เรื่องสั้น งานเขียนจากผู้อ่าน | |
18 | ประตูวิเศษ |
27 | ผู้วิงวอน |
33 | กว่าจะรู้ว่ารัก |
46 | มาดาม |
47 | ย้อนรอยรัก |
48 | เธออยู่ไหน |
49 | ครอบครัว |
หน้าที่
1/1 |
ศรันย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดตา เขาผอมดูคล้ำเกรียม ร่างสูงเคยสง่า ไหล่กว้างผึ่งผาย บัดนี้เหี่ยวห่ององุ้มอย่างคนสิ้นหวัง ใบหน้ายังมีเค้าคมคาย แต่สีหน้าและแววตากระตือรือร้นมีชีวิตจิตใจหายไป เหลือเพียงความสลดมัวหมองปรากฏอยู่
เขาชะงักเมื่อเห็นฉันและมีท่าทีเหมือนไม่อยากจะพบ เขาคงจะวูบหนีไปถ้าหากเราไม่เผอิญเผชิญหน้ากันตรงๆ ในระยะใกล้เพียงนั้น
ฉันยิ้มให้ เดินตรงเข้าไปหา
“สวัสดี ศรันย์”
เขาไม่ได้ตอบในทันที “สวัสดี เอม สบายดีหรือ”
“ค่ะ” ฉันมองเขาอย่างอาทร “คุณล่ะ”
เขาไม่ตอบ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปาก ฉันรู้สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของเขาดี ฉันเห็นใจเขา แม้ว่าเขานี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้ฉันต้องปวดร้าวปานกัน
“ไม่ได้พบกันนานแล้วนะคะ เกือบห้าเดือนแล้วกระมัง ตั้งแต่วันที่คุณเดินทางไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น” ฉันทำน้ำเสียงให้ร่าเริง “มีเวลาหรือเปล่าคะ คุยกันหน่อยได้ไหม”
“ได้ซิ”
เราเดินตามกันเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง เวลานั้นเลยเที่ยงวันไปมากแล้ว ผู้คนจึงไม่พลุกพล่าน เราเลือกโต๊ะกลมตัวเล็กใกล้กระถางปาล์ม ประดับห้องติดหน้าต่างกระจกสีชาอ่อน มีม่านสีเขียวใสขึงบังตาคนภายนอกไว้
ฉันสั่งเครื่องดื่ม และอาหารว่าง ทั้งๆ ที่ไม่หิวเลยแม้แต่น้อย
“คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ” ฉันถามยิ้มๆ พยายามทำให้บรรยากาศแจ่มใส “หรือว่าผู้ชายก็ชอบช้อปปิ้งเหมือนกัน”
“ผมไม่รู้ว่าจะไปไหน” เสียงของเขาขรึมเศร้า แม้ว่าเขาจะยิ้ม พยายามพูดให้ “นั่งรถมา เขาจอดป้ายนี้นาน คนลงกันเยอะ ผมก็เลยเดินตามเขาลงมามั่ง
“อ้อ เหมือนกันเลยซีคะนี่” ฉันหัวเราะ
“คุณยังทำงานอยู่ที่เดิมรึ เอม”
“ค่ะ”
ฉันตอบ ที่เดิม... คือที่ทำงานเก่าของเขา... และของชาลินีด้วย เป็นบริษัทใหม่ที่มีกิจการกว้างขวางมั่นคง แต่ศรันย์ลาออกเพื่องานที่ก้าวหน้าและท้าทายกว่า เขาทำเพื่อชาลินี....
“งานเป็นยังไงบ้าง”
“ดีค่ะ ฉันได้เลื่อนตำแหน่ง มีความรับผิดชอบมากขึ้น เงินเดือนดีขึ้น”
“ชาล่ะ” เขาพยายามทำเสียงเป็นปกติ “ผมไม่ได้พบกับเขานานแล้ว”
“ฉันรู้ ชาสบายดี”
“คุณยังสนิทกันเหมือนอย่างเดิมหรือเปล่า”
“เราไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกันหรอกค่ะ หน้าที่การงานเปลี่ยนไป ฉันอยู่ไม่ห่างจากเขานัก เห็นหน้า ยิ้มทักกันเกือบทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยด้วย แต่ก็ดูเขามีความสุขดี”
“ชาไม่ค่อยมีเพื่อน แปลกนะ คุณสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่มีแต่คนรักคุณ ผิดกับชา....” เขารำพึง
“แหม... ไม่อย่างนั้นหรอก ศรันย์”
“จริงๆ” เขาพยักหน้า.... “ผมเป็นห่วงชา ถ้ามีปัญหาเขาคงไม่รู้ว่าจะปรึกษาใคร รู้ไหมเอม ผู้ชายคนนั้นเคยทำให้ผู้หญิงเสียใจมาแล้วหลายคน เขาไม่จริงจังกับใครง่ายๆ แล้วชามีอะไรถึงจะเอาชนะใจเขาได้”
ฉันมองดูเขาอย่างเห็นใจ ศรันย์รักชาลินี และแม้เธอจะตีจากเขาไปอย่างไม่ใยดี เขาก็ยังห่วงใยเธออยู่
ชาลินีและฉันจบจากมหาวิทยาลัยในปีเดียวกัน ความที่ต่างก็เป็นคนใหม่ในที่ทำงานทำให้เราหันหน้าเข้าหากันและกลายเป็นเพื่อนสนิทไปโดยปริยาย ชาลินีเป็นคนสวย แบบบาง เก็บตัว และเข้ากับคนได้ยาก บางครั้งดูเหมือนไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ผู้ชายหลายคนสนใจเธอ แต่ไม่กล้าเข้าถึงตัว เพราะกลัวท่าทางเฉยเมยคล้ายมึนชานั้น ฉันคิดว่าเธอเองก็ว้าเหว่ต้องการเพื่อน แต่เธอระแวงระไวเลือกคบคน ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
ศรันย์ทำงานในอีกแผนกหนึ่ง เราเดินสวนกัน เผชิญหน้ากัน และอยู่ด้วยกันในลิฟท์ เขาเป็นฝ่ายยิ้มให้ก่อนอย่างทอดไมตรี ฉันยิ้มตอบ จากนั้นเราก็ทักทายกันเรื่อยมา เมื่อมีชาลินีอยู่ด้วยเขาจะส่งยิ้มและคำทักทายเลยมาให้ แต่เธอมักเมินหน้าหนีหรือไม่ก็หลบตาเสียอย่างคนขลาดอาย ชาลินีเป็นแบบนี้เสมอโดยเฉพาะกับคนที่สนิทสนมกับฉัน เธอเคยติงว่าฉันคบคนง่ายเกินไป ฉันยอมรับ เพราะบ่อยครั้งที่ปรากฏว่ามันกลับเป็นผลเสียและนำความรำคาญใจมาให้ เมื่อบางคนไม่เข้าใจและไม่รู้ความควรไม่ควร ถือเอาการให้และรับไมตรีของฉันเป็นเหตุผลเข้ามาตีสนิทจนเกินเหตุ บางครั้งทำให้ต้องเสียเวลาทำงานและเวลาที่ควรเป็นส่วนตัวไปอย่างไร้สาระ
บ้านของชาลินีและฉันอยู่คนละทาง เราจึงแยกกันหลังเลิกงาน ฉันเคยพบศรันย์ที่ป้ายรถเมล์ เรายิ้มให้กันและเขาเดินเข้ามาหา คุยกัน แล้วส่งฉันขึ้นรถ
ศรันย์และฉันสนิทสนมกันมากขึ้นทุกที เรามีเรื่องคุยกันเสมอแม้ในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงทางเดินหรือในลิฟท์ จากนั้นเมื่อใดที่เราเผอิญพบกันในตอนเช้า เขาก็จะชวนฉันลงจากตัวตึกลงไปยังร้านอาหารใกล้ๆ บางครั้งก็เพื่อจิบกาแฟกันเพียงคนละถ้วยเพราะต่างก็ไม่หิว ฉันเคยหวงแหนเวลาว่างในยามเช้าตรู่เช่นนี้ มันเป็นเวลาที่ปลอดโปร่งสำหรับอ่านหนังสือหรือทำงานเงียบๆ แต่ฉันให้มันกับศรันย์อย่างเต็มอกเต็มใจ และดูเหมือนว่า ฉันจะติดนิสัยที่จะรอคอยเขา ฉันมักหันไปทางประตูทางเข้าเมื่อได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น มันเลยกลายเป็นว่า ฉันคอยยิ้มต้อนรับคนที่ทยอยกันเข้ามาทำงาน
ฉันมีเพื่อนผู้ชายหลายคน ฉันไม่เคยนึกพึงใจใครและไม่เคยต้องการให้ใครมีความรู้สึกพิเศษอย่างไรกับฉัน ทว่าสำหรับศรันย์... ฉันยอมรับว่าเขาเป็นคนพิเศษ ทั้งๆที่เขาใกล้ชิดและเอาใจฉันน้อยกว่าคนอื่นๆ มีอะไรในตัวเขาที่ประทับใจฉัน ไม่ใช่รูปร่างสูงผึ่งผาย แต่เป็นท่าทางตามสบายที่ไม่คลายความสง่าลง ไม่ใช่ใบหน้าคมสันหล่อเหลา แต่เป็นสีหน้าและดวงตาอบอุ่น ฉายแววร่าเริงกระตือรือร้น และคงจะเป็นอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่รวมกันเป็นตัวเขา ฉันรู้สึกประทับใจและฝังใจแม้ในสิ่งเล็กน้อยที่เขาทำ เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับที่ฉันมีกับคนอื่น
ฉันสงสัยอยู่ตลอดเวลา ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับฉัน ชอบฉันรึ? ก็อาจจะใช่ ทว่าในแบบไหนล่ะ เขาไม่เคยมีทีท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ปากหวาน หรือหลอกล่อให้ขวยเขินเอียงอาย เราคุยกันอย่างสนุกสนานอย่างเพื่อน ทว่าฉันเอียงเอนที่จะเข้าข้างตัวเอง มันจะต้องมีอะไรพิเศษกว่านั้นเป็นแน่
ในอีกส่วนหนึ่ง ฉันระแวงระไวว่าเขาสนใจชาลินี จากสายตาของเขาที่มองดูเธอ และเมื่อพูดถึงเธอกับฉัน มันราวกับว่าชาลินีเป็นจุดสนใจเดียวของเขา ฉันแทบจะทนไม่ได้เมื่อคิดเช่นนั้น
วันหนึ่งฉันและชาลินีออกจากที่ทำงาน กำลังรอลิฟท์ลงเพื่อไปทานอาหารกลางวัน ศรันย์และเพื่อนของเขาเดินออกมาพอดี ศรันย์ยิ้มตรงเข้ามาหา ดวงตาเป็นประกายพรายพราวอันเป็นลักษณะประจำตัวของเขา
“กำลังจะไปทานข้าวหรือครับ ไปด้วยกันกับเราซีครับ”
ทุกคนพร้อมใจกันเชิญชวนอย่างเป็นมิตร ฉันมองชาลินีอย่างเกรงใจและถาม ชาลินีรับคำ ดูเหมือนทุกคนจะทั้งโล่งใจและยินดีไปตามๆ กัน
ชาลินีชอบคนกลุ่มนี้และชอบศรันย์ด้วย อาหารมือนั้นผ่านไปด้วยดี ทุกคนดูมีความสุขนอกจากฉัน ชาลินีเป็นคนสำคัญของที่นั่น แต่ฉันไม่แคร์เลยว่า ใครจะรู้สึกอย่างไรกับเธอนอกจากศรันย์ และความจริงก็เป็นอย่างที่ฉันกลัว ศรันย์ชอบชาลินี และไม่ใช่อย่างที่ชอบฉัน มันเป็นความรู้สึกพิเศษลึกซึ้งยิ่งกว่า ฉันดูออกและเข้าใจ แม้ศรันย์จะไม่ได้พูดคุยกับเธอมากไปกว่าคนอื่น แต่สายตาของเขาก็ฟ้องอยู่อย่างชัดแจ้ง
หลังจากนั้นศรันย์ก็กล้าพอที่จะเข้าถึงเธอโดยมีฉันเป็นแกนกลาง เขาชวนเราไปทานอาหารกลางวัน แวะเวียนมาที่โต๊ะทำงาน เมื่อมีโอกาสพบเมื่อไรก็พูดคุยกันครั้งละนานๆ ผิดกับแต่ก่อนตรงที่ฉันกลายเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น จริงอยู่ศรันย์ยังคงให้ความสำคัญแก่ฉันเหมือนอย่างเดิม แต่ฉันรู้ดีว่าไม่มีความลึกซึ้งใดๆ ภายใต้ดวงตาแพรวพราวกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาของเขาเหมือนดังเมื่ออยู่ต่อหน้าชาลินี เขารับฉันไว้เป็นเพียงเพื่อนมาตลอด ฉันเองเฝ้าหลงไปคนเดียว ฉันรู้สึกละอายใจและปวดร้าวยิ่งนัก
เขาสนิทสนมกันมากขึ้น ถึงกับกล้าหยอกล้อกันต่อหน้าคนอื่นด้วยทีท่าของคนรัก ชาลินีพูดถึงศรันย์เสมอ ทั้งกับฉันและบางครั้งก็มีคนอื่นๆ ด้วย ฉันเอออวยทั้งๆ ที่ปวดแปลบอยู่ลึกๆ ศรันย์ยังคงชวนฉันไปไหนต่อไหนด้วย ทั้งโดยลำพังกับเขา และเมื่อมีชาลินีอยู่ด้วย บ่อยครั้งที่ฉันปฏิเสธ ฉันไม่อาจเสแสร้งปกปิดความรู้สึกของตัวเอง สรวลเสไปกับเขาทั้งสองได้
ในที่สุดทุกคนก็ยอมรับในความสัมพันธ์ของทั้งสอง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดว่า
“ศรันย์เขาจีบชาลินีนี่เอง ตอนแรกคิดว่าเขามาชอบเอมเสียอีก”
ฉันหัวเราะ “หรือคะ ทำไมถึงคิดว่าเขาจะมาชอบเอมล่ะ”
“ก็ไม่รู้หรือ เห็นคุยกันถูกคอ แล้วก็เคยไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่พักหนึ่งไม่ใช่หรือ”
“แหม แค่ไปกินอะไรด้วยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง ศรันย์เขาอาศัยเอมเป็นสื่อต่างหาก ที่จริงเราเป็นเพื่อนกัน”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นควงกันหนุงหนิงทีเดียว
เธอเล่าพลางหัวเราะอย่างขบขันว่า “เออ เมื่อตอนที่เธอไปไหนๆ กันสามคนน่ะนะ พวกเรายังสงสัยกันเลยว่าใครเป็นนางเอกกันแน่ แต่จะบอกให้ หลายคนเชียวนะที่เชียร์เอม เขาว่ามีแฟนอย่างเอมน่ะสบายใจ ถึงไม่สวยแต่ว่าน่ารัก ชาน่ะสวยจริงหรอก แต่หยิ่งชะมัด มีคนเคยพูดว่าเขาไม่จีบผู้หญิงแบบชาหรอก ขี้เกียจคอยนั่งเอาใจ แต่ชาเขาคงยอมลงให้ศรันย์หรอกนะ ศรันย์ออกรูปหล่อนี่ แล้วก็ไม่เจ้าชู้เลยสักนิด ทำงานก็เก่งด้วย อนาคตคงก้าวไปได้อีกไกลเชียวละ”
ศรันย์ยังคงปฏิบัติต่อฉันเหมือนอย่างเคย ทักทาย ชวนพูดคุย และล้อเลียนอย่างสนิทสนม ดูเหมือนชาลินีจะไม่พอใจนัก ฉันสังเกตรู้จากท่าทางของเธอซึ่งนับวันก็แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของศรันย์มากขึ้นทุกที
ระยะต่อมาศรันย์เหินห่างจากฉันไป และมีทีท่าคล้ายเกรงใจระคนสำนึกผิด สายตาและท่าทางที่แสดงต่อฉันผิดไปจากก่อน ชาลินีบอกอะไรกับเขา.... ฉันระแวงและวูบวาบด้วยความอับอาย นึกทบทวนดูว่าตัวเองได้เคยพูดหรือแสดงอะไรให้ชาลินีรู้บ้างหรือไม่ ก่อนที่เขาจะสนิทสนมและชอบพอกัน ว่าฉันชอบศรันย์.... ฉันนึกไม่ออก อาจจะเคยหรือไม่เช่นนั้นเธอก็คงนึกเหมาเอาอย่างนั้นเองก็ได้ แต่ถึงจะอย่างไรก็ช่างเถอะ ฉันจะไม่แคร์และจะไม่นึกถึงมันอีก ฉันพยายามอยู่ให้ห่างจากศรันย์
เรายังยิ้มและพูดกันเพื่อรักษามารยาทและเพื่อกลบเกลื่อนความผิดปกติจากสายตาของคนอื่น
เพื่อให้เป็นเหตุผลที่จะห่างเหินจากศรันย์โดยไม่ให้ใครๆ เห็นเป็นผิดปกติ และเพื่อลบความปวดร้าวขมขื่นให้ตัวเอง ฉันหันไปใช้ชีวิตที่สนุกสนานกับเพื่อนๆ มากขึ้น พวกเขาพาฉันไปสู่สังคมที่กว้างขวางขึ้น กับคนภายนอกที่ฉันไม่เคยรู้จัก สังคมของคนหนุ่มสาวที่เป็นอิสระ ฉันดื่มเหล้าบ้าง เต้นรำ และกลับบ้านดึก ฉันรับนัดผู้ชายทั้งในตอนกลางวันและเย็นย่ำราวกับสาวเปรี้ยว คนอื่นๆ พูดกันว่าฉันช่างเป็นคนที่มีความสุข แต่ฉันรู้ว่าไม่จริง ฉันไม่ชอบชีวิตแบบนั้น ฉันชอบชีวิตที่เป็นสุขแบบสงบและอบอุ่น ฉันพึงพอใจที่จะอ่านหนังสือเงียบๆ และทำงานให้เต็มที่มากกว่าการไปฟังเพลง และเต้นรำ แต่ฉันไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเจ้าความอ้างว้างว้าเหว่และเจ็บปวดที่แฝงเร้นอยู่ในหัวใจได้ มันระริกรุนแรงขึ้นทุกทีที่ต้องเผชิญหน้ากับศรันย์ และเมื่อต้องรับฟังเรื่องของเขาทั้งสองจากชาลินี
วันหนึ่งชาลินีบอกกับฉันว่า
“ศรันย์จะลาออกจากที่นี่ ... เขาได้งานใหม่” เธอเอ่ยชื่อบริษัทต่างประเทศแห่งหนึ่ง “เงินเดือนมากกว่าที่นี่ไม่เท่าไหร่ แต่โอกาสก้าวหน้ามีมากกว่า ศรันย์มีญาติอยู่ที่นั่น ญาติ คนนี้แหละที่มาเรียกศรันย์ไปทำงานด้วย”
ฉันได้แต่รับฟัง
“เขาจะต้องไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นสองเดือน ศรันย์ไม่อยากไปหรอก แต่ว่ามันจำเป็น พอกลับมาก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เพิ่มเงินเดือน แล้วเราจะได้แต่งงานกันเร็วขึ้น บางทีอาจจะเป็นปีหน้านี้ก็ได้”
ฉันอดใจหายไม่ได้ นั่นแปลว่าฉันไม่ได้พบเขาอีก
ศรันย์ร่ำลาคนในบริษัท รวมทั้งฉันด้วย มีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้เขา ดูเหมือนว่าฉันจะสนุกสนานมากในงานนั้น ชาลินีพูดว่าฉัน “เนื้อหอม” ขึ้นทุกวัน ซึ่งมันไม่แปลกอะไร ใครๆ ก็อาจจะเนื้อหอมได้ทั้งนั้น ถ้ารู้จักให้ความอบอุ่นและความเป็นมิตร แต่ถึงแม้จะมีคนรุมล้อมฉันเพียงไร แม้ฉันจะหัวเราะระรื่นขนาดไหน ฉันก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้ออกมาจากแก่นแท้ ฉันกล้ำกลืนความหมองหม่นอาดูรตลอดเวลา แม้เมื่อพูดคุยและหัวเราะอยู่กับศรันย์
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันพบกับเขา
หมอกมัวของความรักของคนทั้งสองเกิดขึ้นในช่วงที่ศรันย์จากไป ยิ่งยศ ลูกชายคนเดียวของนักการเมือง ผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง เข้ามาทำงานตำแหน่งสูงในบริษัท เขามีคุณลักษณะตามแบบฉบับของลูกเศรษฐี เป็นนักเรียกนอก แต่งตัวหรู วางท่าโอ่อ่าภูมิฐานและค่อนจะไว้ตัวอยู่บ้าง ฉันรู้จักกับเขาในฐานะผู้ร่วมงาน แต่ว่าชาลินีไปไกลกว่านั้น เธอแสดงความสนใจในตัวเขา พูดถึงด้วยความชื่นชม และมีปฏิกิริยาตอบสนองเขาราวกับกำลังเปิดประตูต้อนรับความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เพียงผู้ใต้บังคับบัญชาในสายงาน ฉันอดแปลกใจไม่ได้เมื่อวันหนึ่งเธอบอกกับฉันว่า
“เอม วันนี้คุณยศชวนไปทานข้าวกลางวันด้วย”
“เรอะ....” ฉันอุทาน ถามเธอว่า “ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ”
“แหม... เขาชวนเฉยๆ ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่ นะไปนะ”
ฉันพยักหน้า “ไปก็ไปซี ฉันไปกับคนอื่นก็ได้”
“ไม่ซี เอมต้องไปกับฉันด้วย ฉันจะไปคนเดียวยังไงได้ล่ะ ก็เราทานข้าวกลางวันด้วยกันอยู่ทุกวันนี่นา เดี๋ยวถูกนินทาแย่เลย”
“กลัวถูกนินทาก็อย่าไปรับนัดเขาซี เดี๋ยวใครแอบส่งข่าวไปบอกศรันย์ ฉันมิพลอยถูกสวดไปด้วยหรือจ๊ะ”
“โธ่ เอมก็” ชาลินีหน้างอ แต่ทำเสียงวิงวอน “เถอะน่า ไม่เห็นจะน่าเกลียดอะไรเลย ถึงศรันย์รู้เขาก็ไม่นึกอะไรหรอก ไปกับฉันหน่อยเถอะ รับปากเขาแล้วไม่ไปมันไม่ดี”
“เอา ไปก็ไป แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะหนูชา ฉันกลัวศรันย์แช่งเอา”
นั่นเป็นครั้งเดียวจริงๆ ที่ฉันไปเป็นโล่กำบังให้แก่คนทั้งสอง เพราะหลังจากนั้นชาลินีไม่ต้องการฉันอีก เธอเพียงแต่บอกฉันว่า
“ไม่ต้องรอทานข้าวนะ เอม”
ฉันก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะเมื่อถามเธอว่า “แล้วชาล่ะ” แล้วไม่ได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เซ้าซี้อีกต่อไป
ฉันได้เลื่อนตำแหน่งให้รับผิดชอบงานมากขึ้น อารักษ์... ผู้ชายเรียบร้อยเคร่งงาน และเคยมีทีท่าที่ทำให้ฉันรู้ว่าเขาชอบฉัน เป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ทีแรกฉันรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องเข้ามาใกล้ชิดกับเขาซึ่งแสดงท่าทียินดีที่ได้มาร่วมงานกัน เพราะฉันไม่เคยมีความรู้สึกกับเขาในทางอื่นเลย แต่แล้วเราก็อาศัยงานเป็นเครื่องบังหน้า และฉันไม่ยอมรับคำเชิญชวนแม้แต่การไปดื่มกาแฟด้วยกันเพียงถ้วยเดียว ฉันจะไม่ยอมทำให้เขามีความหวังเป็นอันขาด เพราะฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีวันจะรักเขาได้
แฉันมุ่งมั่นอยู่กับงานจนลืมสนใจชาลินี บางวันฉันก็ไม่ได้พบกับเธอจนลืมเธอไปเสียสนิท ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องตกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวขวัญถึงเธอเข้า
“ชานี่ใจง่ายจังเลย ศรันย์ไปไม่ทันไร หันมาควงคุณยิ่งยศแล้ว”
“เขาถือตัวว่าสวยกระมัง”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
ฉันถามบ้าง อีกฝ่ายหนึ่งทำสีหน้าแปลกใจ
“อ้าว เอมไม่รู้เรื่องเลยหรือ ชากับคุณยิ่งยศน่ะซี ควงคู่กันไปไหนต่อไหน คุยกันหนุงหนิงๆ ยังกับคู่รักก็ไม่ปาน”
“ไม่มีอะไรมั้ง คิดมากกันไปเองน่า”
“โถ แม่คุณ ไปบอกเด็กห้าขวบเถอะจ้ะ ใครๆ เขารู้กันไปถึงไหนแล้ว เราน่ะ เชยจัง” ฉันโดนว่า
ชาลินีถูกพูดประชด กระทบกระแทกอยู่บ้าง แต่เธอไม่สะทกสะท้าน ฉันเห็นเธอหัวเราะอย่างเฉยชาเมื่อถูกถามว่า “ชาลินีจ๊ะ เธอเอาศรันย์ไปทิ้งไว้ที่ไหนแล้ว” ฉันไม่เคยเอ่ยปากเรื่องนี้ไม่ว่ากับเธอหรือกับใคร ได้แต่สงสารศรันย์อยู่เงียบๆ และหวังว่าถ้าชาลินีเปลี่ยนใจจริงๆ เขาจะไม่สะเทือนใจมากนัก
แล้วฉันก็ได้พบเขาในวันนั้น ที่ศูนย์การค้าอันพลุกพล่านในวันหยุด สภาพของเขาทำให้ฉันใจหาย เขารักชาลินีมากเกินกว่าที่ฉันคิด เขาทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
ฉันนั่งอยู่ต่อหน้าเขา ในร้านอาหารที่ค่อนข้างเงียบ มองดูเขาด้วยความรู้สึกห่วงใยอาทร พยายามสร้างบรรยากาศให้สดใส หวังจะได้เห็นเขาสบายใจขึ้น
“งานของคุณล่ะคะ ศรันย์ เป็นยังไงบ้าง”
“งานน่ะดี แต่ผมเองแหละที่แย่” เขาพูดอย่างท้อแท้ “ผมอาจจะถูกเชิญให้ออกเร็วๆ นี้”
“อ้าว ทำไมคะ”
“ผมไม่มีความสามารถพอ”
ฉันส่ายหน้า “ไม่จริงหรอก ศรันย์ คุณเป็นคนเก่ง คุณมีความสามารถ เพียงแต่....คุณยังไม่พร้อมที่จะแสดงมันออกมาในตอนนี้”
เขาหัวเราะอย่างขมขื่น
“ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนๆ ผมก็ไม่พร้อมทั้งนั้นแหละเอม ผมทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ผมจะวางแล้ว วางทุกอย่างเลย อยู่มันไปเรื่อยๆ นั่นแหละ สบายดี”
“คุณไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ อย่างนั้น” ฉันพูดอย่างอ่อนโยน “ศรันย์คะ อะไรจะดีขึ้นหากคุณปล่อยตัวเองให้ตกต่ำลงอย่างนั้น ไม่เพียงแต่คนอื่นเท่านั้นที่จะเห็นคุณไร้ แต่ชาลินีด้วย ที่สุดคุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความสมเพชเวทนา คุณต้องการอย่างนั้นหรือคะ”
ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววามขึ้นอย่างขุ่นเคือง แต่แล้วก็อ่อนแสงลง ใบหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิดแล้วเขาก็พยักหน้า
“จริงของคุณ..เอม...” เขาพึมพำ “ขอบคุณที่เตือนสติผม ดีละ ผมจะไม่ยอมแพ้ อย่างน้องชาจะหัวเราะเยาะผมไม่ได้ ไม่แน่นะ สักวันหนึ่งเธออาจจะเห็นผมดีกว่าเจ้าหมอนั่นก็ได้”
ฉันยิ้มให้กำลังใจเขา แม้จะรู้สึกหนักหน่วงอยู่ภายใน แต่ฉันก็ไม่ตำหนิที่เขายังคงหวังในตัวชาลินี
บรรยากาศแห่งมิตรภาพกลับมาสู่เราอีกครั้งหนึ่ง วันนั้นเราจากกันด้วยความแจ่มใสและมุ่งมั่น
“แล้วพบกันอีกนะคะศรันย์”
“แน่นอน ผมจะโทร.ถึงคุณ”
“จริงๆ นะคะ”
“จริงๆ ซิเอม”
ศรันย์หายเงียบไปหลายวันจนฉันท้อแท้ใจกับการรอคอย แล้วเขาก็โทรศัพท์มา น้ำเสียงของเขาแจ่มใสขึ้น
“เย็นนี้ว่างไหมฮะ ผมมีเรื่องดีๆ จะเล่าให้ฟัง”
“ว่างซีคะ พบกันที่ไหนล่ะ”
เขาเอ่ยชื่อร้านอาหารที่เราพบกันเมื่อหลายวันก่อน “สะดวกไหมเอม”
“สะดวกค่ะ แล้วฉันจะไป”
อารักษ์กำลังมองดูอยู่เมื่อฉันวางหูโทรศัพท์ลง ฉันยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า เขาคงรู้สึกผิดสังเกตต่อความยินดีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของฉัน ก่อนหน้านี้ฉันหงอยเหงามาหลายวัน และแม้จะพยายามรื่นเริงเขาก็ดูรู้ เขาพยายามช่วยเหลือแต่ไม่เป็นผล ใจฉันจดจ่ออยู่ที่ศรันย์
ฉันรอเวลาเลิกงาน แล้วก็พิถีพิถันแต่งตัวขึ้นรถไปยังที่นัดด้วยอารมณ์แจ่มใส ศรันย์รออยู่ก่อนแล้ว เขาเล่าว่าเขาหันไปมุทำงานจนได้ผลเป็นที่น่าชื่นชม หัวหน้าของเขาถึงกับเอ่ยปากทั้งๆ ที่เคยทั้งขู่และตักเตือนในความล้มเหลวของเขามาก่อน
“ผมทำได้จริงๆ” เขาพูดอย่างอัศจรรย์ใจ เขาไม่นึกมาก่อนว่ามันจะง่ายดายเพียงนั้น เพียงแต่สลัดความท้อแท้สิ้นหวังออกไป แล้วมุ่งมั่นทำงานอย่างตั้งใจจริง “ผมเริ่มมีกำลังใจแล้วละเอม ขอบคุณ คุณจริงๆ”
เราเริ่มติดต่อกันอีก เขามักจะถามฉันว่า “คุณมีแผนการจะทำอะไรสุดสัปดาห์นี้ล่ะ” เมื่อฉันตอบว่ายังไม่มี เขาก็จะเสนอความคิดขึ้น ฉันไม่ปฏิเสธ และเมื่อฉันมีข้อเสนอ เขาก็สนองรับเช่นกัน
จากการพบกันในวันหยุด ก็มาถึงเกือบจะทุกวันในตอนเย็นย่ำ ฉันรีบกลับจากที่ทำงาน เพื่อมาอาบน้ำแต่งตัว ทำอาหารไว้รอคอยเขา ไม่ทันพลบค่ำเขาจะเดินยิ้มเปิดประตูรั้วเดินเข้ามา บางครั้งก็มีถุงมีกล่องถือติดมาด้วย ไม่เป็นอาหารก็ขนมหรือผลไม้ และมักเป็นของที่เขารู้ว่าฉันชอบ
ศรันย์ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่กับฉันราวกับว่า เขาไม่มีที่จะไปและไม่มีใครอื่น แต่เราหาได้มีความสัมพันธ์กันฉันคนรักไม่ เราสนุกด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน แต่เขาไม่มีทีท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ไม่เคยถือโอกาสจับเนื้อต้องตัว ฉันเป็นเหมือนเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นผู้ให้ในส่วนที่เขาขาด.... ความอบอุ่น อ่อนโยน และกำลังใจ... ฉันมีความสุขที่เห็นเขาสบายใจและสนุกสนาน ฉันอยากให้เขารักฉัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องระแวงว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะเดินออกไปจากชีวิตของฉันอย่างหน้าตาเฉยเหมือนคราวแรกอีก
วันหนึ่งอารักษ์โทรศัพท์มาถึงฉัน และศรันย์เป็นคนรับสาย “แฟนคุณมั้ง” เขาหลิ่วตาอย่างล้อเลียนขณะที่ส่งหูโทรศัพท์ให้
ไม่บ่อยนักที่อารักษ์จะโทรศัพท์มา และในวันนั้นฉันยิ่งหาสาเหตุไม่พบ
“ไม่มีอะไรหรอก เห็นโทรศัพท์มันวางอยู่เฉยๆ ก็เลยหมุนมาอย่างนั้นเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แจ่มใสนัก “คุณกำลังมีแขกใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นสวัสดีแค่นี้นะ แล้วพบกันที่ทำงาน”
ศรันย์กำลังมองอยู่เมื่อฉันวางสาย ถามว่า
“ทำไมคุยเร็วนักล่ะ นับได้ไม่กี่ประโยคเลย”
“คุณคอยนับอยู่หรือคะ”
“ใช่ซิ....ใครน่ะ”
“ไม่บอก”
“อารักษ์ใช่ไหมล่ะ”
“ทำไมต้องเป็นอารักษ์ล่ะคะ”
“เพราะผมจำเสียงเขาได้ ผมเคยทำงานกับเขามาก่อนนะ แล้วผมก็ดูออกตั้งนานแล้วว่าเขาชอบคุณ
“งั้นหรือ แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอก”
“บอกแล้วคุณจะทำยังไง”
“เก๊าะทอดสะพาน คอนกรีต เสริมเหล็กให้เลยน่ะซีคะ”
“มีหลายสะพานนักหรือ เที่ยวทอดให้คนนั้นคนนี้”
“ก็ไม่เห็นมีใครยอมข้ามมาสักคนนี่”
“แล้วผมล่ะ ทอดให้หรือยัง” เขาหรี่ตายั่วเย้า
“โอ๊ย... นานจนสนิมขึ้นแล้วกระมัง”
“งั้นระวังตัวนะ ผมจะข้ามไปละ เขาพูดพลางหัวเราะ
วันหนึ่ง เขาบอกฉันว่า
“มีข่าวดี ผมได้เลื่อนตำแหน่งแล้วละ”
“หรือคะ ดีจังเลย”
เขาหลิ่วตา มองดูฉันด้วยดวงตาที่เป็นประกายแพรวพราว “แต่ว่าผมต้องดูแลลูกน้องสาวๆ สวยๆ หลายคนเลย”
“หนุ่มๆ คงอิจฉาคุณแย่เลยซิคะ”
เขาหัวเราะ “มาเถอะ ออกไปฉลองกัน”
ศรันย์พาฉันไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เลือกมุมสงบใต้ซุ้มไม้ที่ข้างนอกตัวอาคาร พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างไสวจนแสงสีนวลจากโคมไฟ บนยอดเสาที่ประดับบริเวณอยู่นั้น ไร้ความหมาย อาหารอร่อย ทว่าเป็นเพียงส่วนประกอบที่เราละเลียดเล่น สิ่งสำคัญก็คือการได้อยู่ด้วยกัน มองตาและพูดกันอย่างอ่อนหวานนั่นต่างหาก
สำหรับฉัน..มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่สำหรับศรันย์ฉันไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ทว่าฉันเพิ่งได้เห็นมันในคืนนั้น ที่เขาเริ่มแสดงทีท่าที่ผู้ชายจะพึงต่อผู้หญิง ที่เขา....อาจจะ....รัก เขามองดูฉันด้วยดวงตาเป็นประกายวาววาม สนใจและเอาอกเอาใจ จากร้านอาหาร เขาพาฉันไปฟังเพลงในคลับของโรงแรมชั้นหนึ่ง จิบเมรัยหอมละมุน โอบกอดนุ่มนวลในฟลอร์เต้นรำ
ผู้หญิงคนไหนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นย่อมต้องตระหนักว่าเธอเป็นคนพิเศษสำหรับเขาโดยแน่แท้
ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไป ในอีกรูปหนึ่ง ในแบบของคนรัก เขาจับต้องเนื้อตัวฉันอย่างไม่ขัดเขิน สัมผัสของเขานุ่มนวล อบอุ่น และในที่สุด เขาก็เริ่มสัมผัสที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง โดยไม่ถูกต่อต้าน เขากล้าที่จะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตัวฉันต่อหน้าผู้อื่น เขาสนใจ เอาใจใส่ เอาอกเอาใจฉันเสมอ กำนัลข้าวของเงินทองให้ แม้ฉันจะคัดค้านห้ามปรามเขาก็ไม่ฟังเสียง “ไม่ให้เอมแล้วผมจะให้ใคร” และ “เก็บเอาไว้เถอะ ของเอมก็เหมือนของผมนั่นแหละ”
ช่วงเวลาที่มีศรันย์ เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ฉันเต็มไปด้วยความสุขอิ่มเอมใจ นี่แหละเป็นชีวิตที่ฉันคิดว่าสมบูรณ์ที่สุด งานที่ดี มีเงิน และมีศรันย์
ศรันย์เริ่มกล้าพอที่จะมารับฉันที่ที่ทำงาน ฉันรู้ดีว่าเขากลัวการเผชิญหน้ากับชาลินี ฉันก็กลัวเช่นกัน เขาได้พบกันหลายครั้ง ทักทายกันด้วยท่าทีไม่เป็นปกตินัก ศรันย์ขรึมลงทุกครั้งหลังจากที่พบกับชาลินีแล้ว ฉันได้แต่ทำเฉยเสีย ไม่แง่งอน ไม่รบเร้าเซ้าซี้ทั้งๆ ที่รู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เขายังอาลัยชาลินี... แต่ฉันจะให้เวลาเขา สักวันหนึ่งเขาจะมีฉันอยู่ในหัวใจเพียงคนเดียว
เราไม่เคยพูดกันถึงชาลินีทั้งๆ ที่เราต่างก็นึกถึงเธออยู่เสมอ ดูเหมือนเราจะรู้ดีว่าหากชื่อชาลินีหลุดจากปากของใครคนใดคนหนึ่ง จะต้องเกิดการร้าวรานปริแตกขึ้นในความสัมพันธ์ของเรา
แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นจนได้ ชาลินีกับยิ่งยศเริ่มหมางเมินกัน มีคนบอกฉันว่าเห็นทั้งสองทะเลาะกันและบ่อยครั้งที่ชาลินีร้องไห้ แล้วทั้งสองก็เลิกกันจริงๆ ชาลินีมาทำงานคนเดียวและกลับบ้านด้วยรถประจำทาง เธอถูกถากถางเยาะเย้ยอยู่เนืองๆ ในครั้งนี้ชาลินีคิดว่าตนเองเป็นผู้แพ้ เธออับอายและทนไม่ได้จนต้องลาออกจากงาน
ฉันไม่ได้บอกศรันย์....แต่เขาก็รู้... ชาลินีโทรศัพท์ถึงเขา
ฉันไม่รู้เรื่องนี้ แต่ผิดสังเกตที่ศรันย์เปลี่ยนแปลงไป เขาขรึม เหม่อลอย ครุ่นคิด ไม่สนุกสนานรื่นเริงเหมือนอย่างเคย การแสดงความรัก เอาอกเอาใจต่อฉันก็ลดลงอย่างน่าใจหาย ที่เหลืออยู่ก็เป็นไปอย่างฝืนเฝืออ่อนอกอ่อนใจ เหมือนกับเขามีปัญหาถมทับอยู่มากมาย
ฉันถามเขาว่า
“ดูคุณไม่ค่อยสบายใจ มีเรื่องอะไรหรือคะศรันย์”
และเขาตอบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับงาน
“เรื่องอะไรหรือคะ”
ศรันย์ไม่ให้คำตอบ ฉันไม่เซ้าซี้ทั้งที่รู้สึกน้อยใจ ฉันเคยเป็นคู่คิด เป็นที่ปรึกษา เคยแบ่งปันความสุขความทุกข์และปัญหาต่างๆ เรื่อยมา บัดนี้กลับกลายเป็นว่ามันไม่เกี่ยวกับฉัน เขาไม่ไว้ใจฉันอีกต่อไป
ศรันย์เริ่มห่างหายไป ที่เคยพบกันเกือบจะทุกวันก็กลายเป็นเว้นสองวันบ้าง เว้นสามวันบ้าง และเมื่ออยู่ด้วยกันเขาก็ยังมีทีท่ากลัดกลุ้ม แต่ปิดบังอยู่เช่นเคย
ฉันได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์นี้ผ่านไป ให้ความรักอันอบอุ่น สดใสกลับมาสู่เราดังเดิม
แล้วคืนหนึ่ง ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากชาลินี
“เอมหรือจ๊ะ ศรันย์อยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
เสียงของเธออ่อนหวาน แต่เสียบแปลบเข้าที่หัวใจของฉัน มันราวกับว่าเธอกำลังทวงถามสิ่งที่เป็นของเธอ และน่าแปลกใจที่ฉันรู้สึกว่าศรันย์เป็นของเธอจริงๆ
“มี.... มีอะไรหรือชา” ฉันถามอย่างงุนงงตั้งตัวไม่ติด
“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันรอทานข้าวพร้อมเขาน่ะ เขาบอกว่าจะมา” น้ำเสียงนั้นยังคงแจ่มใส “ช่างเถอะ แต่ว่าเอมน่ะ สบายดีหรือ ไม่ได้พบกันตั้งนานแล้ว” ฉันตอบไปตามเพลง น้ำเสียงนั้นยังชวนคุยเจื้อยแจ้ว “คุณอารักษ์เป็นยังไงบ้างล่ะจ๊ะ เขาไม่ว่าอะไรหรือที่เอมยังคบหาศรันย์อยู่น่ะ ถึงจะคบอย่างเพื่อนก็เถอะนะเอม ผู้ชายน่ะคิดมาก แล้วก็ใจแคบด้วย ระวังจะผิดใจกันนะ”
เรากล่าวคำลา ฉันวางหูโทรศัพท์ลงไปนานแล้ว แต่น้ำเสียงอ่อนหวานแจ่มใสของชาลินียังก้องอยู่ รบกับความคิดและอารมณ์อันยุ่งเหยิงของฉัน
ศรันย์ไม่ได้มา เขาคงไปหาเธอจริงๆ
ฉันนอนลืมตาค้างอยู่ทั้งคืน พยายามลำดับเหตุการณ์เพื่อค้นหาความจริง ฉันต้องต่อสู้กับตนเองอย่างหนัก แต่ถึงฉันจะตายลงไปเพราะความปวดร้าว ฉันก็จะไม่ยอมแพ้
ฉันไม่ได้ไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ตกเย็นศรันย์ก็เข้าประตูบ้านมา ฉันไม่ได้ออกไปรับ แต่นั่งเฉยอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้
“เป็นอะไรไปหรือเอม ไม่สบายหรือเปล่า” เขาถาม ทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน จับแขนแล้วเลื่อนมาแตะหน้าผาก จับตามองดูฉัน ฉันอยากจะคิดว่าเขาเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้าง”
ฉันเมินหน้า ขยับกายหนีจากเขา น้ำตารินทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะไม่ร้องไห้
“คุณบอกชาลินีหรือว่าเราคบกันอย่างเพื่อน....”
เขามองอย่างตกใจ..... แล้วเราก็พูดถึงชาลินี
“เป็นความจริง เอม....ผมเสียใจ ผมกลับไปหาเธออีก”
………..
“เขาโทรศัพท์ถึงผม” ศรันย์เล่า “ขอปรึกษาด้วยในฐานะเพื่อน เขาปวดร้าวและว้าวุ่น ขอให้ผมช่วยหางานให้ทำ.... ชาลินีไม่มีใครอื่น คุณก็รู้นะเอม พ่อแม่ของเขาเลิกกันตั้งแต่ยังเล็ก ชาอยู่กับป้า กับลูกพี่ลูกน้องที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เขาต้องการที่พึ่ง....”
“และเขาเลือกคุณ”
“เอม” น้ำเสียงของเขาวิงวอน “ชาไม่มีใครผมสงสารเขา ผมทำเป็นไม่แยแสไม่ได้”
ฉันนิ่งอยู่เนิ่นนาน
“เอม....” ศรันย์กอดฉันอย่างปลอบ “อย่าคิดมากไปเลย ผมสัญญา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมจะไม่ไปหาเธออีก”
“เมื่อไหร่เล่าคะ เมื่อไหร่ทุกอย่างจะเรียบร้อย” ฉันถาม
ศรันย์อึ้ง ท่าทีของเขาทำร้ายฉันอย่างรุนแรง
“ไม่มีวันถึงวันนั้นหรอก ศรันย์ คุณยังรักชาลินีอยู่ รักมากกว่ารักฉัน....”
“เอม....ผม.... ผมลำบากใจจริงๆ ผมควรหันหลังให้ชาแล้วปล่อยเธอไปตามยถากรรมหรือ”
ฉันเช็ดน้ำตา ทิฐิมานะทำให้ฉันพูดสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง “คุณกลับไปหาเธอเถอะ”
“เอม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจอย่างนั้น เรายังไม่....”
“ตราบใดที่ยังมีชาลินี ฉันไม่มีวันที่จะได้คุณมา.... ฉันตัดสินใจเร็วเสมอ แต่ไม่เคยผิด คุณจะถ่วงเวลาไว้ทำไม ในเมื่อเราต่างก็เห็นตอนจบแล้ว”
“ผมทำไม่ได้”
“แต่ฉันทำได้ ฉันต้องการคนที่มีฉันเพียงคนเดียว ฉันเคยให้เวลาคุณที่จะลืมเธอ แต่ในเมื่อมันเริ่มขึ้นใหม่แบบนี้ ฉันก็ทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”
เขาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากที่นิ่งเงียบกันอยู่นาน ฉันก็พูดอย่างเข้มแข็งทั้งๆ ที่หัวใจอ่อนระโหย “ศรันย์คะ ฉันจะไม่ขวางทางของใคร และคุณก็ไม่มีสิทธิที่จะดึงฉันไว้กับผู้ชายที่ไม่ได้รักฉัน ฉันไม่ได้ขับไล่คุณ แต่ฉันให้คุณเลือก ถ้าคุณต้องการชาลินี คุณก็ไปได้ ฉันจะไม่โกรธ ไม่ตำหนิตัดพ้อ แต่ถ้าคุณต้องการฉัน ก็ต้องไม่มีชาลินีอีก ไม่ว่าในฐานะเพื่อนหรืออะไรทั้งนั้น..... ซึ่งฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
เขาได้แต่ถอนใจ เป็นการยอมรับโดยดุษฎี เขาต้องการชาลินี
“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ อย่าอยู่ให้เราต่างก็ไขว้เขว ฉันตัดสินใจแล้วและคุณก็ต้องตัดสินใจด้วย ฉันขอร้อง ถ้าจะเจ็บก็ขอเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว อย่าทำให้ฉันต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคุณรักฉันไม่มากพอเลย.....”
มันไม่ง่ายนักสำหรับเราทั้งสอง ที่จะแยกทางกัน ทว่าหลังจากระยะหนึ่งที่ไม่มีเรื่องดีๆ จะพูดกันนอกจากการถกเถียงและท่าทีที่ห่างเหิน ศรันย์ก็ไปจริงๆ ฉันผ่านช่วงเวลานั้นอย่างยากลำบาก ร่างกายผ่ายผอมทรุดโทรมลง รอยยิ้มแจ่มใส เสียงหัวเราะ เสียงพูดเย้าแหย่หาได้ยากยิ่ง คนใกล้ชิดพูดกันว่าฉันอกหัก แต่ไม่มีใครเคยรู้ถึงสาเหตุ “ศรันย์ไม่ใช่คนเจ้าชู้ และไม่ใช่คนใจง่าย” พวกเขาพูดกันไปต่างๆ แต่ไม่มีใครได้รับความจริงจากฉัน
ฉันได้รับความเห็นอกเห็นใจ หลายคนชวนฉันไปเที่ยวสนุกสนาน แต่ฉันกลายเป็นคนเบื่อหน่ายไร้ชีวิตจิตใจ อารักษ์เฝ้ามองดูฉันเงียบๆ เขาไม่ไถ่ถาม ไม่รบเร้าเซ้าซี้ แต่เมื่อใดที่ฉันต้องการเพื่อน เขาก็พร้อมอยู่เสมอ
ฉันเริ่มวางใจเขา ซาบซึ้งในความการุณย์ของเขา หลังจากนั้นเมื่อมีปัญหาขึ้นครั้งใด ฉันจะนึกถึงเขาก่อนทุกที
ศรันย์โทรศัพท์ถึงฉันเป็นบางครั้ง เขาจะถามว่า “คุณสบายดีหรือเอม” “ต้องการให้ผมทำอะไรให้บ้างไหม” “ผมนึกถึงคุณเสมอนะ เอม” เราไม่ได้พูดกันนานนัก แม้ว่าฉันจะคิดถึงเขาเหลือเกินก็ตาม ไม่มีการตัดพ้อ แง่งอน หรือแสดงความผูกพันเยื่อใย มันเหมือนการรายงานซึ่งกันและกันว่าเราต่างก็ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
แล้วศรันย์ก็เงียบหายไปจริงๆ ฉันคิดถึงเขาอย่างเงียบเหงา ตลอดเวลาฉันพบแต่สิ่งที่กระทบใจให้นึกถึงเขา คำพูดที่เราเคยล้อเล่นกัน... เพลงที่เขาเคยกอดคอโอบไหล่ร้องให้ฉันฟัง... ที่ต่างๆ ที่เราเคยไป... ไม่มีใครทำให้ฉันลืมศรันย์ได้ แม้แต่อารักษ์ ฉันยอมไปไหนๆ กับเขา พูดเล่นหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม และเขาร่ำๆ จะขอฉันแต่งงานอยู่หลายครั้ง แต่ว่าฉันเฉไฉไปเรื่องอื่นเสียทุกที ฉันยังไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ยังไม่อยากให้มิตรภาพอันสวยงามนี้หมดสิ้นลง เพราะถ้าปล่อยให้เขาเอ่ยปากออกมาจริงๆ ฉันคงให้คำตอบไม่ได้
ฉันรู้จักความรักมาก่อน มันคือความสุข... ดื่มด่ำลึกล้ำสุดบรรยาย แล้วจะให้ฉันทิ้งชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตให้กับคนที่ฉันไม่ได้รักได้อย่างไร
ทว่าคืนนั้น... ทุกอย่างเปลี่ยนไป อารักษ์พาฉันไปดูหนังรอบค่ำ ทานอาหาร แล้วขับรถเล่นเอื่อยๆ ในที่สุดเราก็จอดรถคุยกันริมฝั่งแม่น้ำ พระจันทร์เต็มดวงสวยสว่างเหมือนดังเมื่อฉันมีศรันย์เคียงข้างชี้ชวนกันขื่นชม อารักษ์จับมือฉันและขอแต่งงาน
คำขอที่แม้ศรันย์ก็ไม่เคยเอ่ยปาก....
อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิด ความเห็นอกเห็นใจ และความว้าเหว่ก็ได้ ที่ทำให้ฉันรับคำ อารักษ์ดีใจมาก เขากอดฉันแนบแน่น จุมพิตที่หน้าผากแล้วเลื่อนมาที่ริมฝีปาก เมื่อฉันไม่ต่อต้านบิดเบือน จุมพิตที่จริงใจของผู้ชายที่แสนดีที่รักฉันก็หนักหน่วงและเนิ่นนานขึ้น ฉันรู้สึกว่าต้องอึดอัดและอดทนกับจุมพิตนั้น..! แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นที่ตัดสินใจเสียได้ มันคงไม่ยากนักหรอก ฉันนึกหมายมั่นที่จะรักเขาและทำให้ชีวิตคู่ของเราเป็นสุข
เขาพาฉันกลับมาส่งบ้านแล้วจากไปอย่างร่าเริง ฉันกำลังจะเข้านอนเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นมาจอด เมื่อมองจากหน้าต่างไปที่ประตูรั้วก็เห็นไฟหน้ารถเพิ่งจะดับลงพอดี ฉันเดินออกจากห้องนอนมายังห้องข้างนอก นึกอยู่ว่าจะต้องมีเสียงเรียก หรือไม่ก็กริ่งสัญญาณที่ประตูตามมา แต่เงียบ ฉันรอคอย.... อารักษ์รึ เขาลืมอะไรไว้.... ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ฉันรู้สึกแปลกใจ หยุดยืนรออยู่ตรงนั้น
มีเสียงเปิดประตูรถ แล้วก็ปิด แล้วเงียบอีก
ศรันย์....
ฉันวูบนึกถึงเขา แล้วก็ใจเต้นแรงขึ้นทันที คงไม่ใช่หรอกน่ะ เขาจะมาทำไม นานแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อมาเลยแม้แต่ทางโทรศัพท์ และคงจะไม่มาด้วย นอกจากจะมีเหตุผล.... นั่นซี อาจจะเป็นเขาก็ได้ ฉันหวังว่าจะเป็นเขา
ฉันก้าวอย่างไม่มั่นใจ เปิดประตูเรือนเดินตามถนนคอนกรีตสั้นๆ ไปยังประตูรั้ว มีเสียงเดินกลับไปกลับมา ดังมาจากด้านนอก แล้วก็หยุด เสียงเปิดประตูรถดังขึ้นอีก....
เขากำลังจะไป....ฉันเปิดประตูบานเล็กออกไปทันที
เขาชะงัก ศรันย์จริงๆ เสี้ยวหน้าที่อ่อนขรึมหม่นหมองหันมาแล้วก็ก้าวลงมายืน เป็นครู่จึงปิดประตูรถแล้วเดินเข้ามาหา ฉันได้กลิ่นเหล้า
“นึกว่าเป็นใครหรือเอม”
“ฉันเพียงแต่สงสัยค่ะ” ฉันพูดเสียงเรียบ “ว่าแต่คุณมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่เรียกคะ หรือว่าทำอะไรตกหาย”
“ผมกำลังตัดสินใจอยู่น่ะ”
“แล้วตอนนี้ตัดสินใจได้แล้วหรือยังล่ะคะ”
เขาไม่ตอบ แต่เดินผ่านฉันเข้าไปข้างใน ฉันปิดประตูก่อนจะเดินตามไป เขานั่งลงที่ม้าหินริมระเบียง แสงเลือนสลัวของไฟดวงเล็กที่กำแพงตึกกระทบซีกหนึ่งของใบหน้าเขา ใบหน้าที่เคยคมคายยิ้มหัวเราะร่าเริงเคล้าเคลียกับใบหน้าของฉัน…..
“ผมมีเรื่องตลกจะเล่าให้คุณฟัง” เขาทำเสียงเจือหัวเราะ ทว่าฉันจับความขมขื่นได้ชัดเจน “ผู้ชายโง่เง่าคนหนึ่งนะเอม หนีจากผู้หญิงดีแสนดีไปหาผู้หญิงที่เคยทิ้งเขาไป แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเป็นครั้งที่สองเพราะเจ้าหล่อนทิ้งเขาอีก” เขาทอดถอนใจ “เขาได้สำนึก และซมซานกลับมาหาผู้หญิงคนแรก แต่เธอมีคนอื่นแล้ว”
“ชาลินีทิ้งคุณอีกหรือคะ”
เขาพยักหน้าเหงาๆ “ใช่ ผมหางานให้เขาทำ แล้วก็ที่นั่นแหละ ที่เขาได้พบผู้ชายคนใหม่ หนุ่มใหญ่ รูปหล่อ ร่ำรวย เป็นหัวหน้างานของเขาเองแหละ ที่แย่ก็คือผู้ชายคนนั้นมีลูกมีเมียอยู่”
ฉันเงียบ
“ชาว่าเขาคนนั้นเข้าใจเธอ... รักเธอ... เขากำลังจะเลิกกับเมียเพื่อเธอ.... แปลกไหมเอม ที่ผมทุ่มเททำอะไรเพื่อเธอ ชากลับไม่นึกถึง เธอพูดว่าผมมีคุณอยู่ในใจตลอดเวลา”
“แปลกค่ะ...! แปลกมากๆ ที่ชาพูดอย่างนั้น”
เขามองฉันเหงาๆ “ชาเป็นคนน่าสงสาร เธอขาด และพยายามจะไขว่คว้าหาสิ่งที่ขาดนั้น แต่ไม่ใช่จากผม ผมไม่เคยดีพอสำหรับเธอ”
“อาจจะยังไม่สายเกินไปถ้าคุณพยายาม....”
“พยายาม” เขาหัวเราะขื่นๆ “อีกแค่ไหนล่ะเอม ไม่ละ ผมหมดแรงแล้ว ถึงเธอกลับมาตอนนี้ก็คงจะจากไปอีกในวันหน้า ผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว”
ฉันเงียบ เขามองฉันนิ่งก่อนจะถาม
“คุณมีคนอื่นแล้วใช่ไหมเอม....”
ฉันเงียบอีก
น้ำเสียงศรันย์หวั่นไหว “ผมรู้ ผมถามถึงคุณ แต่มีคนบอกผมว่า ปล่อยเอมเถอะ เขากำลังจะมีความสุขของเขาแล้ว.... เอม... ผมจะไม่ขอร้องให้คุณกลับมา ผมดีใจที่คุณมีความสุข แต่ถึงยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน และผมไม่ลืมว่าคุณน่ะ ดีเหลือเกิน”
เขาถอนใจ ลุกขึ้นยืน ฉันต้องเมินหน้าจากสายตาวิงวอนที่จับจ้องมองเหมือนรอคอยให้ฉันพูดอะไรสักอย่าง จนกระทั่งได้ยินเสียงสะท้านอย่างผิดหวัง “ผมจะไปละ”
ไม่มีเสียงตอบจากฉัน ฉันกำลังนึกถึงอารักษ์
“ลาก่อนเอม”
เขาเดินผ่านหน้าฉันไป เขากำลังจะไปแล้ว และคงจะไม่มาอีก
ฉันมองดูเขาเดินเอื่อยไปตามถนนเหมือนไร้เรี่ยวแรง ฉันอยากจะหยุดเขาไว้ แต่อารักษ์เล่า
เขาถึงประตู จับที่มือจับ ก่อนจะดึงให้ประตูเปิดออก
“ศรันย์คะ”
ศรันย์หยุด ร่างสูงหันกลับมา
ฉันเดินไปหาเขา ตาต่อตาสบกัน...สายตาที่เขาย่อมจะเข้าใจ ฉันยื่นมือออกไปเกาะกุมมือของเขา “มาเถอะค่ะ”
ศรันย์มองอย่างไม่เชื่อ แล้วเขาก็ยิ้ม รวบตัวฉันเข้าไปกอดไว้อย่างแนบแน่น เสียงพูดสั่นสะท้าน “ผมคิดถึงคุณนะเอม”
นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการใช่ไหม อ้อมอกของชายที่ฉันรัก แล้วฉันก็ตัดสินใจที่จะยอมทำให้ผู้ชายที่แสนดีอีกคนหนึ่งเจ็บปวด ทำไมความไม่สมดุลจึงจะต้องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขากระชับมือฉันราวกับกลัวว่าจะหลุดหายขณะที่เราเดินเคียงกันไปที่บ้าน บ้านของเรา... อย่างน้อยก็อีกช่วงเวลาหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะสั้นหรือยาว...จนกว่าศรันย์จะทิ้งฉันไปอีก
( นิยายเรื่องนี้ เคยลงพิมพ์ใน “เรื่องสั้นขนาดยาว” นิตยสาร สกุลไทยรายสัปดาห์ มกราคม พ.ศ. 2524 )