ชายจะสามารถสร้างความเจ็บปวด ดูถูกหล่อนได้ถึงเพียงนี้ อะไรเลยจะสร้างความเจ็บช้ำให้แก่มนุษย์อย่างลึกซึ้งแสนสาหัสได้เท่ากับความภาคภูมิทะนงตนของตนถูกเหยียบย่ำทำลายลงเป็นภัสม์ธุลีเช่นนี้
ไม่มีใครได้เห็นประกายแก้วโฉบเฉี่ยวไปไหนมาไหนดุจนกน้อยขนสวยที่เหินฟ้าเล่นอย่างสำราญใจอีกต่อไป เขาเหล่านั้นคงจะรู้สึกอัศจรรย์ใจมิใช่น้อย ถ้าจะได้แอบไปที่บ้านของประกายแก้ว และได้เห็นหล่อนในชุดอยู่กับบ้านซึ่งยับยู่ยี่ ผมยุ่ง หน้าตาไม่ได้แต่ง และนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง สะอึกสะอื้น
ชีวิตมิใช่ความฝัน แต่บางชีวิตก็เหมือนความฝัน ตรงที่อาจจะเกิดสิ่งที่เราไม่คาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้น ดังเช่นประกายแก้ว... หลังจากคืนอันร้ายกาจทารุณที่บดขยี้หัวใจหล่อนคืนนั้นแล้ว ประกายแก้วมิได้คิดว่าหล่อนจะได้พบเห็นกร... ผู้ชายที่ทำร้ายหัวใจของหล่อนคนนั้นอีก แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งขณะที่ประกายแก้วนอนพักสงบระงับอารมณ์อยู่ในเปลญวนในสวนหลังบ้าน เขาก็ปรากฏตัวขึ้นเฉพาะหน้า ลึกลับราวกับปีศาจ รวดเร็วเกินกว่าที่หญิงสาวจะทันลุกหนีไปทางไหน หล่อนจึงได้แต่ผุดลุกขึ้นนั่ง ผมหยักยุ่ง ดวงตาเบิ่งโตมองดูเขาอย่างตกใจไม่มีการเสแสร้งประดิษฐ์ให้หวานซึ้งยั่วใจอีกต่อไป
เขาเองก็ดูเหมือนจะตะลึงดูหล่อนเช่นกัน แต่เขาระงับกิริยาได้รวดเร็วนัก ดวงหน้าของเขาเคร่งขรึมอย่างเคย เมื่อเขาพูดกับหล่อนว่า
“ผู้อำนวยการบอกกับผมว่าคุณเจ็บ”
“ทำไมคุณพ่อจะต้องบอกกับคุณ” หล่อนตวัดเสียงถาม กัดริมฝีปากแน่น กลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา
“ท่านไม่ได้บอกกับผมโดยตรงหรอก ผมพูดผิดไป” เขาพูดอย่างใจเย็น “ผมเลยคิดเอาเองว่าถ้าคุณเจ็บเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมก็เสียใจ มีอะไรที่ผมจะทำเพื่อเป็นการลบล้างความผิดที่ทำให้คุณเจ็บได้บ้าง”
“คุณกร ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่าคุณไม่มีความสำคัญอย่างใดเกี่ยวกับการเจ็บไข้ของฉันดอก ฉันเจ็บเพราะความเจ็บใจตัวเอง คุณเป็นผู้ชนะพนันต่างหาก บอกมาซิว่า คุณจะต้องการอะไรเป็นสินพนัน”
เขามองดูหล่อนอย่างขันและลึกลับนิดๆ ทั้งที่มีสีหน้าเฉยเมย “คุณจะยอมให้ผมปรับสินพนันแน่หรือ คุณจะให้อะไรผมบ้าง”
“ก็คุณต้องการอะไรเล่า” หล่อนย้อนถามอย่างโกรธเคือง
เขาเม้มริมฝีปาก พินิจดูหล่อนครู่ใหญ่แล้วจึงบอกว่า “คุณจะยอมหรือ ถ้าผมจะขอให้คุณแต่งงานกับผม”
ประกายแก้วผุดลุกขึ้นจากเปล ตาค้าง “อะไรนะ”
“แต่งงานกับผม” เขาตอบสั้นๆ ห้วนๆ และปราศจากความยิ้มแย้ม ประกายแก้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งที่บนเปลตามเดิมขณะที่ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามริมฝีปากอย่างลืมตัว
“แต่คุณเกลียดฉันนี่ แล้วยังเรื่องที่พวกผู้ชายอื่นๆ ...แล้วทำไมคุณ...”
คำถามของหล่อนขาดหายเพียงแค่นั้น ไม่ต้องจบประโยค แต่เขาก็เข้าใจว่าหล่อนจะถามว่ากระไร เขามองดูหล่อนอย่างเพ่งพิศ มองดูดวงหน้าอันขาวเรียวอ่อนละมุนที่ซีดเซียวลงไปเล็กน้อยเพราะความเจ็บไข้ที่มาเบียดเบียน มองดูเรือนผมที่ยุ่งเหยิงปราศจากการตกแต่ง มองดูเครื่องแต่งกายที่ยับเยินหลวมๆ ตามสบายของหล่อนแล้วอยากจะบอกหล่อนว่า “เพราะภาพของเธอในเวลาที่เป็นตัวของเธอเองโดยธรรมชาติปราศจากการ ตบแต่งโดยสิ้นเชิงเช่นในเวลานี้ เป็นสิ่งที่จับตาจับใจฉันยิ่งนัก สำหรับผู้ชายเหล่านั้นน่ะหรือ ... จะไปพูดถึงทำไม เพียงแต่อาการสั่นสะท้านไปทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันค่ำคืนนั้นก็บอกให้ฉันรู้ดีแล้วว่าเรื่องที่พูดกันเกี่ยวกับผู้ชายเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
แต่กร ก็ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิมที่ประกายแก้วยังคงไม่มีโอกาสเข้าใจอยู่นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมปริปากขยาย ความคิดของเขาออกมาเป็นคำพูดจนแล้วจนรอด เขาพูดแต่ว่า
“แล้วผมจะไปเรียนผู้อำนวยการ”
แล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้ประกายแก้วนั่งตะลึง อ้าปากค้างมองตามเขาไปอย่างงงงวยเกินกว่าจะทำสิ่งใดถูก
เกือบจะทันทีที่ข่าวการแต่งงานของประกายแก้วกับผู้จัดการโรงงานทอผ้าของบิดาของหล่อนแพร่ออกไป ประกายแก้วก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนหญิงคู่พนันของหล่อนทันที
“นี่จะตัดสินใจว่าใครแพ้กันแน่ยะ แม่แดง” เสียงแจ๋วๆ แจ๋นๆ ของแม่นั่นดังลั่นมาตามสาย “เธอหรือฉัน... เราพนันกันว่าเธอจะเฆี่ยนนายนั่นให้หมอบ แต่นี่กลับจะแต่งงานกับเขาเสียเลย ฉันเลยชักเกิดสงสัยขึ้นมาเสียแล้วซีว่า เธอเฆี่ยนเขาหรือเขาเฆี่ยนเธอกันแน่”
“เออน่า ใครเฆี่ยนใคร ใครหมอบใครก็ไม่สำคัญหรอก” ประกายแก้วกรอกคำตอบลงไปด้วยเสียงสดใสเต็มไปด้วยความสุข “เป็นอันว่าเรายอมเป็นเจ้ามือเสียเองก็แล้วกัน ถึงจะไม่แพ้พนันคราวนี้ แต่คราวต่อไปถ้าพวกตัวมาท้าพนันเราอีกเราก็ต้องยอมแพ้ เพราะเราไม่คิดที่จะ เฆี่ยน ใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว”
แต่ประกายแก้วจะไม่มีวันรู้ ว่าพร้อมๆ กับที่หล่อนยอมตัวเป็นเจ้ามือควักกระเป๋าพาเพื่อนฝูงไปเลี้ยงดูเฮฮากันอยู่นั้น อีกมุมหนึ่งของพระนคร กร ผู้ชายอวดดี เจ้าบ่าวในอนาคตของหล่อน กับสุนทร เลขานุการปากหวานของคุณพ่อของหล่อน ก็กำลังร่วมฉลองอาหารจีนของเขาอยู่เช่นเดียวกัน
“เมื่อเช้านี้ผมส่งตราขาวครึ่งโหลไปบ้านคุณแล้วนาคุณกร” สุนทรว่า “ให้ตายซี ถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่าคุณจะเอาลูกสาวผู้อำนวยการไว้อยู่หมัดจริงๆ ผมไม่ยักท้าพนันคุณหรอก คุณนี่เห็นขรึมๆ ยังงี้ก็เถอะ น้ำนิ่งไหลลึกชมัด ผมยอมซูฮก ให้ตาย”
กรใช้ตะเกียบคีบกุ้งทอดใส่ปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ทำหน้ายิ้มๆ แต่ไม่พูดว่ากระไร สุนทรปรารภเหมือนรำพึงต่อไปว่า
“แต่เอ... ผมชักหนักใจแทนคุณนา คุณกร ลูกสาวผู้อำนวยการคนนี้ คนทั้งเมืองเขาให้สมญาแกว่า แม่แดงพระเพลิง สงสัยว่าคุณจะเอาแกไว้ไหวรื้อ”
คราวนี้กรยิ้มเต็มที่ ตอบอย่างสนุกสนานแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า “อย่าวิตกเลยคุณ ผมไม่เคยเล่าให้คุณฟังหรอกหรือ ว่าพ่อของผมเคยเป็นตำรวจดับเพลิง?”
........ลงพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์ ฉบับที่ 451 ปีพ.ศ.2503