ผู้ชม ฝากงานเขียน

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
  เรื่องสั้น งานเขียนจากผู้อ่าน
18 ประตูวิเศษ
27 ผู้วิงวอน
33 กว่าจะรู้ว่ารัก
46 มาดาม
47 ย้อนรอยรัก
48 เธออยู่ไหน
49 ครอบครัว
หน้าที่ 1/1



ครอบครัว

กุลรัตน์

ShortStory : 0000-00-00

reader:1215
reply:1

“ไม่ไปด้วยกันหรือ มิต”

“ไม่ไปละจ้ะ พ่อไปเถอะ”

มิตราตอบขณะที่ปลุกปล้ำทาแป้งแต่งตัวให้ลูกชายคนเล็กวัยสองปี ผู้ซึ่งไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย   ยุกยิกดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา   เธอสังเกตว่าสามีเงียบไป จึงหันไปมอง   เห็นเขากำลังยืนเท้าขอบประตูห้องมองเธออยู่ด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ

“ไปเถอะจ้ะพ่อ   มิตไม่ว่าหรอก”   เธอยิ้มอ่อนหวานให้เขาคลายใจ   รู้ดีว่าเขากังวลต่อความรู้สึกของเธอเสมอ   “ไปสนุกเสียบ้าง   เครียดกับงานมามากแล้ว”

“คนอื่นๆ เขาอยากให้มิตไปด้วย”   ชาตรีพูดอ่อยๆ

“มิตไม่อยากไปจริงๆ   ห่วงลูกๆ   พ่อก็รู้”

“เอาลูกๆ ไปฝากไว้ที่บ้านคุณแม่ก็ได้นี่จ๊ะ”

“ฝากหลายทีแล้ว เกรงใจคุณแม่จ้ะ   เด็กตั้งสามคนแน่ะ”

“งั้นก็ตามใจ”   เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู   “งั้นพ่อไปดีกว่า”

เขาเดินเข้ามาจูบลูกชาย แล้วก็จุมพิตเธอสองครั้ง   มิตราอดอายไม่ได้   เธอมอมแมม เลอะเทอะ   ใบหน้าเป็นมัน เพราะปล้ำกับลูกชายและงานบ้านมาทั้งวัน   เธอมักตำหนิตัวเองที่ปล่อยปละละเลย ในเรื่องความสวยความงาม   ผิดกับเขาซึ่งสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ

“ขับรถระวังนะจ๊ะพ่อ   มิตเป็นห่วงคนกินเหล้า”

เขาหันมายิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไป   มิตราอุ้มลูกไปยืนที่หน้าต่าง   เห็นเขาหยุดพูดกับลูกชายหญิงสองคนที่เล่นกันอยู่ที่สนามเล็กๆ หน้าบ้าน ก่อนจะขึ้นรถขับออกไป   สองแม่ลูกโบกมือตามหลังเช่นเดียวกับเด็กอีกสองคนเบื้องล่าง ให้กับผู้เป็นพ่อผู้ซึ่งลืมแม้แต่จะหันมามอง


มิตราเห็นแล้วว่าสีหน้าของชาตรีไม่สดชื่นเลย   คล้ายกับมีอะไรอยู่ในใจ   แต่ว่าเหตุผลคงจะไม่ใช่เพราะเธอไม่ไปด้วยหรอก   ก็ชาตรี รู้ดีว่าเธอเป็นห่วงลูกๆ เพียงใด   เธอเคยเป็นคนไม่มีห่วงเลย   ไปไหนไปได้ทุกเวลา   แต่เมื่อแต่งงานและมีลูกๆ เธอก็ติดนิสัยช่างห่วงใย ไม่อาจทอดทิ้งตลอดมา   แม้บางครั้งเธอจะเหงาและเบื่อหน่ายอยากเที่ยว อยากออกสังคมพบปะเพื่อนฝูง   แต่ความรักความห่วงใยในลูกๆ มีมากกว่า   จนเธอแทบจะตัดตัวเองจากโลกภายนอก   มันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่เธอได้สละตัวเองให้แก่ครอบครัวถึงเพียงนี้   แต่เธอก็รู้ว่าบางครั้ง ชาตรีก็อยากเห็นเธอแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าทำผมควงคู่เขาไปไหนๆ บ้าง   เขาอยากให้คนอื่นชื่นชมภรรยาของเขา   แต่ทุกวันนี้ ผู้คนรู้จักเธอในบทบาทของแม่บ้าน   ผู้หญิงเรียบง่ายคนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อมีงานสังคมใดๆ ชาตรีต้องฉายเดี่ยวอยู่เกือบตลอดเวลา

“รออีกสักหน่อยเถอะน่า   รอให้พ่อต่อตัวน้อยนี่โตพอจะดูแลตัวเองได้   แล้วมิตจะไหนๆ กับพ่อทุกแห่งทุกเวลาที่พ่อต้องการเลยเทียว   จะไม่บ่นห่วงลูก   ไม่เร่งกลับบ้านให้พ่อรำคาญอีกต่อไป” เธอคิด


“นึกว่าพี่ชาตรีจะไม่มาเสียอีกแน่ะ”

หล่อนพูดยิ้มๆ ดวงตาแพรวพราย   รอยยิ้มท้าทายยั่วเย้าฉายอยู่บนใบหน้า   หล่อนเพิ่งจะมีอายุยี่สิบปีเศษ   อ่อนกว่าเขามากกว่าสิบปี   แต่สีหน้า และน้ำเสียงสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนเล่น

เขาได้แต่ยิ้มพลางใจเต้นระทึก   ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตา   ท่าทีของเขาที่สนองตอบนั้น ทำให้หล่อนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหล่อนเหนือกว่า

“ทำไมพี่ผู้หญิงไม่มาด้วย”

“เขาอยากอยู่บ้าน   เป็นห่วงลูกๆ”

“แม่บ้านที่ดี…”   รอยยิ้มฉายอยู่เต็มใบหน้าที่สวยงาม   หล่อนรู้ว่า เขาละจากเพื่อนๆ มาตรงนี้ก็เพื่อจะได้ทักทายกัน   หลังจากที่ลอบมอง มาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เขามาถึงและถูกรั้งอยู่ในวงของพวกผู้ชาย


ดาวเรียง พบเขาครั้งแรก ในงานแต่งงาน ของเพื่อนของเขาและพิสัยพี่เขยของหล่อน   ทั้งหมดนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน   อายุของเขาเกือบสี่สิบ   ร่างสูง ดูสง่าหนาแน่น แข็งแรง   หน้าตาก็ดี   ที่สำคัญคือ หล่อนรู้จากดาวราย ผู้เป็นพี่สาว   ว่า เขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนมีฐานะมั่งคั่ง และมั่นคงทีเดียว

หล่อนมองดูเสื้อผ้าของเขา   เขาแต่งตัวธรรมดาๆ ไม่หรูหรานำสมัย เหมือนอย่างผู้ชายอื่นๆ ในโลกของหล่อน   เครื่องประดับนั้นเล่า ก็มีเพียงนาฬิกาแบรนด์หรูหนึ่งเรือน กับแหวนหยก ประดับเพชร ซึ่งดูว่าเป็นของเก่า   แล้วภรรยาของเขาเล่า   ก็เพียงผู้หญิงอายุใกล้สี่สิบคนหนึ่ง   ร่างเล็กสังขารทรุดโทรมแต่งตัวเรียบๆ แต่งหน้าเล็กน้อย   ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด

ดูท่าทางของเขาซิ   ซื่อ สุภาพ และเข้มแข็ง   ทว่าไม่ใช่ในแง่ของชายหญิงหรอก   เขาอาจเก่งในทางการงาน   แต่การสัมพันธ์ กับต่างเพศแล้วดูเขาช่างหัวอ่อนเหลือเกิน

ดาวเรียงไม่ได้พูดกับเขาบ่อยนัก   แต่หล่อนแสดงความสนใจต่อเขาอย่างเปิดเผย... ด้วยรอยยิ้ม... ด้วยสายตาที่จับนิ่งและเปล่งประกายแพรวพราว   สนอกสนใจต่อคำพูดและความคิดเห็นของเขา   หล่อนสังเกตเห็นว่าเขาประหม่าต่อหล่อน   ภรรยาของเขามองดูหล่อนเหมือนกัน   คงจะมีไม่บ่อยนัก ที่สาวสวยอย่างดาวเรียง จะให้ความสนใจต่อสามีของเธอเช่นนั้น   แต่จะแปลกอะไร   ในสังคมแบบดาวเรียง ใครๆ ก็ทำกันแบบนี้

แล้วดาวเรียงก็ได้พบกับเขาในงานสังคมอีก   เขาไปคนเดียว ขณะที่ดาวเรียงมีเพื่อนๆ มากมาย   หล่อนทิ้งกลุ่มของหล่อนทันที   หล่อนได้โอกาสสนิทสนมกับเขาอย่างรวดเร็ว   ดาวเรียงทำไปด้วยอารมณ์สนุกมากกว่า จะคิดทำให้ครอบครัวของเขาแตกแยก   หล่อนไม่ได้นึกถึงมิตราเลย   แม้เมื่อหล่อนดึงเขาเข้ามาอยู่ในวงเฮฮาของพิสัย   หลังจากนั้น ตัวหล่อนเองหรือไม่ก็พี่เขย และพี่สาว   ผลัดกันโทรศัพท์ถึงเขาชวนมาร่วมด้วยทุกครั้งที่กลุ่มมีโปรแกรมพบปะกัน


“ไปบ้านพิสัยอีกหรือคะวันนี้”

มิตราถามขณะพี่ชาตรีแต่งตัว   เขาหันมายิ้มเจื่อนๆ   “จ้ะ มิต   ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ละ พ่อไปเถอะ”

มิตราตอบเสียงเรียบ   ผละจากห้องออกมาข้างนอก   ชาตรีมีเวลาให้เธอและลูกๆ น้อยลงกว่าแต่ก่อน   ไหนจะงาน ไหนจะเพื่อน   มิตราเองก็ต้องการเขา   ตลอดเวลาของการก่อร่างสร้างตัว   เธอต้องรับภาระในบ้าน และการเลี้ยงดูลูกๆ ขณะที่เขาทำงานแทบไม่มีเวลาพักผ่อน   ใช้ทั้งกำลังกายและกำลังความคิดอย่างหนักหนา     มิตราก็เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ต้องการ การใกล้ชิด เอาใจใส่และความอบอุ่นจากสามี   บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกว้าเหว่ เหงาและเบื่อหน่ายภาระหน้าที่ของตน   ทว่าหักใจเสียด้วยตระหนักว่าเธอและสามีต่างก็มีหน้าที่ต่อครอบครัว   เธอได้แต่รออนาคต   รอวันที่เธอและเขาจะสามารถวางมือลงได้บ้าง และหันมาหาความสุข สนุกสบายด้วยกัน โดยพร้อมหน้า   มีเวลาให้แก่กันได้มากขึ้น

แต่บัดนี้ เพื่อนๆ ของเขาได้เข้ามาแบ่งปันเวลาของเขาไปจากเธอ   และชาตรีก็ให้แต่โดยดี   เพราะอะไรหนอ   เพราะเขาเครียดกับงาน และเพื่อนเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย กระนั้นหรือ   หรือว่าเขาอยู่กับเธอมานาน   นานจนรู้สึกชาชินเสียแล้ว

ชาตรีเดินตามมิตราออกมาที่ห้องนั่งเล่น   พ่อต่อตัวน้อยนอนหลับอยู่บนโซฟา   ส่วนพ่อต้น กับแม่เติม   ลูกชายหญิงคนโตยังไม่กลับจากโรงเรียน

“ออกไปเที่ยวเสียบ้างเถอะมิต   ไปแต่งตัวพ่อจะรอ”

ช่างพูดออกมาได้   มิตราคิด   จู่ๆ จะให้แต่งตัวไปโน่นไปนี่ แล้วลูกเต้าล่ะ   นี่แสดงออกชัดแจ้งว่า เขาไม่ได้ต้องการให้เธอไปด้วยจริงๆ   มิตราไม่ได้มองหน้าเขาขณะที่ตอบ

“ไม่ มิตจะอยู่กับลูก”

เธอได้ยินเสียงเขาถอนใจ   มิตราเดินเลี่ยงไปเข้าครัวเสีย

ชาตรียืนนิ่งอยู่อย่างวุ่นวายใจ   เขาเท้าแขนลงบนพนักโซฟา มองดู ลูกชายคนเล็ก   เด็กชายนอนหลับสนิท   ใบหน้าเอียงพิงหมอน ปากอ้าบ๋อ แก้มเป็นพวงสีชมพู   ดวงตา ที่หลับพริ้มมีขนตายาวงอนเรียงราย

ดาวรายกำชับกำชาให้เขาไปบ้านหล่อนให้ได้   ขณะพูด... สาวสวยดาวเรียงก็คอยจับจ้องยิ้มกริ่มอยู่ข้างๆ   ดวงตาคม กลมโต ส่งประกายหยอกเอิน   เขาเคยนึกสาปแช่งตนเองที่คอยแต่จะนึกถึงหล่อนอยู่เสมอ   ไม่ว่าจะดวงตาคู่นั้น   รอยยิ้ม   น้ำเสียง   แม้กระทั่งกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนร่าง อวบอิ่ม สมส่วนของหล่อน

เขารักมิตรา   เป็นความรักที่ผูกพันลึกซึ้ง   ทว่าช่วงเวลาร่วมยี่สิบปีที่รู้จักและอยู่ด้วยกันมา ก่อให้เกิดความรู้สึกชาชิน.. และบางครั้งก็เบื่อหน่าย ..!   มิตราไม่พิถีพิถันกับการดูแลตกแต่งตนเองให้งดงามเลย   เธอยุ่งอยู่กับงานบ้าน และลูกเต้า   ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน   ตั้งแต่สาวมาจนแก่   แก่... จริงซิ... ก็เธออายุเกือบจะสี่สิบแล้วนี่นะ

มีบ้างไหมนะ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา   ที่เธอจะเย้ายวนเขา.. ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นปั่นป่วน   ไม่มีเลยสักครั้งกระมัง   ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเริ่มขึ้นเรียบๆ   เด็กที่เรียบร้อยสองคนรักชอบกัน   กระทำตัวอยู่ในกรอบประเพณี อันดีงาม   จนกระทั่งแต่งงานกัน แล้วก็อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ เรียบๆ   เขาเคยพอใจชีวิตแบบนั้น... ก่อนที่ดาวเรียงจะก้าวเข้ามา...

ถึงบัดนี้ เขาก็ยังรักมิตรา   แต่ดาวเรียงเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดเขาอยู่   เขาเหมือนแมลงเม่าที่อยากจะบินเข้าหากองไฟ   แม้มันจะร้องและอันตราย เขาก็ยังกระวนกระวายใจอยากจะเข้าไปหามัน

มิตรากลับออกมาจากครัว ครั้นเห็นเขายังนั่งอยู่ก็หันกลับเข้าไปอีก   ชาตรีรู้ว่าเธอโกรธ   ทั้งรู้ตัวด้วยว่าเขาได้ละเลยเธอและลูกๆ ไปบ้าง   แต่เขาก็เข้าข้างตัวเอง   “น่าจะเห็นใจเราบ้าง   เราทำงานหนักเพื่อครอบครัวแท้ๆ   เราควรจะได้พักผ่อนบ้าง”   เขาจูบลาลูกชายเบาๆ   ลุกเดินไปที่รถและขับออกไปเงียบๆ   หารู้ไม่ว่าภรรยาของเขากำลังยืนซับน้ำตาอยู่ในครัว


“หนังสนุกจังนะพี่ชา”

ดาวเรียงพูดยิ้มๆ ขณะที่นั่งรถคู่ไปกับเขา   ใบหน้าสะสวยมีสีสันเอียงพิงอยู่ใกล้บ่า   “ถ้าไม่ได้ดูละก็เสียดายแย่เลย”

ชาตรียิ้มแทนคำตอบ   ใจนึกไปถึงภรรยา   เขารู้ว่า มันไม่ยุติธรรมต่อเธอ   เขานึกถึงเธออยู่ตลอดเวลา     ความรู้สึกสองอย่างสู้รบกันอยู่ในหัวใจของเขา   เขามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดสาวสวยผู้นี้   แต่ความทุกข์จากบาปในใจได้รบกวนเขาจนไม่มีสมาธิ   เขาดูหนังเกือบจะไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

รถของดาวรายและสามีนำอยู่ข้างหน้า   ชาตรีไปถึงบ้าน ของสองพี่น้อง แล้วก็ได้รับคำบอกเล่าว่า เพื่อนๆ ที่ชวนกันมาในวันนี้ ต่างยกขบวนไปต่างจังหวัดกันหมด   เพื่อไม่ให้เซ็งที่ต้องเก้อ ดาวรายจึงชวนกันออกจากบ้านมากินข้าวดูหนังแล้วก็นัดแนะที่จะไปฟังเพลงกันต่อ

ชาตรีนึกถึงมิตรา   เขาควรจะกลับบ้านได้แล้ว   แต่เขาไม่กล้า แม้แต่จะแสดงความลังเลออกมา   เขาไม่อยากเป็นต้นเหตุ ของความผิดหวัง   และแม่สาวซึ่งคลอเคลียเขา อย่างสนิทสนมเป็นกันเองผู้นี้ ก็ช่างดึงดูดเหลือเกิน

เขากลับถึงบ้านเมื่อเวลาตีหนึ่ง   มิตรานอนตะแคงกอดตาหนูนิ่งเหมือนหลับสนิท   ต่อเมื่อเขาจับตัวเธอพลิกมาหา ชาตรีจึงรู้ว่า มิตราไม่ได้หลับ

เขาจูบเธออย่างอ่อนหวาน แล้วก็แสดงอารมณ์รักใคร่อันท่วมท้นต่อเธอ   สำหรับมิตรา เธอเหมือนพื้นดินแห้งแล้งที่เพิ่งได้รับความชื่นฉ่ำจากสายฝน   ความน้อยใจ ว้าเหว่ระแวงทั้งหลายทั้งปวงถูกทำลายหายสิ้นไป     แต่สำหรับชาตรีนั้น   เขากลับถูกบาปในใจรังควานเอาอีกครั้ง   ด้วยเขารู้ตัวดีว่า การปฏิบัติต่อมิตราในคืนนี้   เป็นการระบายอารมณ์อันถูกจุดให้คุกรุ่นโดยผู้หญิงทรงเสน่ห์อีกคนหนึ่งนั่นต่างหาก


“ฮัลโหล พี่ชาหรือคะ นี่ดาวเรียงค่ะ”   เสียงนั้นหวานเจื้อยเจือหัวเราะคิกคัก   “ดาวไปซื้อของกับเพื่อน   เขาเอาดาวมาปล่อยไว้หน้าบริษัทของพี่ชานี่เอง   พี่ชาโผล่หน้าต่างมาดูซิคะ   ดาวยืนอยู่ที่ตู้โทรศัพท์นี่”

ชาตรี เห็นหล่อนยืนอยู่ที่นั่นจริงๆ   ยิ้มยิงฟัน โบกมือให้เขาอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามข้างล่าง

เขาบอกให้หล่อนรอ   แล้วก็รีบ จัดการสะสางสั่งงานจนเรียบร้อย   ด้วยเวลาเพียงสิบห้านาที เขาเก็บของเตรียมจะออกจากห้อง   ชะงักนิดหนึ่งคิดจะโทรศัพท์ถึงมิตราเพื่อเธอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง   ทว่าเพียงนึกถึงมิตราเขาก็รู้สึกอึดอัดใจเสียแล้ว

เขาลงลิฟท์ ตรงไปยังที่จอดรถ   หยุดบีบแตรเรียก ตรงหน้าร้านกาแฟที่ดาวเรียง นั่งรออยู่   และดาวเรียงก็รีบก้าวขึ้นรถในทันที   ไม่ควรจะมีใครเห็นเขากับหล่อน   แม้ทั้งคู่ อาจจะอ้างความบริสุทธิ์ใจ   แต่ความผิดนั้นฉายชัดอยู่ในใจของทั้งคู่นั่นเอง

“รบกวนพี่ชาหรือเปล่าคะนี่”   หล่อนยิ้มหวานให้เขา   ผู้หญิงสวยเก๋ทันสมัย ทว่าอ่อนหวานอยู่ในที เช่นหล่อนนี้นับว่าหาไม่ง่ายเลย

“เปล่าครับ   กำลังจะเลิกงานพอดี”

“ดีจัง   ดาวกำลังเหงาเลย”   หล่อนหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงครอบครัวของเขา

“ไหนดาวว่าเพิ่งแยกจากเพื่อนไง”

“ค่ะ แต่เป็นยังไงไม่รู้   เซ้ง...เซ็ง”   หล่อนย่นจมูก เอียงคอ ยิ้มประจบกับเขา   พูดทีเล่น ทีจริง   “คิดถึงพี่ชาจัง”

ชาตรียิ้มอย่างอิ่มเอม

“จริงๆ นะคะ”   แม่สาวทำเสียงบริสุทธิ์ซื่อ   “ไม่รู้เป็นยังไง เวลาอยู่กับพี่ชา ดาวรู้สึกอบอุ่นจัง   เอ หรือจะเป็นเพราะดาวขาดความอบอุ่นมาแต่เล็กก็ได้...”   น้ำเสียงของหล่อนอ่อนเศร้าลง   “พ่อแม่แยกกัน   ดาวมีพี่ดาวรายคนเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจดาวมากนัก   ยิ่งพอโตเป็นสาว   มีฟงมีแฟน มีครอบครัวเข้าก็เหมือนอยู่กันคนละโลก”

“แต่ก็ดูใหญ่เขารักดาวนี่”

“รักน่ะรักหรอกค่ะ   ก็มีกันเพียงสองคนพี่น้องเท่านั้น   แต่ไม่มีความอบอุ่นความเข้าใจกันนักหรอก”

“อ้อ”

“ไม่มีใครสักคนมั้ง ที่เข้าใจดาวรักดาวจริงๆ   เฮ้อ... แต่ช่างเถอะ   เลิกพูดถึงดีกว่า”   หล่อนทำเสียงให้รื่นเริงขึ้น   “ตอนนี้ดาวหิวแล้ว พี่ชา   หาอะไรทานกันเถอะค่ะ”


ลูกๆ เพิ่งเข้านอน เมื่อเขากลับถึงบ้าน   มิตราไม่ได้ออกมาเปิดประตูให้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้านอน   ชาตรีต้องไขกุญแจเข้ามาเอง   เขาไม่กล้าตัดพ้อทวงถาม   เขามองหน้าภรรยาไม่สนิทด้วยซ้ำ

“ลูกๆ หลับกันหมดแล้วหรือจ๊ะ”

มิตราไม่ตอบ   สีหน้าบึ้งตึงเฉยชา   ลุกหนีจากเขาไปเฉยๆ

ชาตรีถอนใจ นึกตำหนิภรรยา...   ก็เธอเป็นเสียอย่างนี้   หมู่นี้เฉยเมยบึ้งตึงเป็นประจำ   เธอโกรธที่เขาไม่ค่อยอยู่บ้าน   แต่ก็ควร หาทางออกที่ดีกว่านี้   อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เขาชื่นใจบ้าง

มิตรานอนหันหลังให้เขา   นึกรออยู่ว่าชาตรีจะง้องอนเธอ หรือไม่   เธอกลั้นใจ เมื่อชาตรีล้มตัวลงนอนข้างๆ   เธอรอมืออบอุ่นของเขา   รอให้เขาดึงเธอไปกอดแนบอกเหมือนดังเคยทำเมื่อมีเรื่องบาดหมางกัน   เปล่า...มิตราเพียงรู้สึกว่าที่นอนไหวยวบ   ได้ยินเสียงถอนใจครั้งหนึ่งแล้วทั้งห้องก็เงียบกริบ

เขาหลับไปแล้ว ลมหายใจอ่อนระรวยสม่ำเสมอ   มิตราน้ำตาไหลพราก   นี่มันอะไรกัน   ชาตรีเคยเป็นของเธอ   ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร จะทำอะไร อยู่ที่ไหน เธอเคยได้รับรู้เสมือนเป็นคนเดียวกัน   แต่บัดนี้ เขาไม่เคยบอกอะไรเธอเลย   หลายครั้งหลายคราที่เธอไม่รู้ว่าเขาไปไหน   เธอได้แต่รอ ห่วงใย น้อยใจ เจ็บปวดและครุ่นคิด

หลายวันมาแล้ว มิตราได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน

“พี่ชาของเธอริเที่ยวกลางคืนแล้วรึยะ   วันก่อนเจอที่เดอะเบลล์ไนท์คลับน่ะเธอ   เขาไม่เห็นฉันหรอก   เขาไปกับใครก็ไม่รู้   ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงสอง   นี่เธอจ๋า อย่าหาว่าฉันฟ้องเลยนะ   แต่เขาควงแขนกันเป็นคู่ๆ เลย   แม่สาวคู่ของพี่ชาเธอนะ สวย เซ็กซี่ อย่าบอกใครเชียวละ”


มิตรา นึกไปถึงดาวเรียงทันที   เธอรู้ว่าดาวเรียงอยู่บ้านพิสัย และชาตรีก็ไปที่บ้านนั้นอยู่เรื่อยๆ   เจ้าหล่อนสวยจริงๆ และก็มีท่าทีสนใจชาตรีอยู่ก่อน   ทว่ามิตรา เคยคิดว่ามันเป็นเพียงลักษณะประจำตัว ของสาวสมัยใหม่อย่างหล่อนเท่านั้น   ไม่ได้คิดเป็นอื่น

มิตราเก็บความคลางแคลงไว้ในใจ ด้วยทิฐิเกินกว่าจะเอ่ยปาก   ทว่าไม่วาย แสดงท่าทีบึ้งตึงเฉยเมยกับเขา   แต่ไหนแต่ไรชาตรีเคยง้องอนเธอมาตลอด   แต่บัดนี้เขาเฉย   เขาพูดดีกับเธอก็จริง แต่ก็ทำสีหน้าเบื่อหน่าย อ่อนอกอ่อนใจ เมื่อมิตรา ตอบสนองอย่างเย็นชา   แล้วเขาก็ปล่อยเลยตามเลย   ทำไมเล่า... เขาเคยอบอุ่นกว่านี้   เขาน่าจะปรับความเข้าใจ แสดงให้เธอเห็นว่า เขารักเธอ และเธอก็มีค่าต่อเขา   มิตราโหยไห้อยู่ในใจ

ทำไมหนอ ทำไม   มิตรามองดูเขาอย่างตัดพ้อ น้อยอกน้อยใจ   อายุสี่สิบไม่ได้ทำให้ชาตรีแก่เลย   ดูเขายังเป็นหนุ่มแน่น แข็งแรง   ด้วยไม่เคยเกี่ยงกับการทำงานที่ใช้แรงงาน   ใบหน้าคมคายหล่อเหลา   ผิดกับเธอ   มิตราไม่ใช่คนสวย   ไม่มีอะไรสะดุดตาน่าสนใจ ซ้ำเวลานี้ก็มีอายุใกล้สี่สิบแล้วด้วย   เป็นแม่ของเด็กตั้งสามคน   ร่างกายของเธอนั้นแม้จะไม่ปล่อยให้เผละผละ และได้รับการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ เสมอมา   แต่ก็ไม่เต่งตึงอวบอัดเหมือนสาวๆ   หย่อนยานโรยราไปตามวัยใกล้ สี่สิบปี

นี่เธอจะต้องเสียชาตรีไปหรือไม่หนอ   มิตราเฝ้าแต่ คร่ำครวญ   ความรัก ความอบอุ่น ความสุข อ่อนหวานลึกซึ้งที่เธอ และเขาเคยมีต่อกัน จะกลับมาอีกไหม   หรือมันจะผ่านเลยไป เหมือนอย่างลมพัด   มิตราปิดปากไว้ เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้น ดังลอดออกมา   แต่เธอก็ไหวสะท้านไปทั้งร่าง


“อย่ากลัวนะคะพี่ชา   ขอดาวเร่งให้เร็วอีกนิด”

ดาวเรียงร้องบอกพลางเหยียบคันเร่ง   รถยนต์พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง   หล่อนหมุนพวงมาลัย แซงรถคันอื่นๆ พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน   ชาตรีมองอย่างไม่วางใจนัก   วัยขนาดเขาผ่านความคึกคะนองแบบนี้มาแล้ว   แต่เขาก็ไม่วายรู้สึกเอ็นดูหล่อน

“เบาลงหน่อยจ้ะ เข้าเขตชุมชนแล้วนะ”

เขาเตือน   ท้องถนนเริ่มพลุกพล่านขึ้น     หลายครั้งที่หล่อนโทรศัพท์ไปคุยกับเขาที่ที่ทำงาน   บางครั้งก็นัดแนะขอพบกัน   ในครั้งนี้ทั้งคู่พากันไปทานอาหารทะเลที่ปากน้ำสมุทรสาคร   ขากลับดาวเรียงอาสาขับรถให้

“ตกลงค่ะ”   หล่อนทำตาม ลดความเร็วรถลงอย่างว่าง่าย   “พี่ชาอยากไปไหนต่อล่ะคะ   นี่เพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้นเอง”

ชาตรีนิ่งไปนิดหนึ่ง   “ไปส่งดาวที่บ้านดีกว่า”

“แล้วพี่ชาจะไปไหน...กลับบ้าน...?”   เสียงของหล่อนขาดหายไป   ดวงตาบอกความผิดหวัง

ชาตรีไม่ตอบ ต่างนิ่งกันไปทั้งคู่   ดาวเรียงขับรถเงียบๆ อย่างครุ่นคิดระคนเศร้าหมอง   ชาตรีสังเกตแต่เขาก็ได้แต่นิ่งเฉย   แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อดาวเรียงเลี้ยวรถเข้าไปในซอยคอนกรีตกว้าง   เขาสะดุดใจป้ายนีออนใหญ่บอกชื่อโรงแรมนั้นแต่แรก แต่ไม่คิดว่าหล่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปในโรงแรมจริงๆ   หล่อนเลี้ยวตามเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งลุกขึ้นทันทีที่เห็นรถ   วิ่งนำรถผ่านห้องต่างๆ เรียงเป็นแถว แขวนม่านใหญ่กั้นเรียงราย   แล้วในที่สุดก็เลี้ยวเข้าไปจอดหน้าห้องพักห้องหนึ่ง   ม่านถูกเคลื่อนปิดท้ายรถไว้ทันที   แล้วทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบและมืดสลัว

ดาวเรียงซบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ   ชาตรีเข้าใจได้ถึงความต้องการของหล่อน   เขาเอื้อมมือไปเกาะกุมมือหล่อนไว้   ดาวเรียงเงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างวิงวอนเศร้าสร้อย

“ดาวเหงา   ดาวอยากอยู่กับพี่ชาค่ะ”   หล่อนพูด


ชาตรีไม่รู้ว่าปีศาจตนใดสิงใจเขา   เขารู้แต่ว่า ดาวเรียงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว

เขาร้อนรุ่ม กระวนกระวาย   อยากพบหล่อน ต้องการหล่อน   หล่อนสวย สาว อ่อนหวาน ประจบประแจง เอาอกเอาใจ   หล่อนทำให้เขารู้สึกว่าเขาช่างเป็นชายชาตรีและมีความหมายอย่างเหลือล้น

เขาถูกรบกวนด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี   เขาได้ทรยศต่อมิตรา   เขารู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มเมื่ออยู่ในบ้านของตัวเอง   อยู่ในสายตาของเธอ   เขารักมิตรา แต่เขาก็หลงดาวเรียงจนถอนใจไม่ได้

หล่อนเป็นเสมือนมาลัยดอกไม้หอมหวานที่มอบเป็นรางวัลแก่ชีวิต การทำงาน อันตรากตรำ   และชีวิตสมรสอันราบเรียบของเขา   เขารู้สึกผิดต่อมิตรา   เอาใจเธอด้วยการซื้อข้าวของกำนัลให้   แน่นอนเขาเริ่มให้มิตราหลังจากเริ่มจ่ายเงินซื้อนั่นซื้อนี่ให้ดาวเรียงก่อนตามคำร้องขอ   แล้วชาตรีก็ได้ตระหนักว่าเขาไม่เคยให้ของกำนัลแก่มิตรานานหนักหนามาแล้ว

มิตราเริ่มสงบลง   ปลอบใจตัวเองเสมอว่าชาตรียังรักเธอ   แม้ว่าอารมณ์รักใคร่ของเขาจะห่างเหินและฝืนเฝือ   เธอก็โทษวัยและการงาน   เธอปลาบปลื้มต่อของกำนัลที่เขาให้   ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะซื้อของให้   มันไม่ใช่วิสัยของชาตรีที่จะเที่ยวเสียเวลาเสาะแสวงหาของสวยงามโน่นนี่   เขาตรากตรำกับการทำงานสร้างฐานะ   ให้เงินทองแก่มิตราเพื่อที่เธอจะสามารถจับจ่ายซื้อหาสิ่งต้อง ประสงค์ได้ตามใจชอบ และเลี้ยงดูลูกๆ ด้วยตัวเธอเอง


ความซื่อของมิตราทำให้ชาตรีอึดอัดมากขึ้น   เขาสงสารเธอไม่น้อย   ดังนั้นจึงมีบ่อยครั้งที่เขาไม่อาจไปพบดาวเรียงตามที่หล่อนต้องการได้   บางครั้งดาวเรียงงอนงอดแงด   แต่ไม่นานก็หาย   หล่อนยังแสดงความรัก เทิดทูนบูชาเขาไม่เสื่อมคลาย

หล่อนเคยบอกเขาว่า   “ครอบครัวของพี่ชาสำคัญกว่า   ดาวไม่ทำลายครอบครัวของพี่ชาหรอกค่ะ   ขอเพียงพี่ชารักดาว ไม่ทิ้งขว้างดาวก็พอ”

แต่มาในระยะหลังนี้ หล่อนกลับยุยงให้เขาบอกเรื่องของหล่อนกับมิตรา   ทีแรกก็เพียงเปรย... พูดทีเล่นทีจริง   แต่ไปๆ มาๆ หล่อนก็ย้ำให้เขาทำตามนั้น

“พี่ชาจะได้ไม่ต้องอึดอัดใจที่ต้องโกหก เมื่อจะออกจากบ้านยังไงล่ะคะ   บอกให้เขารู้... แล้วทีนี้เวลาจะมาพี่ชาก็มาเลย   ไม่ต้องโกหก ไม่ต้องอึดอัดใจ   เขาน่าจะยอมรับความจริงนี่คะ พี่ชา   เมียพี่แก่แล้ว แต่พี่ยังหนุ่ม   ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่จะทนอยู่กับผู้หญิงคนเดียวได้ตลอดชีวิต   เขาต้องรู้ข้อนี้ดีค่ะ”

หล่อนเซ้าซี้เขาด้วยท่าทีประจบประแจง   “พี่ชาเกรงใจเขาแล้วก็ไม่มาหาดาว   ปล่อยให้ดาวรอเก้ออยู่เรื่อย   พี่ชาไม่รักดาวหรือคะ...”

“พี่ชาอย่าปล่อยให้ดาวเหงาซีคะ   ดาวต้องการพี่ชามากกว่าเมียพี่นะ   เมียพี่เขาแก่แล้ว   เขาต้องการเพียงเพื่อนเท่านั้นแหละ   แต่ดาวยังสาวนะคะ   เลือดยังร้อน อารมณ์ยังรุนแรง   พี่ชาไม่เข้าใจบ้างหรือยังไง เวลาที่นัดกันแล้วพี่ชามาไม่ได้   ดาวต้องเก้อ ต้องผิดหวังบ่อยๆ   มันร้ายกาจเหลือเกินนะคะ”


ชาตรีไม่อาจทําตามดาวเรียงได้   หล่อนได้แต่พูดกระทบ ทีเล่นทีจริงๆ ว่าเขาขี้ขลาด

“ทำไมคะพี่ชา   การที่ผู้ชายจะมีผู้หญิงอื่นอีกสักคน มันแปลกที่ตรงไหน   เรื่องธรรมด้า ธรรมดา   พ่อดาวมีเมียตั้งหลายคน เขายังอยู่กันได้มีความสุขดี ไม่เห็นจะมีปัญหาที่ตรงไหน”   หล่อนพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา   แต่ชาตรีกลับมองเห็นปัญหาของพ่อของหล่อน   ปัญหาที่ตกมาถึงลูก   ชีวิตของเด็กบ้านแตกของหล่อนคนนี้เป็นเช่นนี้เอง   ว้าเหว่ เห็นแก่ตัว แย่งชิง....


“วันนี้พี่ชาไม่ต้องรีบกลับนะคะ”

ดาวเรียงคิกคักอยู่ข้างหูเขา   ยิ้มอย่างมีนัยเมื่อพูด   “พี่ชารู้ไหม ดาวโทร.ไปถึงเมียพี่เมื่อตอนค่ำ”

“อะไรนะ”   เขาพลิกตัววูบ ลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าหล่อน   ดาวเรียงยิ้มอย่างไม่พรั่นพรึง

“ดาวโทร.ไปเรียกพี่ออกมา   แล้วหลังจากนั้น ดาวก็โทร.ไปถึงเมียพี่   ถามว่าพี่ชาออกมาแล้วหรือยังคะ   ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ชาหรอก   พี่ชาไม่ได้ไปไหน   มาอยู่กับดาวที่นี่เอง”

เขานิ่งอึ้ง มองหล่อนอย่างตระหนกตกใจ   พึมพำออกมาอย่างปลอบใจตัวเอง   “ดาวล้อเล่นใช่ไหม”

“ค้า...ล้อเล่น”   ดาวเรียงยิ้มเหี้ยมเกรียม ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อท่าทีของเขา   “ล้อเมียพี่เล่น   ดูซิว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”

ชาตรีนิ่ง ตะลึงจ้องหล่อน   เขาเชื่อว่าหล่อนทำได้

“ดาว... ดาวทำอย่างนั้นจริงหรือ”

ดาวเรียงมองเขายิ้มๆ ดวงตาแวววาวท้าทาย

ชาตรีผุดลุกขึ้น “ทำไมดาวถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

“พี่ชาไม่กล้า แต่ดาวกล้า”

“โธ่ ดาว ทำไมนะ”   ชาตรีไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านั้น

“ดาวต้องการพี่ชาค่ะ”

“แต่พี่ก็อยู่กับเธออยู่แล้วนี่นะ”

“ไม่ใช่แบบนี้ค่ะ   ดาวต้องการให้เมียพี่รู้และยอมรับ   ดาวไม่ต้องการแอบๆ ซ่อนๆ เหมือนลักขโมย   ดาวก็เป็นเมียพี่เหมือนกัน   ดาวมีสิทธิ์   ดาวต้องสู้”

ชาตรีทิ้งตัวลงนั่งริมเตียงอย่างอ่อนแรง   ซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสอง

ที่นอนยวบยาบเล็กน้อย   ดาวเรียงเข้ามาอิงแอบกอดเขาไว้   เนื้อหนังนุ่มนิ่มทาบกระชับแผ่นหลังของเขา

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยน่า...   พี่ชาเข้มแข็งหน่อยซี   พี่ชาเป็นผู้นำ   เมียต้องเชื่อฟังพี่   เขาไม่หย่ากับพี่หรอก   เขาแก่แล้ว ไปไหนไม่รอด   เขาต้องอยู่กับพี่ไปจนตายแหละ”   หล่อนไต่ริมฝีปากไปตามลำคอและแก้มเขาขณะพูด   ชาตรีได้แต่นิ่งอั้น   จะรับรู้รสสัมผัสนั้นก็หาไม่   เขาทรยศต่อมิตราก็จริง   แต่ไม่อาจทำร้ายจิตใจของมิตรา   และเขาแคร์ต่อผลของมันยิ่งนัก


เขากลับถึงบ้านเมื่อใกล้รุ่ง และต้องรวบรวมความกล้าอย่างยากเย็นกว่าจะเข้าบ้านได้   มิตรารอเขาอยู่   ใบหน้าซีดเซียวอิดโรย ทิ้งร่องรอยบอบช้ำซึ่งฟ้องว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาแล้วไว้ให้เห็น

เธอมองเขาอย่างเย็นชา เช่นเดียวกับน้ำเสียง   เป็นความเย็นชาที่ถูกนำมาข่มความอ่อนแอเอาไว้

“คุณเพิ่งมาจากผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ใช่ไหม”

ชาตรีนิ่ง สีหน้าสลดอย่างยอมรับ   เขาไม่ใช่คนโกหกเสแสร้ง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมิตรา

“คุณนะคุณ”   มิตราร้องออกมาอย่างอัดอั้น แล้วก็เริ่มร้องไห้   “ไม่น่าเลย โธ่...ไม่น่าเลย”

“มิต มิตจ๋า”   ชาตรีขยับเข้าหา แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเสียงตวาดเฉียบขาด

“หยุดนะ”   เธอจ้องหน้าเขาอย่างเคียดแค้น   “อย่าเข้ามาใกล้ฉัน...อย่าเข้ามา...”   เธอถอยหลังออกไปอีก   น้ำตาไหลล้น ทว่าดวงตาวาววามดุดัน   “ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่าได้มาแตะต้องตัวฉัน   เราไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”

“มิต... มิตฟังผมก่อน”

“ไม่ฟัง”   มิตรากรีดเสียงราวกับว่ามันช่วยระบายความแค้นให้   “ฉันเกลียดคุณ... เกลียด...”

เธอถลาออกจากห้อง   ชาตรีปราดตามไปแต่ไม่ทัน   มิตราเข้าห้องน้ำปิดประตู ทรุดลงนั่งกับพื้นเย็นเยียบเปียกชื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง   น้ำตาไหลพรากราวกับทำนบทลาย สะอื้นจนสะท้านไปทั้งร่าง   ทั้งกัดริมฝีปากและใช้มือปิดกดไว้เพื่อกั้นเสียง   แม้กระนั้นชาตรีก็ได้ยิน

เขาเคาะเรียกอยู่ข้างนอก “มิตจ๋า มิต เปิดประตูเถอะ”   เขาพร่ำอยู่เช่นนั้นเป็นนาน   แล้วทุกอย่างก็เงียบลงรวมทั้งมิตราซึ่งสิ้นสติอยู่ในห้องน้ำนั้นด้วย


อาการของเธอค่อยๆ ดีขึ้นด้วยการแพทย์สมัยใหม่ แต่อาการทางใจยังทรงอยู่   ชาตรีเฝ้าดูแลเธอด้วยความห่วงใย   เขาเป็นคนพังประตูห้องน้ำเข้าไป และแทบช็อกเมื่อเห็นมิตรานอนแน่นิ่งอยู่   ใบหน้าซีดจนเกือบเขียว เนื้อตัวเย็นเยียบ   เขาเพิ่งตระหนักว่า มิตราผ่ายผอมลงไปมาก   เธอคงเผชิญกับความตรอมตรมมาแล้วเนิ่นนานโดยเขาไม่ได้สังเกตเห็น   ก็ในระหว่างที่เขามีดาวเรียง   เขากล้ามองมิตรานานๆ เสียที่ไหน

มิตราไม่พูดกับเขาเลยนับตั้งแต่รู้สึกตัว   จนเวลาผ่านไปหลายวัน และเธอลุกขึ้นเดินเหินได้เป็นปกติ   เมื่อชาตรีพูดด้วย เธอก็เมินหน้าไปเสียทางอื่น   ดวงตาแดงช้ำขึ้นมาทันทีด้วยความสะเทือนใจ   เมื่อจำเป็นจริงๆ เธอจะทำก็แต่เพียงพยักหน้า   ส่ายหน้า   ไม่ก็หันหนีตัดเรื่องราวเสียโดยเร็ว

ชาตรีไม่เคยมีความทุกข์เท่านี้มาก่อนเลย   เขาได้สำนึกว่าเขาทำกับมิตรารุนแรงเพียงใด   เขากังวลถึงสัมพันธภาพอันเคยผูกพันล้ำลึก   ลำบากใจต่อการอธิบายกับลูกๆ   “แม่เป็นอะไร...ทำไมแม่ไม่พูดกับพ่อ... พ่อทำอะไรให้แม่โกรธ”


ชาตรีเพิ่งออกไปจากห้อง ชั่วครู่   มิตราก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกไป   เขาบอกว่าจะไปบริษัทเพียงครู่เดียวแล้วก็จะกลับมา   พร่ำแต่ถามว่ามิตราต้องการอะไรบ้าง   เธอได้แต่สั่นหน้า

มิตราแอบมองร่าง ของชายที่เคยเป็นของเธอทางช่องหน้าต่าง   น้ำตาไหลรินออกมาอีก   “พ่อนะพ่อ ไม่น่าทำอย่างนี้เลย”   เธอคิด   นี่หรือคือรางวัลที่ได้จากความจงรักภักดี   การเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง   ความสนุกสนาน อิสระเสรี   อุทิศทั้งร่างกายและจิตใจให้กับเขาและลูกๆ มาตลอดเวลายี่สิบปี   คนใจร้าย   คนทรยศ...

“พ่อนะพ่อ   เพียงเพราะรูปโฉมโนมพรรณของผู้หญิงคนนั้น   เพียงเพราะ รูป รส กลิ่น เสียงที่เสื่อมโทรมได้ พ่อก็ทำลายได้ทุกอย่าง   ทำลายแม่   ทำลายครอบครัวของเรา   ต่อไปนี้เราจะอยู่กันอย่างปกติสุขได้หรือ   ความรู้สึกของแม่   ความสุขของลูกๆ   โอ... มันไม่มีความสำคัญสำหรับพ่อมากไปกว่าผู้หญิงที่พ่อรู้จักอย่างฉาบฉวยคนนั้นหรือไร...”

มิตราเก็บข้าวของที่จำเป็นของตนและลูกๆ ลงกระเป๋าและกล่องกระดาษเท่าที่จะหาได้   ตั้งใจจะเอาของไปไว้ที่บ้านคุณแม่ก่อนจึงจะไปรับลูกๆ จากโรงเรียน   เธอจะต้องสั่งงดรถรับส่งของโรงเรียนเสีย เพื่อลูกๆ จะได้ไม่ต้องตอบข้อกังขาของเพื่อนๆ ว่าทำไมจึงต้องย้ายไปจากบ้านนี้

ลูกๆ จะต้องเข้าใจ   มิตราปลอบตัวเอง...   ฉันจะค่อยๆ อธิบายให้เขาฟัง   เขาจะมาหาพ่อ มาอยู่กับพ่อของเขาบ้างก็ได้   แต่เขาจะต้องเข้าใจว่าพ่อกับแม่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไป   โอ...ลูกจ๋า   แม่ไม่อยากทำร้ายลูกเลย   แต่แม่ทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้   แม่ทนพบเห็นพ่อของลูกไม่ได้   มันทำให้แม่เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน...


“คุณควรจะยอมพูดกับเขาบ้าง   ดูท่าเขาเองก็ทุกข์หนักพอๆ กัน   เขาแก่ลงไปแยะเทียวนะ   ผอมหน้าเครียดดำคล้ำ   ใครๆ ก็เอ่ยปากทั้งนั้น”

พงพัน ชายเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาตั้งแต่เยาว์วัยบอกเธอ   และมิตราก็เชิดหน้าพูดอย่างขมขื่นระคนคับแค้น

“เขาไม่ทุกข์หรอกพัน   เขาน่าจะดีใจเสียอีกที่ฉันหลีกทางให้   ทั้งเขาทั้งหล่อนนั่นแหละ   ตอนนี้ก็คงรออยู่ว่าเมื่อไหร่จะหย่าขาดกันเสียที”

“เขาไม่มีท่าทางว่าต้องการหย่าเลยนะ มิต   ถ้าเขาอยากจะหย่ากับคุณจะบากหน้ามาทำไมบ่อยๆ   มาเผชิญหน้ากับพ่อแม่ พี่น้องของคุณ ทั้งๆ ที่คุณเองจะยอมพบเขาหรือก็เปล่า”

“เขาทำเพื่อเรียกร้องความเห็นใจน่ะซิ   ทำเป็นสำนึกผิด   เขาย่อมจะรู้ดีว่า มิตไม่อาจลืมอะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ   ต่อไปเขาก็ต้องถือเป็นเหตุขอหย่า   พันคอยดูต่อไปก็แล้วกัน”   เสียงของเธอเครือลง   นัยน์ตาเริ่มแดง น้ำตาเอ่อคลอ   ถ้าเป็นพัน พันจะหย่าไหม   เขาทำได้ถึงขนาดนี้ก็แสดงอยู่ชัดว่าเขาเลือกผู้หญิงคนนั้น   หล่อนสาว สวยมากนะ   มิตน่ะแก่แล้ว   แก่ น่าเกลียด อารมณ์ร้าย ...”   เสียงของเธอแข็งขึ้นอย่างคับแค้น   “ถ้าเขาไม่หย่า มิตจะเป็นคนขอหย่าเอง   ขอเวลาสักนิดเถอะ   ให้มิตเข้มแข็งกว่านี้ มิตจะพูดกับเขาให้รู้เรื่อง”

“มิตน่า   สงสารลูกๆบ้าง”

มิตราได้แต่สะอื้น   ลูกๆ ของหล่อนไม่มีความสุขเลย   เด็กๆ ร้องอยากกลับบ้าน   กลับไปอยู่ในที่ทางของพวกเขา   อยู่กับพ่อของพวกเขา

เด็กๆ ดีใจหนักหนาเมื่อเห็นพ่อมา   แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพ่อกลับบ้านไปคนเดียว   เขาไม่กล้าพาลูกๆ กลับไปบ้านด้วย เนื่องจากมิตราเคยขู่เขาอย่างดุดันเอาจริง   “ถ้าคุณพาลูกๆ ไป เราจะต้องเห็นดีกัน”   ชาตรีไม่ต้องการให้เรื่องเลวร้ายไปกว่านี้   เขาได้แต่ปลอบลูกๆ   บอกให้พวกเขาดูแลแม่ให้ดี   ไม่ช้าทุกอย่างจะเรียบร้อย   “พ่อผิดเอง แม่เขาโกรธพ่อ   พอแม่หายโกรธ เราก็จะกลับบ้านกัน”   เขาบอกลูกๆ

พงพันมองดูหล่อนอย่างห่วงใย   เขาเป็นเพื่อนบ้านของมิตราที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อายุไล่เลี่ยกัน   ทว่าดูพงพันแก่กว่าวัยไปบ้าง

“ดูผมเป็นตัวอย่างซิ มิต   สันดานผู้ชาย   ความมักมากในกามารมณ์   ความมักง่ายเห็นแก่ตัว และคิดว่าเราไม่มีอะไรจะต้องเสียหาย...”   เขาพูดเรื่อยๆ น้ำเสียงแฝงความขมขื่นอยู่ลึกๆ   “ผมมีเมียน้อย... แล้วผลเป็นอย่างไร   เมียผมทำร้ายตัวเองจนแทบตาย   พอรักษาตัวหายก็หนีไป   เธอเลี้ยงลูกตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นจึงคว้าผู้ชายคนแรกที่เธอพบ   เธอไม่ได้รักมันหรอก แต่เธอแค้นผม   หมอนั่นไม่ใช่คนดีเลย และเธอก็รู้   ทุกวันนี้เธออยู่อย่างขมขื่น   ลูกๆ กลายเป็นเด็กบ้านแตก   ขมขื่น แข็งกระด้าง   พวกเขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่เลย”

น้ำเสียงขาดหายไป   เขากลืนก้อนแข็งๆ ในลำคอลงไป   มิตรามองเขาอย่างงงงัน   หล่อนรู้ว่าครอบครัวของเขาแตกแยก แต่ไม่เคยรู้รายละเอียด

“ดูตาป้อมซี   อายุเกือบจะยี่สิบแต่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยม   เกเร ไม่เอาถ่าน ซ้ำยังติดยาอีกด้วย   ก็รักษากันอยู่นี่แหละ   ผมว่าคงอีกไม่นานหรอก... ถ้าไม่ทำศพมันก็คงจะต้องไปเยี่ยมมันในคุก   ข้างแม่ปูอายุเพิ่งจะสิบห้า   แต่มิตรู้ไหม แกแอบไปทำแท้งเมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง... แทบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ   ข้างเจ้าปอนลูกชายคนเล็ก นั่นก็เงียบขรึม ไม่ยอมคบใคร   ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ สอบตกอยู่นั่นแล้ว   ผมยังหนักใจอนาคตของมันอยู่   คุณอยากพบพวกเขาไหมมิต   พวกเขานอกจากจะไม่อาจยึดพ่อแม่เป็นหลัก เป็นที่อบอุ่นแล้ว   พ่อกับแม่ยังเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงทำร้ายเขาอีกด้วย   คุณคงไม่อยากให้ลูกๆ เป็นแบบนี้ใช่ไหม”

มิตราได้แต่ส่ายหน้า หัวใจหนักอึ้ง

“หรือแม้หากเขาโตขึ้นได้อย่างดี เขาก็จะมีความแข็งกระด้างลึกอยู่ในหัวใจ   เขาจะเห็นครอบครัวเป็นของเล่น ไม่จีรัง   เขาจะเห็นการหย่าร้างเป็นเรื่องธรรมดา   แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับหลานๆ ของคุณล่ะ”

“ฉัน...ไม่รู้ซี”   มิตราพึมพำ   ซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างอัดอั้น

“ผมเข้าใจ   ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวที่อบอุ่น   พ่อแม่ของคุณเป็นที่ชื่นชมของใครๆ   เป็นคู่ตัวอย่างที่ทั้งคนรุ่นท่านและรุ่นลูกหลานจะยกเป็นตัวอย่างได้เสมอ   คุณยึดมั่นในสภาพแบบนี้ จึงทนไม่ได้เมื่อชาตรีออกนอกรีตนอกรอยไป   แต่ชื่อเถอะว่า เขารักคุณ   ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีสภาพแบบนั้นหรอก   เขายังบากบั่นมาที่นี่   มาเผชิญหน้ากับพ่อแม่พี่น้องของคุณ   มายอมรับความผิด   คุณเองก็ทิฐิมากนะมิตรา   ละมันเสียบ้างเถอะ   เจ้าทิฐิอันนี้แหละที่จะซ้ำเติมทำลายครอบครัวของคุณ   ทั้งเขา ทั้งคุณและลูกๆ   ถ้าคุณเพียงแต่จะให้อภัยเขาสักครั้ง   ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงก็จะหมดไป เชื่อผมเถอะ”


พงพันทำให้เธอเริ่มคิด   แท้จริงแล้วมิตรายังรักสามีของเธอ   เธอมีความฝังใจมาตลอดเวลาว่าชีวิตเธออยู่ได้ก็ด้วยลูกและสามีเท่านั้น   เพราะเธอรักชาตรีมากมายนั่นเองที่ทำให้เธอเจ็บปวดคับแค้นถึงเพียงนั้น   มิตราพาลูกๆ จากมาด้วยทิฐิ   ในอีกส่วนหนึ่งเธออยากให้ชาตรีต้องเดือดร้อนเสียบ้าง   เธอสะใจที่เขามีความทุกข์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า สภาพทรมานทรกรรมเช่นนี้ตกไปถึงลูกๆ ด้วย

ในบัดนี้ มิตราถูกความว้าเหว่ ความทุกข์ทรมาน และความคิดใคร่ครวญ เคี่ยวเข็ญจิตใจจนอ่อนล้า   เธอละทิฐิและเริ่มคิดถึงสภาพอันพร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัว   เธอคิดถึงความร่าเริง   เสียงหัวเราะของลูกๆ ซึ่งเคยมีอยู่ในกาลก่อน

มิตรายอมเผชิญหน้ากับชาตรี แม้ว่าไม่อาจมองเขาตรงๆ ได้   เธอบอกเขาว่า

“ถ้าคุณต้องการให้ฉันกลับไป ก็ไปจัดการเรื่องของคุณให้เรียบร้อย   ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องมาอีก   ฉันพร้อมจะหย่า   และถ้าคุณต้องการลูก   ฉันจะยอมให้เขาไปอยู่กับคุณได้บ้าง”

สีหน้าของชาตรีวูบขึ้นด้วยความหวัง

ผมไม่ต้องการหย่า   ผมต้องการคุณและลูกๆ   มิตจ๊ะ ผมสัญญา   ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด”

มิตราละจากเขาไปในทันทีที่พูดกันจบ   ทว่าหลังจากนั้น เธอกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด   โล่งใจและสว่างไสวขึ้นด้วยความหวัง


เมื่อแรกที่ชาตรีบอกว่ามิตราออกจากบ้านไปแล้ว   ดาวเรียงต้องซ่อนความยินดีไว้ ขณะที่ทำท่าทีตกใจแกมเสียใจ

“โธ่... นี่ดาวทำผิดไปหรือคะพี่ชา   ดาวขอโทษนะคะ   พี่ชาอย่าโกรธดาว   ยกโทษให้ดาวนะคะ”

ชาตรีได้แต่ถอนใจ   ดาวเรียงคิดว่าเขาจะบอกยกโทษให้หล่อน   แต่เขาไม่ทำ

ดาวเรียงกอดเขา   เคล้าเคลียประจบประแจง   “แล้วเธอก็ต้องกลับมา พี่ชาเชื่อดาวเถอะ”

ท่าทางทุกข์ระทมของชาตรี ทำให้ดาวเรียงอดเคืองใจไม่ได้ แต่ไม่แสดงให้เขาเห็น   หล่อนยังพยายามต่อไป   นุ่มนวล ปรนนิบัติเอาใจเขา   แต่เขาจะยอมรับมันก็หาไม่

เขาห่างเหินไปจากหล่อน   ดาวเรียงนึกโกรธ แต่ก็สำนึกรู้ว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะอาละวาดกับเขา   หล่อนจะต้องดึงเขามาให้ได้เสียก่อน   หล่อนทำไม่รู้ไม่ชี้กับความเหินห่างของเขา   ดาวเรียงรู้ว่าเขาหลงใหลหล่อน   เพียงแต่การจากไปของมิตราทำให้เขาว้าวุ่นไปบ้างเท่านั้น

หล่อนโทรศัพท์ไปหาเขา   พูดกันได้ไม่กี่คำ ชาตรีก็ขอวางสาย   ดาวเรียงจึงไปหาเขาที่บ้าน

ชาตรียังคงอ่อนโยนต่อหล่อน   เขาไม่โทษว่า ดาวเรียงเป็นต้นเหตุของเรื่อง แต่โทษตัวเอง   และในยามนี้ หล่อนเป็นที่พึ่งแห่งเดียวที่เขาจะมองเห็น

ดาวเรียงแสดงความเห็นใจ เมื่อชาตรีเล่าว่า มิตราไม่ยอมพบเขา

“สงสารพี่ชาเหลือเกิน   ดูซี ผอมดำเชียว   ท่าจะไม่ได้ทานข้าวปลา ไม่ได้หลับได้นอนเลยซีคะ   ไม่เป็นไร ดาวจะดูแลพี่ชาเอง   ดาวไม่ทิ้งพี่ชาหรอกค่ะ

หล่อนมาหาเขาแต่เช้าตรู่ทุกวัน   ชาตรีจะออกจากบ้านไปยังที่ทำงาน   ไม่ก็ไปบ้านของมารดามิตรา   ครั้นเขากลับบ้าน ดาวเรียงก็รออยู่แล้ว

“เหนื่อยไหมคะพี่ชา”   หล่อนช่วยเขาถือกระเป๋า พาเขาไปนั่งที่เก้าอี้   ช่วยเขาปลดเนคไทและปลดกระดุมเสื้อ ถอดรองเท้าถุงเท้าให้   “ประเดี๋ยวดาวจะไปยกของว่างกับเครื่องดื่มเย็นๆ มาให้นะคะ   หายเหนื่อยแล้วค่อยอาบน้ำอุ่น แล้วค่อยออกไปหาข้าวมื้อค่ำทานกัน   วันนี้ไปฟังเพลงกันไหมคะ จะได้สบายใจขึ้น...”

ในระยะแรกๆ นั้น ชาตรีอ่อนอกอ่อนใจจนคล้อยตามดาวเรียงไปได้ทุกเรื่อง แม้ว่าจะไม่มีแก่จิตแก่ใจ มีอารมณ์ร่วมไปกับหล่อนด้วยเลย   ดาวเรียงนึกขุ่นเคือง แต่ก็ระงับไว้   หล่อนรู้ว่าหล่อนกำลังจะชนะ

ในที่สุดดาวเรียงก็ไม่ยอมกลับบ้าน   ชาตรีเรียกจะพาหล่อนไปส่ง แต่หล่อนกลับดื้อดึง

“ดาวจะนอนที่นี่แหละ พี่ชา”   สีหน้าของหล่อนบึ้งตึงมีแง่งอน   ชาตรีไม่มีอารมณ์รักใคร่เอาเสียเลย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้   บ้านที่กำลังจะเป็นของหล่อน   “เอาเถอะ ถ้าไม่ให้ดาวนอนที่ห้องพี่   ดาวลงไปนอนในห้องเก็บของก็ได้”

แล้วหล่อนก็ได้นอนกอดกกเคียงข้างเขาบนที่นอนของมิตรา   ขณะพี่ชาตรีต้องกระสับกระส่ายตลอดคืนด้วยความรู้สึกเสียใจ

เป็นอย่างนี้จนกระทั่งมิตรายอมพูดกับเขา


“ไปบ้านโน้นมาอีกหรือคะ”

ดาวเรียงถามเมื่อเห็นชาตรีเดินเข้ามาในบ้าน   หล่อนไม่ได้ลงไปรับเขาที่รถอย่างเคย เพราะกำลังวุ่นอยู่กับการจัดแต่งบ้าน   หล่อนเคยบอกให้เขาพยายามงอนง้อขอคืนดีกับมิตรา   แต่นั่นเป็นการทำเพื่อเรียกคะแนนให้ตัวเองเท่านั้น   เพราะขณะเดียวกันหล่อนก็เปลี่ยนแปลงบ้านช่องของเขาไปด้วย   ข้าวของเครื่องใช้ อะไรที่ขวางหูขวางตาหล่อน เพราะ มันดูไร้ค่า   หล่อนก็เก็บใส่กล่องยัดเข้าไปในห้องเก็บของ   ของบางอย่างถูกโยนลงถังขยะ รวมทั้งงานฝีมือของลูกๆ ของชาตรีด้วย

แม้กระทั่งเสื้อผ้าของ มิตรา   “ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย   เก่าๆ เชยๆ”   หล่อนคิดอย่างดูถูก   มิตราเป็นแม่บ้าน   เสื้อผ้าของหล่อนเรียบและเก่า   ชุดออกนอกบ้านซึ่งไม่ค่อยจะได้ใส่จึงยังใหม่ ก็เชยไปเสียแล้ว   ดาวเรียงยัดมันใส่กล่องกระดาษ เข็นไปแอบไว้มุมหนึ่งนอกห้องนอน   ตั้งใจว่าจะเคลื่อนย้ายไปให้พ้นหูพ้นตาในเร็ววัน

“จ้ะ” ชาตรีตอบ อารมณ์ของเขาดีขึ้นหลังจากที่ได้พูดกับมิตราแล้ว   เขานึกหาถ้อยคำที่จะพูดกับดาวเรียงมาตลอดทาง   ตลอดเวลานั้นก็นึกอาลัยและสงสารหล่อนไปด้วย

ทว่าเขาจะต้องตัดหล่อนให้ได้   เขาได้ตั้งใจแล้ว   เรื่องทั้งหมดเกิดจากความอ่อนแอของเขา   เพียงแต่เขาจะใจแข็ง   ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

“นั่นดาวทำอะไรน่ะ”

“ทำให้มันดีขึ้นค่ะ” ดาวเรียงตอบ

ชาตรียืนมองหล่อนแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ   ทุกอย่างที่นี่หมายถึงมิตราและลูกๆ ของเขา   ดาวเรียงคิดอย่างไรจึงเปลี่ยนแปลงมันเสีย   เขาเพิ่งได้คิดว่าข้าวของถูกเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายวันละนิดละหน่อยมาหลายวันแล้ว

“ของเก่ามันไม่ดีตรงไหน”

ดาวเรียงจับกังวานหงุดหงิดของเขาได้   หล่อนเริ่มขุ่นเคือง แต่แล้วก็ฝืนหัวเราะ

“เถอะน่า พี่ชา   ให้ดาวจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วพี่ชาจะต้องแปลกใจ   ว่า โอ้โฮ นี่บ้านของเราสวยหรูได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ”

ชาตรีนิ่งอึ้ง   ละจากหล่อนเดินขึ้นไปยังห้องนอนเพื่อจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายกาย   หวังอยู่ว่าจะเริ่มต้นพูดกับหล่อนหลังจากนั้น

ดาวเรียงเคยจัดเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เขา   ด้วยว่าหล่อนพึงใจที่จะให้เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า ชุดที่ดีที่สุดที่เขามีอยู่ แทนที่จะเป็นเสื้อผ้าธรรมดาๆ มองดูราคาถูกซึ่งเกะกะสายตาหล่อนนัก   ทว่าในวันนี้เมื่อชาตรีเปิดตู้ดู เขาก็ต้องแปลกใจที่ได้พบความว่างโหรงเหรงภายในตู้

“ดาว” เขาตะโกนพลางลงเดินมาหาหล่อน   “นี่มันอะไรกัน   เสื้อผ้าในตู้หายไปไหนหมด”

ดาวเรียงมองอย่างรำคาญ เกลียดชังกิริยาเอะอะ ไม่สำรวมเช่นนี้เป็นที่สุด

“ดาวเก็บเองแหละค่ะ   เสื้อผ้าเก่าๆ เชยๆ ทั้งนั้น   แล้วดาวจะหาให้ใหม่   พี่ชาไม่ใช่คนปอนๆ นะคะ   ควรจะแต่งตัวให้หรสมฐานะ คนเขาจะได้เชื่อถือ”

“แล้วเสื้อผ้าของมิตราเขาล่ะ”

“ดาวเก็บเอง   ทำไมคะ”

เสียงตวัดอย่างขุ่นเคืองแง่งอนทำให้ชาตรีอึ้งไป   เขาถามเสียงอ่อนลง

“ก็ทำไมล่ะ   เก็บไปไหนทำไม”

“ก็จะเอาไว้ทำไมล่ะคะ   เมียพี่เขาไปตั้งเดือนแล้ว   เขาไม่กลับมาอีกหรอก   ดาวต่างหากที่อยู่ที่นี่   ดาวสัญญาไว้แล้วไงคะว่าจะดูแลพี่ชาตลอดไป”

“ดาว...” ชาตรีส่ายหน้า   “ดาวจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ   มิตราเขาจะกลับมา   ยังไงๆ พี่ก็จะพาเขากลับมา”

“พี่ชา” ดาวเรียงนิ่งมองเขา   ตระหนกในความหนักแน่นของน้ำเสียงเขา   หล่อนเดินเข้ามากอดร่างของสามีของคนอื่น   ชาตรีได้แต่รับหล่อนไว้ในอ้อมแขน

“ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ พี่ชา”   หล่อนพูดเสียงเครือ   “อย่าพาเขากลับมาเลย   ให้ดาวอยู่กับพี่ชาเถอะค่ะ”

“ดาวเรียง”   ชาตรีเรียกอย่างอ่อนโยน   จุมพิตหน้าผากของหล่อนเบาๆ อย่างปลอบ   “พี่ต้องการครอบครัวของพี่กลับคืนมา”

“แล้วดาวเล่าคะ   พี่ชาไม่ต้องการดาวหรอกหรือ   ดาวก็เป็นครอบครัวของพี่เหมือนกัน   อีกหน่อยดาวก็จะมีลูกให้พี่   จะเอาสักกี่คนก็ได้”

ชาตรีถอนใจ   รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่อกเสื้อของเขา   หล่อนกำลังร้องไห้

“นั่นหมายความว่า พี่ปล่อยให้ปัญหายุ่งยากยิ่งขึ้นโดยไม่แก้ไข”

“หมายความว่าดาวคือปัญหาหรือคะ”   หล่อนผละออกจากอกเขา   จ้องมองเขาอย่างตัดพ้อ น้ำตาเต็มดวงตา

“พี่เสียใจ... แต่พี่ต้องการมิตรากับลูกๆ   พวกเขาเป็นชีวิตของพี่”

“พี่ชา   ลูกๆ น่ะยังไงๆ ก็เป็นลูกพี่ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้   ดาวสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาอย่างดี   ส่วนเมียพี่... ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ   แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับดาวนะคะ พี่ชา”

“แต่ว่าพี่ต้องการเขา”

เสียงของเขามั่นคง   ดาวเรียงนิ่งงันไป   เป็นไปได้อย่างไร   หล่อนแพ้ให้ผู้หญิงคนนั้น   ผู้หญิงแก่แห้งแล้งคนนั้น...

“แล้วดาวเล่าคะ   พี่ชาไม่รับผิดชอบในสิ่งที่พี่ชาทำกับดาวหรือ   พี่ชาจะผลักไสดาวออกไปจากชีวิตง่ายๆ แบบนี้เองน่ะหรือ”

“ดาว... ไม่ใช่ว่าพี่จะไม่รักเธอ   พี่จะไม่ทิ้งดาวหรอก   แต่ว่าเราจะมีความสัมพันธ์กันในแบบเก่าอีกไม่ได้   พี่ทำความผิดต่อครอบครัว และพี่จะต้องแก้ไขก่อนที่จะเสียพวกเขาไป   เห็นใจพี่เถอะ   ถึงยังไงพี่ก็ยังรักดาว   พี่จะคอยช่วยเหลือเธอเสมอ”

“รักดาว เฮอะ”   หล่อนสะบัดจากเขา   “ดาวไม่ต้องการแค่ความรัก   ดาวต้องการตัวพี่”


เขาพูดกับหล่อนอยู่เนิ่นนาน   ในที่สุดดาวเรียงก็ผละจากเขาไปอย่างขุ่นเคือง เจ็บช้ำและโกรธแค้น   ชาตรีมองดูร่างของหล่อนที่วิ่งหายออกไปในความมืดอย่างห่วงใย   เขาอยากจะตามหล่อนไป   แต่เขาก็ต้องการตัดปัญหา   เขาจึงได้แต่นั่งจมอยู่ในเก้าอี้อย่างอ่อนระโหยเจ็บปวด   เขายังรักยังหลง ยังอาลัยอาวรณ์   แต่ก็ตระหนักดีว่า มันเป็นความดื่มด่ำใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เท่านั้น   ความรู้สึกเช่นนี้แม้จะจืดจางลงสำหรับมิตรา   แต่ความผูกพันทางใจระหว่างเขากับมิตราได้ลงรากลึก ยากจะตัดขาดได้

เขาสงสารดาวเรียงที่ต้องเป็นผู้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้   เขาไม่เคยปักใจเชื่อว่าหล่อนรักเขามากมายอย่างที่แสดงออกมา   แม้เขาจะพอใจกับการแสดงอย่างนั้นก็ตาม   ดาวเรียงเป็นผู้หญิงสมัยใหม่   ไม่ฝังตัวเองอยู่ในกรอบประเพณี ที่ผู้หญิงจะต้องรักนวลสงวนตัว   หล่อนผ่านผู้ชายมาแล้วไม่น้อย   เขาไม่เคยถามและหล่อนก็ไม่เคยพูดถึง   ทว่าเกมกามของหล่อนบอกเขา   หากดาวเรียงรักเขาจริง หล่อนก็คงต้องเสียใจ   แต่จะไม่เสียหายมากไปกว่าที่หล่อนเป็นอยู่แล้ว


เขานึกเสียใจต่อดาวเรียงอยู่ไม่นาน ดาวรายก็โทรศัพท์มาหา ตามให้เขาไปพบ   เรียกร้องให้เขารับผิดชอบใน สิ่งที่เขากระทำต่อน้องสาวของหล่อน   พิสัยนั้นแทบจะไม่มีเสียงเอาเลย   ด้วยรู้ดีมาแต่ต้นว่าสองคนพี่น้องมุ่งหมายอะไร   เขายังรู้สึกละอายอยู่ลึกๆ ตลอดมาที่ไม่ทัดทานคล้ายรู้เห็นเป็นใจด้วย

ชาตรีพยายามอธิบายแต่ดาวรายก็ไม่ยอมเข้าใจ   ชาตรีกลับบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน ว้าวุ่นใจ   อีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องอาศัยเหล้าเป็นที่พึ่ง   สุราทั้งต่างประเทศและในประเทศ ที่ซื้อหาไว้เพื่อรับรองผู้มาเยี่ยมเยือนพร่องลงไปนับแต่มีเรื่อง   มันช่วยผ่อนคลายความสับสน ว้าวุ่นใจให้เขาได้อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง   แต่เมื่อกลับมาสู่สภาพเดิมเขาก็กลับเจ็บปวดอย่างเดิม


ชาตรีจัดเสื้อผ้าของมิตราเข้าตู้   ทำไปก็นึกถึงดาวเรียง   พยายามแจกแจงการกระทำของหล่อน ตั้งแต่เริ่มรู้จักกันมา   เขาเริ่มได้ตระหนัก และมองเห็นตัวตนของหล่อน   คนอย่างหล่อนอาจจะพอใจผู้ชายได้ตั้งมากมายหลายคน   แต่เผอิญเขาเป็นคนที่หล่อนสามารถจะจับในมือได้   เขานั้นแก่แต่ตัว ทว่าชั้นเชิงและประสบการณ์ช่างอ่อนเขลานัก   หล่อนทำร้ายมิตราอย่างเห็นแก่ตัวและเลือดเย็น   แม้กระนั้นชาตรีก็ยังนึกอภัยให้


เมื่อชาตรีแน่ใจว่าเรื่องราวยุติลงแล้ว เขาจึงไปรับมิตรา   หล่อนเกี่ยงให้เขากลับก่อน แล้วจึงตามมาพร้อมกับลูกๆ   เด็กๆ มีความสุขกันมาก   เขาและมิตราต่างก็สังเกตรู้   มิตราซ่อนความตื้นตันใจไว้ภายใต้ท่าทีมึนตึงเฉยชา   แม้เธอจะมองไม่เห็นหนทางที่จะกลับมามีความสนิทสนมกลมเกลียวกับสามี   แต่เธอก็ดีใจแทนเด็กๆ ที่ได้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมของพวกเขาอีกครั้ง


แล้วชาตรีก็ได้รับโทรศัพท์จากดาวราย   มิตราเป็นคนรับสาย   เธอเฉยเหมือนไม่มีความรู้สึกเมื่อบอกเขา   และทำเหมือนไม่ได้ยินเมื่อชาตรีอึกอักบอกเธอว่า เขาจะต้องออกไปข้างนอก

………

“ยายดาวจะไปเมืองนอก”   ดาวรายบอกเขา และขอให้เขาช่วยเหลือ...   เงิน...ทำไมจึงต้องลงเอยด้วยเรื่องนี้ด้วย   ชาตรีรู้สึกเสียใจที่ความสงสารเห็นใจ และความรู้สึกอันดีงามที่เขามีต่อดาวเรียงต้องถูกทำลายไป

ห้าแสนบาทเท่านั้นเอง ที่พี่สาวผู้รักใคร่ห่วงใยน้องสาวเรียกร้อง   เอาไปเถิด ... เขาไม่เสียดายเลยจนนิดเดียว   หากสองสาวนั้นไม่เรียกร้องออกมา เขาอาจจะช่วยเหลือดาวเรียงมากกว่านี้ได้ในอนาคตหากรู้ว่าหล่อนเดือดร้อน   เขาอาจให้หล่อนได้เสมอตราบเท่าที่ความรู้สึกอันดีงาม ความสงสารและเห็นใจ ที่ดาวเรียงถูกเกณฑ์ให้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ยังคงมีอยู่   แต่ทว่าขณะนี้มันเหือดหายไปเสียแล้ว   ที่เขาเสียดายก็คือสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่เลย... เกียรติยศของดาวเรียงนั่นเอง


ชาตรีจากมาด้วยความรู้สึกเป็นอิสระ   พันธนาการทางใจของเขาถูกปลดออกไปสิ้น   เขาเพียงแต่นึกถึงรูป รส กลิ่น เสียง อันเคยได้สัมผัส   ทว่ามันจะมีความสำคัญแก่ชีวิตก็หาไม่   ชีวิตครอบครัวอันสงบราบรื่นต่างหากที่เขาต้องการ

เขาไม่ได้ข่าวจากดาวเรียงอีก   นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่ได้คิดถึงหล่อนอย่างอาลัยอาวรณ์เลย   ทั้งไม่รู้สึกว่าอะไรในชีวิตได้ขาดหายไป   หล่อนผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป   คล้ายลมหนาวที่ทำให้เขาสะท้านขึ้นเพียงชั่ววูบ   เขากลับบ้านทันทีที่เลิกจากงาน   ลูกๆ วิ่งเล่นกันอยู่ที่สนาม   มิตรานั่งดูอยู่ใกล้ๆ   เขารู้สึกเป็นสุขและอบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เดินยิ้มเข้าไปหา   สีหน้าของมิตรายังเฉยเมย ขณะที่หันมาเห็นและลุกเดินหนีไปเสีย   ชาตรีถอนใจ   เธอมิใช่มิตราคนเดิม ผู้อ่อนหวานและรักใคร่ใยดีต่อเขาอีกต่อไป   เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนบาดแผลที่คอยสะกิดให้เธอเจ็บปวด

ชาตรีเข้าใจดีว่าเขาจะต้องคอย   มิตราต้องการเวลา....


( นิยายเรื่องนี้ เคยลงพิมพ์ใน “เรื่องสั้นขนาดยาว” นิตยสาร สกุลไทยรายสัปดาห์ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2525 )