ผู้ชม ฝากงานเขียน

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
  เรื่องสั้น งานเขียนจากผู้อ่าน
18 ประตูวิเศษ
27 ผู้วิงวอน
33 กว่าจะรู้ว่ารัก
46 มาดาม
47 ย้อนรอยรัก
48 เธออยู่ไหน
49 ครอบครัว
หน้าที่ 1/1



มาดาม

กุลรัตน์

ShortStory : 0000-00-00

reader:1221
reply:1

วิลาสินีพลิกกายครั้งแล้วครั้งเล่า   กระสับกระส่ายอยู่บนเตียงหรู     หล่อนเปิดเพลงแผ่วพลิ้วกลบเสียงเครื่องปรับอากาศที่หึ่มอยู่เบาๆ   แต่ที่หล่อนได้ยินก็มีเพียงเสียงทอดถอนหายใจของตนเอง

ห้องนั้นกว้าง ตกแต่งหรูหรา   ชิดชัยเป็นเศรษฐี   ซื้อทุกสิ่งที่จะบันดาลความสุขให้

เขาซื้อทุกอย่างตั้งแต่สิ่งของจนถึงคน   รวมทั้งตัวหล่อนด้วย

วิลาสินีเป็นคนสวย   และที่หล่อนจะต้องเป็นก็คือเป็นคนสวย   หล่อนต้องเป็นผู้หญิงสวยที่พร้อมเสมอสำหรับสามี     หล่อนพร้อมสำหรับเขามาตลอด   แต่ในบัดนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่สนใจหล่อน

หล่อนผุดลุกขึ้นนั่ง   ใบหน้างามที่ปราศจากเครื่องสำอางในกรอบผมหยิกอ่อนๆ ยาวรุ่ยร่าย เขม็งขมวดด้วยอารมณ์ไม่ปลอดโปร่ง   นาฬิกาบอกเวลาสามนาฬิกาของวันใหม่   แต่ที่นอนข้างกายหล่อนยังคงว่างเปล่า   หล่อนลุกเดินไปเกาะหน้าต่าง มองออกไปสู่ความมืดข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย   ดวงตาสะท้อนความรู้สึกร้าวราน

และคืนนี้ก็เหมือนคืนก่อนๆ ที่หล่อนจบมันด้วยเหล้ากับยานอนหลับหลายเม็ด


“ยังไง้ คุณผู้หญิง   ตื่นเสียเที่ยงวันเทียวนะจ๊ะ”

เสียงแหลมสูงเจือหัวเราะทักขึ้นในทันทีที่หล่อนก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น   อรดีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวมใหญ่ ขาไขว้กันเหยียดยาวออกไปข้างหน้า มือถือหนังสืออ่านเล่น

อรดีสูงวัยกว่าวิลาสินีเล็กน้อย   เรือนร่างอวบท้วมพอกพูนด้วยไขมันส่วนเกินตรงนั้นตรงนี้   สวมชุดลำลองที่ค่อนข้างฉูดฉาด หรูหรา   ผมสั้นดัดหยิก   ใบหน้าถูกตบแต่งด้วยเครื่องสำอางชั้นเลิศ

วิลาสินีฝืนยิ้ม เดินมานั่งใกล้ๆ   อีกฝ่ายขยับตัวขึ้นนั่ง

“ไม่สบายหรือไงจ๊ะ   หน้าเซี้ยว เซียว   ท่าทางซังกะตายจังเลย   นี่   ไปเที่ยวกันดีกว่า”

“จะไปไหนกันดีล่ะคะ”

“ก็ไปเรื่อยๆ   ไปหาข้าวกลางวันอร่อยๆ กิน   แล้วก็ช็อบปิ้งแก้กลุ้ม   บางทีเลยไปบ้านคนนั้นคนนี้บ้างก็ได้”

“เฮ้อ...”   หญิงสาวถอนใจ   “เบื่อจัง”

เพื่อนหญิงมองหน้าหล่อน   “หน้าตาเซ็งชีวิตจังเลย   เห็นเป็นอย่างนี้ทั้งปี   ขัดใจกับแฟนอีกแล้วใช่ไหม”

“เปล่า   เราแทบจะไม่ได้พูดกันเลยด้วยซ้ำ”

“อ้าว เหรอ   แล้วยังไงกัน”

หล่อนถอนใจ   “ก็อย่างเคยของเขานั่นแหละ   เลิกงานแล้วก็ไปโน่นไปนี่ติดต่อไม่ได้   กว่าเขาจะกลับฉันก็หลับปุ๋ยไปแล้ว   พอฉันตื่นเขาก็ออกจากบ้านไปแล้วเหมือนกัน”

“เข้าใจ...เข้าใจ”   สาวใหญ่พยักหน้ายิ้มๆ   “ตัวเองก็คงเล่นทั้งเหล้าทั้งยานอนหลับใช่ไหม   ถึงได้หลับสนิทไม่รู้เรื่องเลยเวลาที่พ่อเจ้าประคุณกลับมาหรือแต่งตัวไปทำงาน”

“ทำไมคุณรู้ล่ะ”

“รู้ซิ ก็ฉันเคยเป็นมาแล้วนี่   คุณพิมุขของฉันก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่าคุณชิดชัยหรอก”

“แต่คุณใช้คำว่า เคยเป็น   หมายความว่าเดี๋ยวนี้คุณไม่ต้องกินเหล้ากินยานอนหลับแล้วหรือ   คุณทำใจให้ยอมรับสภาพอย่างนั้นได้หรือ”

“เปล่า   ฉันยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้หรอก”   อรดียกไหล่

“แต่...ฉันเห็นคุณก็สุขสบายใจดีนี่   ไม่เห็นเป็นอย่างฉันเลย”

“ฉันมีทางออกของฉัน”

“ทางออก….. ทางไหนหรือ   บอกบ้างได้ไหม”

อรดีมองหน้าเพื่อนผู้อ่อนวัยอย่างชั่งใจ   “จะบอกให้ก็ได้   แต่ว่ารับปากไหมล่ะว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ   ลับสุดยอดเทียวนะ”

“ได้ซี   ขอให้บอกเถอะ   ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม   มันเหงา ว้าเหว่ ตรอมใจอย่างบอกไม่ถูก   จะหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก   แล้วเลยพาลเบื่อโลกไปหมด   รู้สึกว่าชีวิตมันช่างมืดมนอับเฉา หาความสุขไม่ได้เลย”

“ดีละ”   อรดีชูนิ้วชี้ขึ้น เล็บแหลมแดงแปร๊ด   เพชรหัวแหวนเม็ดใหญ่ส่องประกายวูบวาบ   “แต่ฉันจะยังไม่บอกคุณหรอกนะ   ฉันจะให้คุณรู้ โดยที่คุณจะต้องมีส่วนร่วมไปกับฉันด้วยตกลงไหม”

“ตกลง”   หล่อนตอบรับทันที

“งั้นรับปากก่อนซีว่าคุณจะไม่ขัดเลยไม่ว่าฉันจะให้คุณทำอะไร”

“แต่ว่า…….”

“ไม่มีแต่”   น้ำเสียงอรดีเฉียบขาด   เล็บแดงชี้ตรงมาที่หน้าหล่อน จ้องอย่างคาดคั้น

วิลาสินีตัดสินใจอย่างลังเล   “เอ้า ตกลงก็ตกลง”

“ดี” ร่างอวบลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง   “งั้นขอโทรศัพท์หน่อย”   หล่อนหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มหมายเลข   วิลาสินีมองตาม

“ฮัลโหล...คุณพี่หรือคะ..... เย็นนี้จะกลับมาทานข้าวบ้านหรือเปล่าคะ..... ยังไม่แน่หรือคะ.....เปล่าค่ะคือน้องจะบอกคุณพี่ว่าเพื่อนๆ ชวนไปทานข้าวค่ะ..... ยังไม่รู้ว่าที่ไหนค่ะ….. ได้หรือคะ... ค่ะ... งั้นเท่านี้นะคะ.... สวัสดีนะคะคุณพี่”

ครั้นตัดการติดต่อแล้ว เพื่อนสาวใหญ่ก็หันมาหลิ่วตาให้วิลาสินีก่อนจะกดหมายเลขใหม่

วิลาสินีได้ยินน้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วแบบเดิม   คราวนี้เพื่อนหญิงหันหลังให้ หล่อนจึงจับใจความได้เพียงกระท่อนกระแท่น   “...เดี้ยนจะพาเพื่อนไปด้วยคนหนึ่งนะคะ... ค่ะ... เจอกันที่... ก็แล้วกัน... แล้วพบกันนะคะ   บ๊ายบาย…..”

“ใครน่ะ”

“ความลับจ้ะ   เอ้า   คราวนี้คุณโทรไปบอกกล่าวพ่อเจ้าประคุณของคุณซะ”

“ไม่ต้องบอกเขาหรอก   ทิ้งโน้ตไว้ก็พอแล้ว   ดีไม่ดีเขาจะกลับทีหลังเราเสียด้วยซ้ำ   เขาเองพูดอยู่เรื่อยๆ ว่าให้เราออกไปเที่ยวเสียบ้าง จะได้ไม่หงุดหงิด คิดมาก”

“เหมือนคุณพิมุขน่ะแหละ   ให้เงิน ให้อิสระ แต่ไม่ให้ตัวของเขา   เราจะไปไหน จะใช้เงินเท่าไหร่ไม่ว่าทั้งนั้น   ขออย่างเดียวอย่าจุกจิกจู้จี้ หน้าง้ำหน้างอใส่เป็นใช้ได้   ยิ่งเราขอไปทัวร์เมืองนอกนะ พ่อเจ้าประคุณตีปีกเลย”


อรดีพาวิลาสินีออกจากบ้านพร้อมกับเสื้อผ้าชุดลำลองสำหรับตอนค่ำ   ทั้งสองไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารหรู   เข้าร้านเสริมสวย   ฆ่าเวลาอยู่ในห้างสรรพสินค้าแล้วจึงกลับไปแต่งตัวที่คฤหาสน์ของอรดี   ระหว่างเวลานั้นสาวใหญ่ก็แย้มพราย ‘ความลับ’ ออกมาทีละน้อยจนวิลาสินีเข้าใจปรุโปร่ง

“ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลย”

“ทำไมจ๊ะ แม่คุ้ณ   อย่าทำเป็นเด็กไร้เดียงสาไปหน่อยเลย   เรื่องอย่างนี้มันธรรมด๊า ธรรมดา   บ้านไหนเมืองไหนเขาก็มีกันทั้งนั้น   แล้วก็มีตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย”

“ถ้าเป็นคนอื่นมันก็ไม่แปลกหรอก   แต่นี่…..”

“ตอนแรกฉันก็รู้สึกแปลกๆ   แต่ช่วยไม่ได้นี่”   อรดียกไหล่ตามความเคยชิน   “คุณพิมุขทอดทิ้งฉัน   อ้างงาน อ้างเพื่อน อ้างสังคม   เขามีอีหนูเยอะแยะทำไมฉันจะไม่รู้   ตอนนั้นฉันตรอมใจมาก แทบจะฆ่าตัวตายไปแล้วหลายหน   ยิ่งกลุ้มใจก็ยิ่งหาเรื่องทะเลาะกับเขา   ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด   จะหย่ากันก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร   อยู่บ้านเฉยๆ มาจนแก่.. จะหาผัวรวยๆ ใหม่สักคนก็คงยาก   ไหนจะลูกเต้าอีกตั้งสามคน   พอดีฉันเห็นโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์….. อืมมม… เขาว่าอย่างนี้นะ... คุณจะเป็นใครไม่สำคัญ   ถ้าต้องการเพื่อนโปรดโทรถึงเรา…..

....แล้วฉันก็โทรไป”

“คุณกล้า…?”

“แน่นอน   เวลาคนเราเซ็งสุดขีดอะไรๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น…   แล้วพวกเขาก็ไม่ถามเลยว่าเราเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน   เขาถามแต่เพียงว่าเราต้องการผู้ชายแบบไหน แล้วก็เต็มใจจะจ่ายเท่าไหร่ เท่านั้นเอง   แล้วก็ให้เราเลือกสถานที่นัดพบ   นัดหมายให้รู้ว่าฉันกับคู่นัดจะสังเกตรู้กันได้ยังไง   อย่างเช่นสีเสื้อผ้า หรือถืออะไรไว้ในมือ   คำทักทายและตอบโต้กันอะไรอย่างนี้แหละ…..”   หล่อนหัวเราะเมื่อรำลึกถึงเหตุการเก่าๆ   “แหม คุณเอ๊ย   มันตื่นเต้นดีอย่าบอกใครเลย”

“คุณต้องจ่ายเงินมากไหม”

“ไม่เหลือวิสัยที่เราจะจ่ายได้หรอกน่า   ฉันเลือกของแพงเพราะเชื่อว่าคุณภาพจะต้องดีกว่า”   หล่อนหัวเราะคิกคักแล้วบอกจำนวนเงินออกไป   “นี่หมายถึงบริการทุกอย่างเลยนะ   ทุกอย่างตามแต่เราต้องการ   แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เราจะต้องจ่ายเองทั้งหมด”

“แหม มันยังไงๆ ก็ไม่รู้ละ”   วิลาสินีพูดอย่างอดสูใจ

“ก็คิดเสียว่าเราต้องการแค่เพื่อนซิ   เพื่อน… ไม่ใช่อย่างอื่น”

“แต่ถ้าเขาคิดว่าเราต้องการอย่างอื่นล่ะ”

“เขาคิดยังไงไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับเรา   เราจ่ายเงินให้เขา   ถ้าเราไม่พอใจคนนี้ คราวหน้าก็บอกไปเลยว่าขอเปลี่ยนใหม่”

วิลาสินีกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น   “ฉัน...เอ้อ… ขอกลับบ้านไปคิดดูก่อนได้ไหม”

“ม่ายด้าย”   อรดีทำหน้าดุ   “ไหนคุณสัญญาไงล่ะว่าจะทำทุกอย่างที่ฉันบอก   ไม่ได้นะ   ถ้าคุณไม่ไปกับฉัน ฉันถือว่าคุณทรยศหักหลังหลอกให้ฉันเล่าออกมา”

หล่อนถอนใจ อึดอัดในอกอย่างบอกไม่ถูก…….


มือของหล่อนเย็นเฉียบและสีหน้าก็แย่เต็มทีเมื่ออรดีพาเดินเข้าไปในสถานที่นัดพบอันเป็นห้องอาหารโอ่โถงหรูหราของโรงแรมชั้นหนึ่ง   บรรยากาศภายในค่อนข้างสลัว   สงบเงียบ โต๊ะเก้าอี้จัดเป็นส่วนสัด   มีกระถางต้นไม้บังตาประดับเป็นแห่งๆ   ผู้คนพูดคุยกันเบาๆ   ที่ด้านหนึ่ง นักร้องสาวครวญเพลงอยู่ข้างหนุ่มนักดนตรีซึ่งกำลังบรรเลงเพลงไพเราะ

บริกรโค้งต้อนรับ แต่สาวใหญ่ไม่สนใจได้แต่หันมองหาคู่นัดของหล่อน   แล้วชายหนุ่มสองคนก็ลุกจากโต๊ะใกล้ประตูเดินตรงมา   หัวใจวิลาสินีกระตุกวาบหลบเข้าแอบข้างหลังอรดีอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง

“คุณอิ๋วครับ”   ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนนั้นเรียกอย่างอ่อนน้อม โค้งตัวเล็กน้อยยิ้มให้

“โอ๊ ! ยุทธ... มานานแล้วหรือยังจ๊ะ”

“สักครู่ครับ... นี่ดอนครับ”

ดอน….. คนนี้ซิ   หนุ่มที่มาเพื่อหล่อน

วิลาสินีรู้สึกประหม่าเป็นที่สุด   เขาจะมองหล่อนยังไงนะ   หล่อน ‘จ่ายเงิน’ ให้เขา   ผู้หญิงประเภทไหนที่ยอมเสียเงินเรียกผู้ชายมาเป็นเพื่อนพาเที่ยว   และสำหรับเขา   ผู้หญิงในประสบการณ์คงไม่เพียงแต่ต้องการเพียง เพื่อนพาเที่ยว เท่านั้นหรอก

“สวัสดีครับ”   น้ำเสียงเขาทุ้มน่าฟัง   ร่างสูงก้มศรีษะเล็กน้อย

“สวัสดีค่ะ   นี่แอ๋วเพื่อนพี่อิ๋วค่ะ   แอ๋วจ๊ะ   คนนี้ยุทธ   แล้วนี่ก็ดอนนะ”

หล่อนยิ้มฝืนๆ เก็บกดความอายไว้   เป็นยังไงก็เป็นกัน   ยังไงๆ ก็ถลำมาถึงป่านนี้แล้ว   ทำไมจะต้องอาย   เราเป็นฝ่ายจ่ายเงินนะ   เขาสิจะต้องอายเรา

แต่ครั้นตาสบกัน   ตาสวยอย่างนั้น   ประกายแพรวพราวและรอยยิ้มนั่น…

หล่อนหลบตาโดยเร็ว

“เข้าไปนั่งข้างในดีกว่าครับ

ยุทธพูด   ลักษณะแตะข้อศอกสาวใหญ่ขณะที่พากันเดินนำไปนั้นบอกให้รู้ว่าทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี   หล่อนเดินตามไป   ดอนตามมาติด ๆ

เขานั่งลงใกล้หล่อน

“หิวหรือยังครับ   จะดื่มอะไรก่อนดี”

ยุทธถาม   อรดีเป็นฝ่ายเลือกอาหารและเครื่องดื่ม   หล่อนกิน คุยและหัวเราะอย่างมีความสุข   สนุกสนานขณะที่เพื่อนผู้อ่อนวัยกว่านึกเรื่องคุยไม่ออกเอาเสียเลย   หญิงสาวคอยแต่รู้สึกอึดอัดใจเมื่อถูกมอง   คิดอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพวกหล่อน   ขบขัน สมเพช   หรือเพียงคิดถึงเงินในกระเป๋า

ชายหนุ่มทั้งสองนี้รูปร่างหน้าตาดี   ดูมีเสน่ห์แพรวพรายไม่แพ้พวกพระเอกหนังเลยแม้แต่น้อย   ใครเลยจะนึกว่าเขาคือ ‘ผู้ชายหาเงิน’   ลักษณะท่าทาง การพูดจาและกิริยามารยาทก็ล้วนไม่มีที่ติ   เขาน่าจะเป็นผู้ดีมีเงิน   มีการศึกษา และหน้าที่การงานอันน่าภาคภูมิใจมากกว่า

“คุณแอ๋วทานน้อยเหลือเกิน   อาหารไม่อร่อยหรือครับ”

ดอนถาม   วิลาสินีรู้สึกเหมือนหายใจไม่สะดวก   การพูดจาจึงออกจะขลุกขลัก

“คุณเองก็ไม่เห็นค่อยทาน”   หล่อนสังเกตเห็นว่าเขาดื่มและกินน้อยมาก   อย่างน้อยก็ดีตรงนี้ที่เขาไม่เห็นแก่กิน

“ผมทานกันมาก่อนแล้วครับ”   เขาพูดตรงๆ   เบาพอที่จะไม่รบกวนการสนทนาของชายหญิงอีกคู่หนึ่ง   หล่อนเห็นรอยบุ๋มที่แก้มเมื่อเขายิ้ม

“อ้าว ทำไมล่ะคะ”

“เราไม่ทำตัวเป็นภาระ”

หล่อนเผลอมองรอยยิ้มของอีกฝ่าย   ประกายตาเขาแพรวพรายช่างเล่นเมื่อกระซิบหยอกเย้า   “เรามาให้ความสุข ไม่ใช่มาหาความสุข”

หล่อนหน้าแดง หลุบตาอยู่ที่จานอาหารตรงหน้า   ดวงตาของชายหนุ่มอ่อนโยน   น้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตร

“คุณเหงา ต้องการเพื่อน   เพราะอย่างนั้นเราจึงได้มาพบกัน   คุณมีสิทธิ์ออกคำสั่งทุกอย่าง   มีสิทธิ์แสดงความพอใจและไม่พอใจ   เรียกร้องสิ่งที่ต้องการจากผมได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งมีสิทธิ์นึกเหยียดหยามดูถูกด้วย   แต่สำหรับผม คุณคือเจ้านายซึ่งผมจะต้องซื่อสัตย์และภักดีครับ”

“จริงหรือคะ”   หล่อนมองเขาอย่างแปลกใจ   “แล้วในส่วนลึกของใจคุณไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ   มีสมเพชเวทนา ขบขัน หรืออะไรทำนองนี้กับพวกเราบ้างไหม”

“ไม่เลยครับ ลึกแค่ไหนก็ไม่”   เขาตอบยิ้มๆ เจืออารมณ์ขันก่อนจะทำน้ำเสียงจริงจัง   “คนเราแต่ละคนต่างมีปัญหาของตัว   ปัญหาของคุณ ผมอาจแก้ให้ไม่ได้   แต่ช่วยบรรเทาให้ได้ด้วยความเป็นมิตรและจริงใจครับ”

หล่อนรู้สึกว่ากลืนอาหารได้คล่องคอขึ้น


“เราไปฟังเพลงกันต่อนะ”   อรดีชวนขณะที่จ่ายเงินค่าอาหาร   วิลาสินีลังเล

“ฉันคิดว่าเราจะกลับบ้านกันเลย”

“กลับ…!”   เพื่อนหญิงหัวเราะ ยกมือปัดข้างหน้า   “ยังหัวค่ำอยู่เลยนะทูนหัว   แหม อย่ากังวลให้มากนักเลย ทำตัวตามสบายเถอะ   ไปนั่งฟังเพลงแล้วก็เต้นรำกันให้สนุกสักครู่ก่อนน่า”

สองคนเดินเคียงกันอยู่ข้างหน้าหล่อน   ดอนเดินตามใกล้จนหญิงสาวสัมผัสถึงความอบอุ่นของแขนแข็งแรงที่กระทบกัน ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ   หล่อนปฎิเสธความรู้สึกนั้น   หล่อนยอมรับไม่ได้ว่าคนดีอย่างหล่อนจะพอใจในความใกล้ชิดจากผู้ชายรายชั่วโมงอย่างนี้

หล่อนนึกถึงชิดชัย   และที่หล่อนจำได้ก็มีเพียงความขัดแย้งไม่เข้าใจกัน   ความน้อยใจและแค้นเคือง   เขาหยาบกระด้างเกินกว่าจะเข้าใจถึงความละเอียดอ่อนของอารมณ์หล่อน   และหล่อนก็ใจแคบเกินกว่าจะยอมรับได้ในเรื่องผู้หญิงอื่นๆ ของเขา

และเพราะเขาเป็นฝ่ายเลี้ยงดูหล่อน เขาจึงทำทุกอย่างตามใจชอบ   ไม่ใส่ใจความรู้สึกของหล่อนเลย   วิลาสินีรู้สึกเสมอว่า สามีปฏิบัติต่อคนอื่นๆ และหญิงอื่นๆ ดีกว่ากับหล่อนเสียอีก

ดอนเลือกเครื่องดื่มให้

“เพลงเพราะดีนะครับ   ชอบเพลงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า   อืม.. ผมจะขอให้คุณเพลงหนึ่งนะ   เพลงพิเศษของผม   เพลงที่ผมชอบมากที่สุด”

“เพลงอะไรคะ”

“เดี๋ยวคอยฟังซีครับ”

อรดีและยุทธหายไปในฟลอร์เต้นรำ   ดอนถามหล่อนว่า   “อยากเต้นรำไหมครับ”

“ไม่ค่ะ   ฉันอยากฟังเพลง   นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้มานั่งฟังเพลงจริงๆ แบบนี้   ดีแต่ฟังอยู่ที่บ้าน   ถึงเครื่องเสียงจะดีแค่ไหนแต่ก็ไม่เหมือนฟังจากปากนักร้องจริงๆ   แล้วนี่เขาก็ร้องดีมากด้วย”

“ที่บ้านของคุณมีใครบ้าง”

“สามี”   หล่อนตอบเสีย

งเข้ม

“แล้วใครอีกครับ”   น้ำเสียงเรื่อยปลอดโปร่งแสดงความบริสุทธิ์ใจ   วิลาสินีเสียงอ่อนลง

“เท่านั้นเองค่ะ   สามี   แล้วก็พวกคนรับใช้   คนขับรถ   คนสวน”

“แล้วลูกๆ ล่ะ”

“ไม่มีค่ะ” น้ำเสียงเข้มขึ้นอีก   “นี่คุณคิดว่าฉันเป็นคนอย่างไง   ถ้าฉันมีลูกจะมีหน้ามานั่งอยู่ที่นี่หรือ   ถ้าอย่างนั้นฉันจะเป็นแม่ชนิดไหนกัน”

“ถึงคุณมีลูกแล้วมานั่งอยู่ที่นี่อย่างนี้ก็ไม่มีใครตำหนิคุณได้เหมือนกันครับ   แต่ละคนก็มีปัญหาของตัว   แม้แต่คุณเองยังไม่เข้าใจผู้หญิงด้วยกัน   คุณยอมรับไหมล่ะครับ”

หล่อนเงียบไปครู่หนึ่ง   “ค่ะ อาจจะจริง... แต่ฉันตั้งความหวังกับคำว่าครอบครัวไว้สูงมาก   อาจจะเป็นเพราะครอบครัวดั้งเดิมของฉันแตกแยกกันก็ได้   แต่พอมีสามีฉันก็ต้องผิดหวังอีก   ฉันดีใจที่ไม่มีลูกเพราะไม่อยากให้ลูกต้องมีปัญหาค่ะ”

“คุณจะต้องอิจฉาผมแล้วละ   ผมมีครอบครัวที่น่ารักมาก”

“หมายความว่าคุณมีภรรยาและลูกๆ หรือคะ”

เขาหัวเราะ   “เปล่าครับ   ผมหมายถึงพ่อ แม่ พี่ น้องน่ะครับ   พ่อผมเป็นทหารผ่านศึก พิการ แต่ใจดี   แม่ธรรมะธัมโม ถือศีล เข้าวัดไม่ได้ขาด   ผมมีพี่มีน้องหลายคน   บางคนแต่งงานออกไปแล้ว   คนที่ยังไม่ได้แต่งก็อยู่ด้วยกัน   ทุกคนรักใคร่ปรองดองกันดี”


อีกชั่วครู่ดนตรีก็เปลี่ยนทำนอง   เสียงทุ้มของนักร้องชายทอดกังวานขึ้นอย่างไพเราะนุ่มนวล...   เลิฟ อิส อะ แมนนี สเปลนเดอร์ ธิง...   มืออุ่นแตะหลังมือของหล่อน   “นี่ไงครับเพลงของผม... สำหรับคุณ”

หล่อนนิ่งด้วยความรู้สึกดื่มด่ำ

“เต้นรำกันเถอะครับ…ผมขอร้อง”   คำพูดประโยคหลังวิงวอนเพราะท่าทีปฏิเสธ

ร่างบางที่สมส่วนยอมให้ร่างสูงแตะประคองพาเดินออกไปด้วยความไม่มั่นใจ   หัวใจหล่อนเต้นไม่เป็นจังหวะ   มือเล็กบางในอุ้งมือหนาที่อบอุ่นกลับเยียบเย็น   หล่อนรู้สึกถึงความอบอุ่น แข็งแรงจากมือของเขา…   จากร่างของเขา...

เป็นเวลานานมาแล้ว   ที่วิลาสินีสร้างผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาในความนึกคิด เพื่อทดแทนชิดชัยผู้ซึ่งทำให้หล่อนผิดหวังตลอดมา   ผู้ชายที่เป็นผู้ชาย...ซึ่งจะรักหล่อน   ปกป้องคุ้มครองหล่อนทั้งทางกายและใจ   ผู้ชายซึ่งมีลักษณะทุกอย่างซึ่งชิดชัยไม่มี

เดี๋ยวนี้ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงนี้แล้ว   อย่างน้อยเงาร่างของเขาก็ช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน

มือสัมผัสมือ ต่างแขนต่างเกาะกระชับ   ชายหนุ่มก้มลงพูดที่ข้างหูหล่อน กับทั้งเอียงลงฟังหล่อนพูด   เมื่อแรกวิลาสินีมีอาการขัดๆ ขืนๆ เพราะรู้สึกขัดแย้งปั่นป่วนในความรู้สึกนึกคิด กับแช่งด่าประณามตัวเอง   ดอนทำเป็นไม่เห็น   ลักษณะตามสบาย แต่สุภาพ นุ่มนวลและเป็นมิตรของเขาละลายความขัดแย้งนั้นลงทีละน้อย   ในที่สุดหล่อนก็คิดแต่เพียงว่า หล่อนเป็นผู้หญิงเงอะงะ ล้าสมัยซึ่งไม่มีความมั่นใจในตัวเอง   และเขาเป็นชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งผู้ซึ่งทำให้หล่อนเกิดความหวั่นไหว

หล่อนลืมชิดชัย   ลืมคำว่าผู้ชายหาเงิน   ลืมความรู้สึกนึกคิดว่าตนกำลังประพฤตินอกลู่นอกทางของภรรยาที่ดี

“คุณชอบเต้นรำไหมครับ”

“ชอบค่ะ   ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยฉันไปงานเต้นรำบ่อย   สนุกมาก   แต่เราเต้นกันแต่จังหวะของเด็กๆ จนบัดนี้ก็ยังเต้นสเต็ปไม่เป็นเลย”

“งั้นต่อไปผมจะสอนให้”   เขาพูดหน้าตาเฉย   วิลาสินีสะดุดใจครามครัน   หล่อนไม่ได้นึกถึง ‘ต่อไป’ คิดว่ามันจะจบลงในคืนนี้   ตาสบตา   หล่อนชะงักเมื่อฝ่ายนั้นจ้องมองลงมาอย่างลึกซึ้ง   เสียงพูดนุ่มนวล   “รู้ไหมครับคุณผู้หญิง   คุณเป็นคนสวย... สวยและน่ารักมาก...”

“ฉัน... เอ้อ... ฉันอยากกลับไปนั่ง”   หล่อนตะกุกตะกักไม่เป็นตัวของตัวเอง   เดินกลับไปที่โต๊ะซึ่งไม่มีร่องรอยของอรดี   บิลล์ที่เสียบไว้ในกล่องแก้วก็หายไปด้วย

“เขาไปกันแล้ว”   ชายหนุ่มบอกหล่อน

“ไปแล้ว… ไปไหน…?”   หล่อนถามงงๆ แกมตระหนก   อรดีทิ้งหล่อนไปได้ยังไง

เขาไม่ตอบ   นี่หล่อนไม่รู้จริงๆ หรือแกล้ง   ดูหล่อนช่างอ่อนต่อโลกเสียเหลือเกิน   ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนอย่างหล่อนจะไปด้วยกันได้กับอรดี

“แล้วฉันจะกลับยังไง”   หล่อนถามอย่างว้าวุ่น

“ผมจะไปส่ง”

“ไม่ได้หรอกค่ะ”   หล่อนพูดออกมาทันที แล้วก็เกิดลังเลอีก   ถ้าไม่ให้เขาไปส่งหล่อนจะกลับยังไง   หล่อนไม่เคยไปไหนคนเดียวในเวลาดึกดื่นอย่างนี้

“ถ้าคุณลำบากใจ ผมจะส่งคุณขึ้นรถ”   เขาพูดเหมือนรู้ใจ   “แท๊กซี่ของโรงแรมไว้ใจได้   ไม่มีอันตรายหรอกครับ”

“อย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ”

“คุณต้องการจะไปเดี๋ยวนี้เลยหรือครับ”   น้ำเสียงถามมีกังวานอาวรณ์

หล่อนตอบทันทีว่า   “เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


ดอนขรึมลงเมื่อพาหล่อนมาติดต่อรถแท้กซี่   วิลาสินีแทบไม่กล้ามองผู้ชายร่างสูงที่ตามอยู่ข้างๆ   ปฏิเสธความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ผุดขึ้นมาร้องเลียนประท้วงในใจเป็นพัลวัน

“ผมหวังที่จะได้พบกับคุณอีก”   เขาเขียนลงในกระดาษโน้ตสีขาวแผ่นเล็กยื่นให้   หล่อนรีบเก็บมันไว้ในกระเป๋าถือ   มันคือเบอร์โทรศัพท์ของเขา

“ค่ะ บางทีฉันจะโทรถึงคุณ...”   หล่อนอึกอัก   รู้สึกแปลกๆ เมื่อถาม   “เอ้อ...ฉันจะต้องจ่าย.….”

“ไม่ต้องหรอกครับ เพื่อนของคุณจัดการแล้ว”

หล่อนยิ้มเก้อๆ   “ถ้าอย่างนั้นสวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”


วิลาสินีกลับมาสู่โลกของหล่อน   โลกของความว้าเหว่เงียบเหงา   น้อยเนื้อต่ำใจ…

เมื่ออยู่ในความทุกข์ หล่อนพลิกความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นขึ้นมา   หล่อนจำรายละเอียดของเขาได้ทั้งหมด   รูปกาย สายตา ลักษณะท่าทาง น้ำเสียงและคำพูด   หล่อนยังจำได้ถึงไออุ่นที่ได้สัมผัสและความรู้สึกดื่มด่ำที่วาบขึ้นในใจครั้งแล้วครั้งเล่า   เขาแทนที่ผู้ชายในมโนนึกของหล่อน   หล่อนนึกฝัน สร้างเสริมแต่งเติม   เก็บเขาไว้เป็นเพื่อนปลอบใจ เพื่อจุดความอบอุ่นและความรักอันขาดแคลนเสียเหลือเกินแล้วในโลกที่แท้จริง


อรดีมาหา   เมื่อคุยเท้าความไปถึงการพบกันครั้งนั้น   วิลาสินีก็ต่อว่าที่เจ้าหล่อนทิ้งกลับไปก่อน

“ต๊ายตาย ใครจะมานั่งรอคุณอยู่ล่ะ   ของพรรค์นี้มันเก๊าะต้องตัวใครตัวมันซีจ๊ะ”   อรดีกรีดเสียง   หัวเราะคิกคักก่อนจะลดลงเป็นกระซิบกระซาบ   “ว่าแต่คุณเถอะเป็นยังไงมั่ง   ออกจากที่นั่นแล้วไปไหนต่อ”

“ก็กลับบ้านน่ะซิ   เขาส่งฉันขึ้นรถแท้กซี่ของโรงแรมกลับมา”

“ต๊าย... จริงเหรอ...”

วิลาสินีถามว่า   “วันนั้นคุณจ่ายแทนฉันไปเท่าไหร่คะ   ฉันจะได้คืนให้”

“อุ๊ย ไม่ต้องหรอก   นี่ คุณผู้หญิงจ๊ะ   ฉันจะบอกให้ว่าพ่อยอดชายของคุณ เขาไม่ยอมรับเลยสักบาทเดียว”

หล่อนมองอย่างแปลกใจ   “อ้าว ทำไมล่ะคะ”

“ไม่รู้   ฉันฝากเงินไปกับยุทธ แต่เขาให้เอามาคืน   บางทีเขาอาจจะชอบคุณขึ้นมาจริงๆ ก็ได้นะ   ผู้ชายขายตัวก็มีหัวใจเหมือนกันนี่”

“ฮื้อ... อย่าพูดเหลวไหลเลย”

“อ้าว จริงๆ นะ   คุณลองโทรไปหาเขาซี   ฉันจะเขียนเบอร์โทรศัพท์ให้นะ”

วิลาสินีรีบห้ามโดยเร็ว   “อย่าเลย... ฉันไม่คิดจะทำอะไรอย่างนั้นอีกแล้ว”

“แล้วจะมานั่งตรอมตรม น้ำตาเช็ดหัวเข่าต่อไปยังงั้นหรือจ๊ะ”   อีกฝ่ายส่ายหน้า   “ไม่รู้จะคร่ำครึไปถึงไหน คุณน่ะ   ทำตัวทำใจให้สบายหน่อยไม่ได้หรือยังไง   แล้วสุขภาพจิตก็จะดี อายุก็จะยืนด้วย   พบหน้าสามีก็ยิ้มหน้าชื่นให้เขาได้ ไม่ต้องขุ่นมัวหงุดหงิดหาเรื่องทะเลาะกันให้เหนื่อย”

“แต่ถ้าเขารู้ มันจะยิ่งกว่าทะเลาะนะ”

“ก็ให้รู้ไปซี   เขาอยากทำก่อนนี   เราก็ทำมั่ง แข่งกัน”

“เฮ้อ”   หล่อนครางเสียงดังอย่างเหนื่อยใจ


วันเวลาผ่านไป   วิลาสินีไปทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับชิดชัย   หล่อนว่างน้อยลงมีสังคมมากขึ้นและเกือบจะลืม ‘ดอน’

วันหนึ่ง... ชิดชัยพาหล่อนไปงานเลี้ยงรับรองฉลองการสมรสของลูกชายนักธุรกิจใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งเกี่ยวพันกัน   หล่อนเดินตามชิดชัยต้อยๆ   ต่อหน้าคนอื่น คนทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่ปรองดองกลมเกลียว   ชิดชัยเองก็ชอบที่จะอวดหล่อนกับคนอื่น   น้อยคนจะรู้ว่าคนทั้งสองไปด้วยกันไม่ได้เลยในเรื่องความคิดเห็น   การกินอยู่   รสนิยม   ตลอดจนถึงกามารมณ์   อันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่ยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์   ฝ่ายชายไปแสวงหาความตื่นเต้นแปลกใหม่กับสาวอื่น ทิ้งให้ภรรยาอยู่บ้านอย่างเหงาหงอยกับความรู้สึกหดหู่ไร้ค่า

แล้วหล่อนก็เห็น ‘ดอน’

ร่างสูงในเสื้อผ้าภูมิฐานยืนอยู่ในกลุ่มคน   หัวใจหล่อนกระตุกวาบทำอะไรไม่ถูกเมื่อเขายิ้มให้ด้วยสีหน้าของมิตร   เขายกแก้วเครื่องดื่มชูให้ก่อนจะดื่ม   ยิ้มอีกครั้งแล้วหันเดินลับหายไปจากสายตา

“ดอน”   หล่อนเรียกเขาอยู่ในใจ   รู้สึกว่าจิตใจถูกก่อกวนให้ปั่นป่วน   ดูเถอะ เพียงชั่ววูบที่เห็นเขา หล่อนก็เป็นไปได้ถึงเพียงนี้   ความคิดคำนึงถึงซึ่งตกตะกอนอยู่ที่ก้นบึ้งถูกก่อกวนคลุ้งกระจายขึ้นมาอีก   ไม่ว่าจะพูดจะคุยกับใคร   หล่อนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง   จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สอดส่ายสายตามองหาเขาแต่เพียงผู้เดียว

คืนนั้นชิดชัยต้องการหล่อนแต่หล่อนปฏิเสธ   ไม่อาจยินยอมในขณะที่หัวใจวุ่นวายถึงผู้ชายอีกคนหนึ่ง   ชิดชัยโกรธปึงปังออกจากบ้าน   “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยนะ   ดีละ แล้วอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”

แสงไฟจากท้ายรถหายลับ   ช่างเถอะ   เขาจะไปไหน ไปอยู่กับใคร หล่อนไม่สนใจอีกแล้ว   วันเวลาที่ผ่านเลย   เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ได้เคี่ยวเข็ญ กัดกร่อน ทำลายความผูกพันทางใจระหว่างคนทั้งสองลง   และเพราะดอน… เพราะความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น   วิลาสินีจึงได้ตระหนักว่าหล่อนไม่ได้รักชิดชัยอีกแล้ว

ชิดชัยไม่ได้กลับบ้านในคืนนั้น   เขากลับมาในตอนเย็นวันรุ่งขึ้น   อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปอีก

แล้ววิลาสินีก็โทรศัพท์ถึงดอน

กระดาษบางสีขาวยับยู่ยี่   หล่อนเคยขยำมันทิ้งมันลงตะกร้าผง แต่แล้วก็เก็บกลับมาซุกไว้ที่มุมในของลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง   ครั้งนี้หล่อนรื้อค้นมันออกมา   คลี่ออกอย่างทะนุถนอม

“ดอนไม่อยู่ค่ะ”

เสียงตอบจากทางปลายสายทำให้หัวใจของคนฟังหายวูบและหดหู่   เขาคงจะออกไปทำงาน...ไปหาเงิน…..

“จะให้บอกไหมคะว่าใครโทรมา”

“ค่ะ” หล่อนรู้สึกสับสน   “บอกว่า...”   อะไรนะ ชื่อปลอมของหล่อน ที่อรดีตั้งให้   “เอ้อ... แดงโทรมาค่ะ”

“เบอร์โทรศัพท์ล่ะคะ”

“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ   แล้วฉันจะโทรมาเอง”

หล่อนวางหูโทรศพท์อย่างผิดหวัง คร่ำครวญกับตัวเอง   ไม่อยู่... ไปหาเงินแน่แล้ว...   โธ่เอ๋ย วิลาสินี...   หล่อนช่างน่าสมเพชกระไรเช่นนี้……

หล่อนฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทิ้งลงในที่เขี่ยบุหรี่ แล้วยังเผามันไหม้เป็นจุล   รู้สึกเหมือนหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ พลางก่นด่าตัวเอง   วิลาสินีที่น่าสงสาร   นี่หล่อนสิ้นคิดถึงขนาดนี้เทียวหรือ   กับแค่ผู้ชายหาเงิน   หล่อนคิดคำนึงถึงเขา   หลงรักเขา   เป็นไปได้ยังไงกัน

หล่อนร้องไห้จนหลับไป

ยานอนหลับทำให้ตื่นสายตามเคย   ไม่มีร่องรอยว่าชิดชัยได้กลับมาบ้าน   มีเสียงโทรศัพท์ดังเรียก

หล่อนงุนงงรับสาย “ฮัลโหล”

“คุณวิลาสินีหรือครับ”

หล่อนใจวูบ ตื่นทันทีในวินาทีนั้น   “ค่ะ นั่น.....??...”

“ผมดอนครับ”

‘ดอน’   หล่อนเรียกเขาเพียงในใจ เพราะที่เขาได้ยินคือความเงียบ

“คุณวิลาสินีครับ”

“คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”

“คนในงานเลี้ยงวันก่อนบอกผม”   น้ำเสียงเขามีกังวานขบขัน   “ทีนี้คงไม่ต้องถามแล้วนะครับว่าทำไมรู้เบอร์โทรศัพท์ของคุณ”

หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองโง่เต็มทน   “คุณโทรมาทำไม”

“คุณโทรมาหาผมเมื่อคืนนี้”

“ใครบอก…!!”

“น้องสาวผมครับ”

“ฉันเปล่านะ”

“คุณผู้หญิงครับ   ผมให้เบอร์นี้กับคนคนเดียวคือคุณ   แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมไม่รู้จักใครที่ชื่อแดง   ชื่อคุณที่คุณอิ๋วแนะนำคือแอ๋วนะครับ”

หล่อนอายจนอยากละลายหายไปในอากาศ   “ฉัน...เอ่อ…ฉันแกล้งโทรไปอย่างนั้นเอง   ที่จริงฉันเพียงอยากถามอะไรคุณบางอย่าง”

“ตกลงครับ ผมจะให้ถาม   แต่ไม่ใช่ทางโทรศัพท์นะครับ   ผมจะไปรอคุณที่...”   เขาเอ่ยชื่อโรงแรมชั้นหนึ่งแห่งหนึ่ง   “ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย และจะไม่ไปไหน   ไม่ทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าคุณจะไปถึง”

หล่อนนิ่ง

“คุณผู้หญิงครับ… ได้โปรดเถอะ”   น้ำเสียงอ่อนเว้าวอน   วิลาสินีหัวใจอ่อนยวบ

“ตกลงค่ะ ฉันจะไป”


ดูเหมือนความมีชีวิตชีวาได้กลับมาสู่หล่อนอีกครั้งหลังจากที่มันได้เหือดหายไปแล้วเนิ่นนาน   หล่อนเคลื่อนไหวอย่างกระปรี้กระเปร่า   ฮัมเพลงอย่างเบิกบานใจ   พิถีพิถันเลือกเสื้อผ้า น้ำหอมและใส่สีสันบนใบหน้า   “สวยแล้ว”   หล่อนมองตัวเองอย่างพึงพอใจ   หล่อนได้ปล่อยปละละเลยตัวเองมาเป็นเวลานาน   เคยซังกะตายแต่งๆ ไปอย่างนั้น   หล่อนเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนหุ่นไร้ชีวิตจิตใจซึ่งมีชิดชัยเป็นเจ้าของ   และเขาก็มักจะมองข้ามหล่อนไปอย่างไม่เห็นคุณค่า


ดอนรออยู่ก่อนแล้ว   ร่างสูงได้สัดส่วนดูแข็งแกร่งมั่นคง   เขาสวมเสื้อยืดสปอร์ตพอดีตัวเรียบง่าย   นัยน์ตาแพรวพราวสีหน้าระบายยิ้ม

“สวัสดีครับ ดีใจจังที่คุณมา”

“ฉันอยากถามอะไรคุณบางอย่างเท่านั้น”   หล่อนปากแข็งเตือนย้ำ

“ถามได้ทุกอย่างเลยครับ   แต่ว่าตอนนี้ผมหิว   ไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า”

เขาพาเข้าไปในห้องอาหาร   วิลาสินีอดสงสัยไม่ได้ว่าหล่อนจะต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินหรือไม่   ไม่ใช่เสียดายเพียงแต่หล่อนทำตัวไม่ถูก

แต่เขาเป็นฝ่ายจ่ายเงินอย่างไม่อิดออด   ท่าทางปลอดโปร่งสุขสำราญ   เขาหาเรื่องมาคุยได้ไม่ขาด

มันเป็นอาหารมื้ออร่อยที่สุดในรอบหลายปีของหล่อน

“เราไปนั่งรถเล่นกันดีกว่า”   เขาชวน   “ไปรถผมนะครับมาดาม   รับรองว่าปลอดภัยเสมอ”

หญิงสาวไม่เคยมีความสุขอย่างนี้มาก่อน   เมื่ออยู่กับเขาหล่อนรู้สึกเหมือนโลกได้เปลี่ยนหมุนกลับทาง   มันช่างสดใสสวยงาม   มองไปทางไหนก็ดูเหมือนทุกสิ่งและทุกคนจะยิ้มกับหล่อน

หล่อนไม่ถามว่าเขาจะพาไปไหนและไม่แคร์ด้วย   เขาขับรถไปสู่ชนบท   พูดคุย หัวเราะให้กัน   เขาพาหยุดที่นั่น แวะที่นี่   ชี้ชวนกันเที่ยวอย่างเพลิดเพลิน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว   วิลาสินีใจหายเมื่อเขาพากลับมาส่ง   “สนุกไหมครับวันนี้”

“สนุกมากค่ะ   เชื่อไหมคะว่า ฉันเพิ่งจะหัวเราะดังที่สุดในวันนี้เอง”

“งั้นเมื่อไหร่จะพบกันอีก”

“บางทีอาจจะเร็วๆ นี้”   หล่อนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะต้องถาม   “ฉัน...เอ้อ…จะต้องจ่ายเท่าไหร่คะ”

ใบหน้าสดใสของเขาหมองลง   “ไม่ต้องหรอกครับ”

“ฉัน... เอ้อ… ขอโทษถ้าคุณโกรธ   แต่ว่า...ฉัน...เอ่อ ฉันเพียงแต่.....”

“ผมรู้แล้ว”

“ก็มันเป็นงานของคุณนี่คะ”

“เวลาอยู่กับคุณ ผมไม่ได้คิดว่ากำลังทำงาน   ผมทำด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพื่อเงิน”

ความจริงจังในดวงตาคู่นั้นทำให้ใจหล่อนอ่อนยวบ   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่พบคุณอีก   เรื่องของเราจะเอาหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้”

ดวงตาคมเข้มมองหล่อนอย่างเพ่งพิศ   “ตกลงครับ มาดาม   ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น ต่อไปเราจะพูดกันด้วยเงิน”

……………

“คราวนี้ฉันจะออกค่าน้ำมันรถ   ค่าอาหาร   แล้วก็จ่ายค่าตัวให้คุณด้วย”

หล่อนพูดอย่างหยอกเย้าขณะที่เขาพาหล่อนนั่งรถออกสู่ชนบทอีกครั้ง   ชายหนุ่มหันมายิ้ม

“จะให้สักเท่าไหร่”

“เท่าไหร่ก็ได้   ให้หมดเท่าที่มี”

“แน่ใจหรือว่าให้หมด”

ดวงตาแพรวพราวของเขาทำให้หล่อนรู้ตัว   ทุบเขาครั้งหนึ่ง   “ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นนะ”

“งั้นผมไม่รับ   ผมไม่รับเงินนอกจากจะได้ทำงานคุ้มค่า”

“แต่คุณทำเกินคุ้มแล้วนะคะ   คุณทำให้ฉันสบายใจ   ฉันมีความสุขมากจริงๆ”

เขามองหล่อนอย่างหยอกเย้า   “นี่ยังไม่ใช่ความสุขมากจริงๆ หรอก……อยากลองไหม”

หล่อนหันหน้าแดงๆ ไปทางอื่น   “ลองอะไร”

“ที่จริงคุณก็แสนรู้   แต่บางครั้งทำไมทึ่มจัง”

“ต๊าย...” หล่อนหันมาทุบเข้าให้   ฝ่ายนั้นหัวเราะ ยึดข้อมือไว้

หล่อนชอบสัมผัสนั้นแต่ก็จำใจดึงหนี   ดอนปล่อยแต่โดยดี

“คุณทำงานอย่างนี้นานเท่าไหร่แล้ว”

“ถามทำไม”

“ก็อยากรู้น่ะซีคะ”

“งั้นเล่าเรื่องของคุณมาก่อนสิ”

“จะให้เล่าอะไรล่ะคะ”

“อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับตัวคุณ   พ่อแม่...ญาติพี่น้อง”

“ฉันไม่มีพ่อแม่หรอก   พวกเขาตายกันหมด”   น้ำเสียงของหล่อนอ้างว้าง   “ฉันอยู่กับพี่ๆ   เราไม่ค่อยรักกัน   พวกเขาคอยจับผิดกันและกัน   ฉันอยู่หอพักตอนเรียนมหาวิทยาลัย   ชีวิตตอนนั้นสนุกดี   แต่พอจบ เพื่อนๆ ก็แตกกระจายหายจากกันไปหมด   ฉันทำงาน   แต่พอทำๆ ไปแล้วไม่พอใจเจ้านายก็เลยลาออก   ทีนี้มันเป็นบุพเพสันนิวาส   ฉันไปทำงานกับคุณชิดชัย   เขาเป็นเพลย์บอย   แต่ว่าตอนนั้นฉันคิดฝันเกินความจริงไปหน่อย   ฉันอยากรวย และฉันคิดว่าชีวิตแต่งงานจะต้องมีความสุข   ฉันก็เลยแต่งกับเขา”

“อ้อ”

“แต่ฉันผิดหวัง….. ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด”

“งั้นอะไรสำคัญล่ะครับ”

หล่อนยกไหล่ยิ้มๆ

อีกฝ่ายถามอ่อนโยน   “ความรักใช่ไหม…”

“เปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึงความรัก   มันเป็นเรื่องของความเพ้อฝันเท่านั้น   มันอยู่ไกลเกินกว่าฉันจะเอื้อมถึง”

“ไม่จริงหรอกครับ   คุณเอื้อมถึงถ้าคุณต้องการ.…. เชื่อผมไหม”

“ไม่เชื่อค่ะ”

“งั้นก็ลองยื่นมืออกมาซี   คุณได้แน่ถ้าคุณกล้าพอ”

วิลาสินีมองเขาอย่างลังเล   หล่อนไม่กล้าพอจริง ๆ

“ผมเคยยากจนมาก”   เสียงทุ้มเล่าเจือหัวเราะ   “พ่อพิการ แม่ก็เคยทำงานหนักมาก แต่มีรายได้เล็กน้อยเท่านั้น   พวกเราพี่น้องทำงานกันตั้งแต่เล็ก   ทำไปเรียนไป   แล้วคนโตๆ ก็ต้องเลิกเรียน เพื่อทำงาน ส่งเสียพ่อแม่กับน้องๆ   รู้ไหม   ผมเรียนไม่จบมอปลายด้วยซ้ำ...   ผมมองดูพ่อ ดูแม่ พี่ๆ แล้วก็น้องๆ   ผมเกลียดความจนที่สุดเลย   ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมผมมีชีวิตแบบนี้…..   เพราะเงินไงครับ   ผมต้องการเงิน   แล้วผมก็ได้มัน.….

…เดี๋ยวนี้พ่อผมสบายขึ้น   แม่ก็ไม่ต้องทำงานหนักอีก   เรามีร้านค้าเป็นบ้านตึกอยู่ในทำเลที่ดีมาก   น้องสาวคนหนึ่งรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า   อีกคนขายของ   น้องชายอีกสองคนกำลังเรียนหนังสือ   ส่วนพี่สาวอีกสองคนก็ยังไปมาหาสู่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน   ตัวผมเองกำลังคิดจะลงทุนอะไรสักอย่าง   ผมรู้ตัวดีว่าเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้   ผมจะต้องเลิก   เพียงแต่ยังมีเงินไม่มากพอ”

“คุณจะเลิกได้รึ...   งานสนุก ๆ อย่างนี้”   หล่อนเย้า

“ต้องเลิกได้ซิ เพราะผมตั้งใจอย่างนั้น   ผมอยากมีงานที่จะคุยกับคนอื่นได้อย่างภาคภูมิใจ”   น้ำเสียงทุ้มบอกความตั้งใจจริง

หล่อนเย้าว่า “งั้นทำไมไม่หาเศรษฐีนีสักคนล่ะคะ”

เสียงตอบกลับจริงจัง   “ผมจะอยู่กับคนที่ผมรักและผมหวังที่จะมีชีวิตอย่างอิสระ   คุณคิดว่าไม่มีคนขอให้ผมแต่งงานด้วยหรือ   มีหลายคนเลยนะ   แต่ผมนับถือตัวเองเกินกว่าจะยอม   รู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ผมเป็นผู้ชายขายตัว   ปรนเปรอได้กระทั่งผู้หญิงแก่   เหี่ยวย่น   อ้วนน่าเกลียด   ผมรับเงินจากเขา   แต่สิ่งที่ผมไม่เคยทำคือขอ   ไม่เคยขอไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม   มันเป็นเรื่องฝืนใจยังไงไม่รู้”

“ถ้าฉันมีเงิน ฉันคงให้คุณทั้งหมดก่อนที่คุณจะขอ”   หล่อนพูดยิ้มๆ   “คุณเป็นคนน่ารักและน่าทึ่งมากตั้งแต่ฉันเคยพบมา”


เมื่อสิ้นวัน หล่อนยื่นซองธนบัตรให้   ดอนมองดูยิ้มๆ   “คุณเก็บเอาไว้ก่อน”

“รับไปเถอะค่ะ   ฉันอยากช่วยให้ความฝันของคุณเป็นจริง”

“แล้วความฝันของคุณล่ะ   จะให้ผมช่วยให้มันเป็นจริงไหม”   เขาย้อนยิ้มๆ แต่ประกายตาจริงจัง   “ทำไมเราไม่ช่วยกันและกันล่ะครับ”

“ช่วยกันและกันยังไงคะ”

“ก็ในส่วนของความรักไง”

“ไม่ได้หรอก   ฉันมีสามีแล้ว”

“หย่ากับเขาเสียซิ”   น้ำเสียงตอบจริงจัง

วิลาสินีนิ่งอึ้ง

“ฉันเคยคิดจะหย่า แต่ตอนนี้ฉันยังมีเขาอยู่นี่คะ   เอาละ   คุณรับเงินไปเถอะค่ะ   ฉันจะไปละ”

ร่างใหญ่ดึงหล่อนเข้าไปกอด   ประทับจูบลงที่ริมฝีปากอย่างรวดเร็ว   วิลาสินีตัวชาวาบ

“ผมไม่รับเงินของคุณ”   กว่าหล่อนจะรู้ตัว เขาก็ผละจากไปแล้ว


วิลาสินีอยากจะตัดใจจาก ดอน   แต่จนแล้วจนรอดหล่อนก็ทำไม่ได้   หล่อนไปพบเขาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า

ครั้งนั้น… หล่อนเผลอตัวยอมให้ชายหนุ่มกอดและจูบ   เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำไปกับสัมผัสอันให้ความรู้สึกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน   นี่แหละคือความรัก… หล่อนบอกตัวเอง…   มันช่างดื่มด่ำ ลึกซึ้ง   ไม่เหมือนความรู้สึกจากสัมผัสของชิดชัย ผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องรองรับอารมณ์คนที่ทำร้ายจิตใจหล่อนซึ่งเป็นภรรยาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคนนั้น

แต่ครั้นชายหนุ่มรุกล้ำก้ำเกินมากขึ้น หญิงสาวก็ขัดขืน   สับสนกับการต่อสู้ระหว่างความรักความต้องการและสำนึกของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี   ดอนเคยผ่านผู้หญิงหลากหลายจึงคิดว่าหล่อนแกล้ง   เขาหักหาญหนักขึ้น   หล่อนต่อสู้จนเขาแปลกใจ

“ปล่อย... อย่าทำอย่างนี้กับฉัน”   น้ำตาหล่อนไหลเป็นทาง

“วิลาสินี...”   เขาเรียกอย่างงุนงง   “ทำไมล่ะ”

“ฉันเกลียดคุณ”   หล่อนกรีดเสียง

“ถ้าคุณโกรธผมก็ขอโทษ   ผมเสียใจจริงๆ   ผมรักคุณ   ผมคิดว่าคุณก็ต้องการผม”

หล่อนทุบเขาอย่างขัดเคือง   “คุณคิดว่าฉันเลวใช่ไหม   ฉันวิ่งตามคุณมาครั้งแล้วครั้งเล่า   ยอมให้คุณกอด ให้คุณจูบ   ที่แท้คุณก็คิดไม่ดีกับฉัน   คุณต้องการเพียงแค่นี้เอง...   ฉันจะไม่มาพบคุณอีก”

“วิลาสินี   ผมรักคุณจริงๆ นะ”

“ไม่เชื่อ”

“เชื่อผมเถอะ   เอาละ ผมไม่ทำอะไรคุณแล้ว”   เขากอดหล่อนไว้   จุมพิตปลอบอ่อนโยน   “วิลาสินี   ถ้าผมต้องการเรื่องแบบนี้ ผมไปกับใครก็ได้ ทำไมจะต้องมาฝืนใจคุณ”   น้ำเสียงพูดต่อหยอกเย้า   “คุณไม่ใช่สาวแล้วนะ   ซ้ำสามีก็ยังเบื่อแล้วอีกด้วย”

“บ้า...คนบ้า….”   หล่อนทุบเข้าให้

ดอนจับมือไว้   หัวเราะเบาๆ

หล่อนซุกหน้าลงกับอกเขา   “ไม่ทำอย่างนั้นอีกนะ”

“ไม่…” เขาพูด แล้วก็กล่าวแก้เจือหัวเราะ   “จะยังไม่ทำตอนนี้”

หล่อนพูดเบาๆ “ฉันรักคุณ”

“ผมก็รักคุณ   มาอยู่กับผมเถอะนะ”

“ฉันยังมีสามีอยู่”

“หย่ากับเขาซิ   ผมสัญญาว่าผมจะเลี้ยงดูคุณเอง”


ในที่สุด หล่อนหย่ากับชิดชัยและมาอยู่กับดอน

หล่อนมาตัวเปล่า   ไม่มีสมบัติมากนัก เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมหย่าให้ง่ายๆ   ดังนั้นจึงไม่ต่อรองเรียกร้องตามสิทธิของภรรยา

เรือนหอของหล่อนคืออพาร์ตเม้นต์เล็กๆ ไม่ไกลจากร้านค้าซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวดอน   เขายังมีภาระต่อพ่อ แม่ พี่ๆ และน้องๆ ของเขา

ดอนหาเลี้ยงหล่อน   ให้ความรัก ความเอาใจใส่ เงินทอง ข้าวของ   ยามว่างเขาพาหล่อนไปเที่ยวทุกที่ที่หล่อนอยากจะไป

แต่เขาก็มีงานที่จะต้องทำ.….

“ดอนคะ   ฉันไม่อยากทำกับข้าวเลยเย็นนี้”

“เดี๋ยวผมไปซื้อให้”

“ไม่... เราไปกินข้างนอกกันด้วยนะ”

“ทูนหัว”   เขาจูบหล่อน   “คืนนี้ผมไม่ว่างจ้ะ”

“เดี๋ยวฉันจะไปเลือกหนังเรื่องสนุกๆ มาดูกันนะคะ”

“ตามใจคุณเถอะจ้ะ แต่ว่าคืนนี้ผมมีงานนะ”

“ดอนคะ   คืนนี้ฉันมีเป็ดร่อน   ยำปลาหมึก   กุ้งเผา   แล้วก็เบียร์เย็นเจี๊ยบเลยด้วยละ”

“ที่รักจ๋า เก็บไว้พรุ่งนี้เถอะ   ผมสัญญาพรุ่งนี้ผมจะอยู่กับคุณ”


แล้ววิลาสินีก็ถึงกาลต้องกรีดร้องอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป   “ฉันเกลียดงานของคุณ ดอนคะ   ฉันอยากให้คุณเลิกทำงานนี้เสียที”

“ยอดรัก   อย่าพูดอย่างนี้ซีจ๊ะ   ผมจะเลิก   แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานะ”

“แต่งานบ้าๆ นั่น   ฉันเกลียดมัน…..”   น้ำตานองใบหน้าสวยๆ ของหล่อน   “ฉันทนไม่ได้…คุณไปกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้…….”   ครั้งแล้วครั้งเล่าหล่อนบอกเขาอย่างนั้น

เขาได้แต่ปลอบหล่อนว่า   “อย่าไปคิดถึงมันซิว่าผมไปทำอะไรกับใคร   เวลาผมไม่อยู่คุณก็หาเรื่องทำอะไรไปให้เพลิน   เวลามีผมคุณก็นึกถึงแต่ตัวผมเท่านั้น   อย่าไปนึกเรื่องอื่น”


เมื่ออยู่ในอ้อมกอดเขา   วิลาสินีไม่สามารถที่จะปัดป่ายภาพของเขากับผู้หญิงอื่นออกไปได้   ผู้หญิงสาวและแก่   สวยและน่าเกลียด   ผอมแห้งและอ้วนเผละ   ใครก็ได้ที่ให้เงินแก่เขา   และเขาก็ปฏิบัติต่อพวกหล่อนอย่างอ่อนโยน ละมุนละไม   หล่อนรู้สึกขยะแขยง   กระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก   ความรู้สึกนั้นคอยรบกวนหล่อนแม้เมื่ออยู่กับเขา

เพื่อหนีจากความรู้สึกนั้นวิลาสินีมอมเมาตนเองโดยหันมาใช้เหล้า

และก็เหมือนอย่างเมื่อครั้งหล่อนยังอยู่กับชิดชัย   หล่อนจบเวลาในตอนกลางคืนที่เปล่าเปลี่ยวด้วยเหล้ายานอนหลับหลายเม็ด.…..


( นิยายเรื่องนี้ เคยลงพิมพ์ใน “เรื่องสั้นขนาดยาว” นิตยสาร สกุลไทยรายสัปดาห์ ประมาณปี พ.ศ. 2525-2526 )