เรื่องสั้น งานเขียนจากผู้อ่าน | |
18 | ประตูวิเศษ |
27 | ผู้วิงวอน |
33 | กว่าจะรู้ว่ารัก |
46 | มาดาม |
47 | ย้อนรอยรัก |
48 | เธออยู่ไหน |
49 | ครอบครัว |
หน้าที่
1/1 |
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
หล่อนทักทายเบาๆ หลังจากที่ชะงักมองเขาอย่างแปลกใจ จนกระทั่งชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ ไม่บ่อยนักที่หล่อนจะพบเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในเวลาเช้า อันที่จริงนานๆ ครั้งหรอกที่หล่อนจะได้พบและพูดกับเขา….. สามีของหล่อน
“นั่งสิ”
เขาพูด ก้มหน้าดูหนังสือพิมพ์ต่อ เขาอ่านเพียงลวก ๆ พลิกผ่านๆ แล้วพับโยนลงบนด้านที่ว่างของโต๊ะอาหาร หล่อนนั่งลงคนละด้าน เยื้องห่างจากกันด้วยท่าทางสำรวม
“งานยุ่งไหมหมู่นี้”
เสียงทุ้มถามเรื่อยๆ หล่อนตักข้าวต้มจากหม้อเคลือบใส่ชาม ตักกินอย่างไม่รู้รสชาติ
“ยุ่งค่ะ”
“ตลอดทั้งปีเลยนะ”
“คุณล่ะคะ”
“สบ๊าย...” เขาตอบ
หล่อนเงียบ ตอบโต้อยู่ในใจว่า “...ตลอดทั้งปีเหมือนกัน...”
เขาจุดบุหรี่ พ่นควันพลางมองดูหล่อน
พิรุณประหม่าอยู่ภายใต้ท่าทีเรียบเฉย เขาจะมองหล่อนทำไมนะ หรือจะเปรียบเทียบความเปิ่นเชย จืดชืด ไร้เสน่ห์ของหล่อนกับผู้หญิงอื่นๆ ของเขา หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบ ไม่สวย ไม่มีจริต ไม่พิถีพิถันตกแต่งตัวเอง ไม่ชวนให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นและไม่มีรูปลักษณ์โดดเด่นชวนสะกิดความสนใจใดๆ ถ้าเป็นอาหารหล่อนก็คงจืดสนิท
หญิงสาวอดขัดเคืองไม่ได้
ก็หล่อนเป็นของหล่อนแบบนี้มานานแล้วและเขาก็รู้ดี ก็หากว่าเขาไม่พอใจแล้วมาแต่งงานกับหล่อนทำไม
คงไม่ใช่เพราะเงินหรอกน่า ก็เขาร่ำรวยน้อยหน้าใครที่ไหน มันแค่เริ่มจากความต้องการของผู้ใหญ่ พ่อแม่ของหล่อนมีบุญคุณต่อครอบครัวของเขา ชี้แนะแนวทางอาชีพแล้วอุปถัมภ์ค้ำชู ช่วยเหลือเรื่องเงินทองจนครอบครัวของเขามั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาได้ แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้บังคับสักนิด เพียงแต่เสนอและเขาก็สนอง
พิรุณรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยสนิทสนมกัน หล่อนแอบรักเขา จากความรู้สึกของเด็กเล็กๆ และค่อยๆ กลายมาเป็นความรู้สึกของหญิงสาว หล่อนเป็นคนขี้อาย เก็บคำพูด ซ่อนความรู้สึก ขณะที่เขาเป็นเด็กที่ซุกซนปราดเปรียว และโตขึ้นเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ หล่อนรู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อพ่อแม่พูดถึงเรื่องแต่งงาน และอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้นหลายเท่าทวีเมื่อรู้ว่าเขายินดีจะแต่งงานกับหล่อน
วันที่หล่อนได้เข้าใกล้เขามากที่สุดเป็นวันแรก คือวันทำพิธีหมั้น หลังจากนั้นหล่อนไปไหนๆ กับเขาสองครั้งโดยมีญาติร่วมทางไปด้วย แล้วก็เข้าสู่พิธีแต่งงานกันด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
ถ้าพูดถึงการศึกษา พิรุณทำเกรดเอ ได้ในเกือบทุกวิชา และถ้าพูดถึงการทำงานในความรับผิดชอบ หล่อนละเอียดรอบคอบหาความผิดพลาดได้ยาก แต่หล่อนไม่รู้จักลีลาของความรักความใคร่ พิรุณรู้แต่ว่าหล่อนมีความสุขอย่างล้ำลึกต่อการปฏิบัติเรื่องความรักของเขาต่อหล่อน ทว่าหล่อนกระดากอายเกินไป อาจเพราะเหตุนั้นที่ทำให้เขาเบื่อหน่ายและกลับไปสู่โลกของเขา โลกของความสนุกสำราญกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่หล่อน
“ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้าล่ะคะ หรือว่าเพิ่งจะกลับเข้ามา” หล่อนถาม เขาตอบว่า
“เมื่อคืนผมนอนแต่หัวค่ำนะ ตอนกลับมาเห็นคุณเพิ่งปิดไฟนอนพอดี”
“อ้อ”
ทั้งสองแยกห้องนอนนานแล้ว พิรุณไม่อาจทนเจ็บปวดหัวใจได้ต่อการที่เขากลับมาตอนดึกดื่นหรือบางทีก็ใกล้รุ่ง พร้อมกับกลิ่น สี หรือชิ้นส่วนอาภรณ์ของสตรีอื่น ซึ่งเขาไม่คิดจะแอบแฝงซ่อนเร้น และหากหล่อนเห็น ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย
ทั้งที่น้ำตาไหลย้อนอยู่ข้างใน...
หล่อนจึงย้ายเข้าไปนอนในอีกห้องหนึ่งซึ่งเตรียมไว้สำหรับเด็ก สำหรับลูก.. ที่หล่อนตัดสินใจที่จะไม่มีโดยมีเขาเป็นพ่อ….. ถึงแม้ว่าหล่อนจะรักเขาก็ตาม
“ผมมีประชุมเก้าโมงเช้า” เขาพูดเรื่อยๆ
หล่อนนื่งฟังพลางตักข้าต้มใส่ปาก หลุบตามองโต๊ะ
เขานิ่งมอง ถามรวนๆ
“คุณคงไม่เงียบอย่างนี้ใช่ไหมเวลาอยู่กับคนอื่น”
หล่อนมองสามี สีหน้าเขาคล้ายลองดีขณะที่ท่าทีราบเรียบเฉยเมย ท่าทีนี้ทำให้หล่อนเจ็บปวดเสมอ
หล่อนตอบเรียบๆ “ถ้าไม่จำเป็นฉันก็ไม่พูด อันที่จริงนอกจากเรื่องงานแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน”
“ก็ยังดีนะที่คุณไม่เป็นใบ้” น้ำเสียงเขาคล้ายขบขัน
แต่หล่อนไม่รู้สึกขันสักนิด “แต่ที่จริงเป็นใบ้ยังจะดีเสียกว่านะคะ เพราะหากว่าฉันพูดไม่ได้ ผู้คนจะได้ไม่หวังให้ฉันพูด”
เขาเลิกคิ้วแล้วยักไหล่
“คนบางคนถึงแม้ไม่สวยเลยสักนิดแต่มีเสน่ห์ที่การพูดก็ทำให้คนพอใจและรักได้เหมือนกัน… มันเป็นพรสวรรค์ของแต่ละคน”
ประกายตาหล่อนวาววาบ “แต่ละคน.. ที่ไม่ใช่ฉัน…” หล่อนว่า “ตอนฉันเกิด พระท่านคงมองไม่เห็นกระมัง ถึงไม่ให้อะไรพรอะไรสักอย่างไม่ว่าการพูดที่มีเสน่ห์หรือว่าความสวย”
มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ธีระพอใจที่หล่อนต่อปากต่อคำ หล่อนไม่ใช่คนโง่ทึ่ม ทึมทึบ หล่อนฉลาดและเก่งกาจกว่าเขาในเกือบทุกด้าน พ่อแม่ญาติพี่น้องของเขาล้วนแต่ชื่นชมหล่อนขณะที่ตำหนิติเตียนความเจ้าสำราญไม่เอาถ่านของเขา ในที่ทำงานหรือไม่ว่าที่ไหน หล่อนแสดงความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวไม่เคยมีทีท่าว่าจะอ่อนน้อมยอมตามในความคิดเห็นทางธุรกิจที่ขัดแย้งกันหรือเล่นด้วยในยามที่เขาเล่นกับพวกลูกน้องสาวๆ และเมื่อใดก็ตามที่มีการประชุมหารือและถกเถียงกัน หล่อนมักจะเป็นฝ่ายได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของเขาซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเพราะความเกรงอกเกรงใจที่มีต่อพ่อของหล่อน
เหล่านี้แหละทำให้เขารู้สึกต่อต้าน
เขาอยากให้หล่อนโง่และสวย ฉลาดในทางให้ความสุขแก่เขามากกว่าการทำงานเหมือนคู่แข่ง หล่อนน่าจะวางตัวอยู่เบื้องหลังเขาแทนที่จะโลดแล่นไปข้างหน้า แล้วดีเด่นกว่าเขาไปเสียหมดทุกอย่าง
“อันที่จริงคุณไม่ต้องน้อยใจพระท่านหรอกนะ” เขาพูดเรื่อยเฉื่อย “อย่างรูปร่างหน้าตาของคุณ ที่จริงก็จัดว่าใช้ได้”
หญิงสาววางช้อน กลืนอาหารไม่ลง อารมณ์ของหล่อนอ่อนไหวอยู่ภายใต้ท่าทีเรียบเฉย น้อยคนนักจะเข้าใจถึงความละเอียดอ่อนและความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริง
“งั้นหรือคะ”
“มันจำเป็นหรือที่คุณแต่งตัวแบบนี้ อายุคุณยังไม่ถึงสามสิบ แต่ขอโทษเถอะ ผู้หญิงอายุห้าสิบยังดูสาวกว่าคุณเลย”
“ฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองถ้าอยากจะเปลี่ยน….. แต่ว่าคงไม่ใช่ตอนนี้...” หล่อนทำน้ำเสียงเย็นชา “แล้วฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องฝืนความรู้สึกของตัวเองเพื่อให้คนอื่นพอใจ ในเมื่อคนอื่นก็ไม่เห็นจะทำให้ฉันพอใจเลย”
ชายหนุ่มยกไหล่ รอยยิ้มของเขาที่หล่อนเคยรักเคยหลงกลายเป็นยิ้มยียวนที่ก่อกวนให้ขุ่นเคืองเสมอ หล่อนดื่มน้ำ ลุกขึ้นเดินตัวตรงออกไปจากสายตา
เขามองตามเงาหลังของหล่อน เรือนผมอ่อนๆ นิ่มนวลยาวตรงถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย เสื้อคอปิด แขนยาว ตัวหลวม สวมทับไว้ด้วยกระโปรงทรงตรงยาวคลุมเข่าสีขรึม เสื้อผ้าของหล่อนกี่ชุดๆ ก็เข้าลักษณะนี้ แม่และพี่ๆ ผู้หญิงของเขายังจะดูดีกว่านี้หลายเท่า
เขาเคยรู้สึกภาคภูมิใจที่ภรรยาของเขาเป็นคนเก่ง รูปร่างหน้าตาดี กิริยามารยาทเรียบร้อย และเป็นคนของครอบครัวนักธุรกิจซึ่งเป็นที่รู้จักของคนหมู่มากทั้งในด้านของความมั่งคั่งและเกียรติยศ แต่ในเมื่อหล่อนมักจะขัดใจและขัดอารมณ์เขาแล้วยังกลับกลายมาเป็นคู่แข่งในทางความสามารถ เขาจึงเริ่มมีความรู้สึกต่อต้านและทำทุกอย่างเป็นการตอบโต้
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนไม่เคยคิดร้ายและรักเขามากด้วยซ้ำ
“แน่ใจหรือคะว่าจะให้ฉันเข้าไปในบ้าน”
มาลิน เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย หล่อนสวย ทันสมัย ปราดเปรียว เขาพบหล่อนในงานสังสรรค์ นัดกับหล่อนเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วความสัมพันธ์ลึกซึ้งในฉันท์ชายหนุ่มหญิงสาวก็เริ่มขึ้น
“แน่ใจ”
“แล้วเมียคุณไม่อยู่บ้านหรือ”
“ไม่รู้ซิ”
“ว้า อะไรไม่รู้” หล่อนร้องอย่างยุ่งยากใจ “ฉันไม่เข้าไปดีกว่า รออยู่ข้างนอกนี่แหละ”
“บอกว่าเข้าไปได้ก็เชื่อสิ”
รถคันหรูจอดรอที่ประตูรั้วจนคนงานวิ่งมาเปิด ชายหนุ่มจึงขับเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน เขาเห็นรถยนต์ที่ไม่คุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่ พอเด็กรับใช้วิ่งมารับ จึงถาม
“ใครมาหรือ”
“แขกของคุณผู้หญิงคะ”
คนตอบน้อมตัว ตามองสาวที่นั่งคู่มากับเจ้านายตาไม่กระพริบ ชายหนุ่มไม่สนใจ อ้อมไปเปิดประตู รับคู่ควงลงมายืนเคียงข้าง
“เขาไม่โวยวายฉันแน่นะ”
มาลินถามพลางจับเสื้อกระโปรง หล่อนมีผมยาวหยิกพองฟูทั้งศีรษะ แต่งหน้าจัด ชุดเสื้อผ้าที่ใส่ดูหรูหรา เปิดหลังไหล่เห็นผิวเนื้อเต็มตึงผุดผ่อง
“ผมก็อยากจะเห็นเขาโวยวายเหมือนกัน” เขาพูดอย่างนึกสนุก หล่อนจะเป็นอย่างไรหนอเมื่อโกรธเกรี้ยวหึงหวงถึงขีดสุด เขานึกภาพไม่ออกและอยากจะเห็นเสียจริง ๆ
“ถ้าเขาตบฉันล่ะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก... แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้น คุณก็สู้เขาสิ รับรองว่าสบายมาก คุณน่ะแม่เสือสาวมิใช่หรือ”
เขาแตะกำปั้นที่ปลายคางหล่อนเบา ๆ ฝ่ายนั้นทำท่าคล้ายจะกัดเป็นทีสัพยอก ธีระหัวเราะ จับแขนเปลือยเปล่าของหล่อนให้เดินตาม
เขาชงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเงาร่างโปร่งบางของภรรยาวูบออกไปจากหน้าต่าง
คงเห็นแล้ว... เขานึกกระหยิ่ม
ไม่มีใครอยู่ในห้องรับแขก สาวใช้นางหนึ่งเยี่ยมหน้าออกมา เจ้าหล่อนทำหน้าตื่นเมื่อเห็นคุณผู้ชายเคียงคู่มากับหญิงสาวระเหิดระหง
“คุณผู้หญิงล่ะ”
“อยู่ในห้องทำงานค่ะ”
“อยู่กับใคร”
“อาจารย์ปริญญาค่ะ”
เขาเลิกคิ้ว “ใครกันอาจารย์ปริญญา”
“แขกของคุณผู้หญิงค่ะ”
“รู้แล้วละน่า” เขาเริ่มหัวเสีย “จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
สาวใช้ถอยออกไป เขาชวนมาลินให้นั่ง จัดแจงผสมเครื่องดื่มให้
“ฉันไม่อยากดื่มอะไรที่นี่เลย” มาลินพูด “คุณว่าจะมาเอาเสื้อนอกไง ไปเอาเสียแล้วไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวน่า ผมอยากให้เขาเห็นคุณ”
“ทำไมเล่า คุณธีระนี่”
“ผมอยากให้เขาโกรธ ยิ่งโกรธมาก ๆ ยิ่งดี”
“บ้าพิลึก”
“นั่นซี ผมเองก็ว่าอย่างนั้น ระหว่างเขากับผมมันมีแต่เรื่องบ้าพิลึกทั้งนั้น”
“ก็แล้วทำไมไม่หย่ากันเสียทีล่ะ”
เขานิ่งไปครู่ใหญ่ อดใจหายไม่ได้เมื่อนึกว่าหล่อนอาจขอหย่าจากเขาเข้าสักวัน ก็ดีเหมือนกัน ให้หล่อนเป็นฝ่ายตัดสินใจ
“ไม่รู้สิ สักวันหนึ่งอาจจะหย่ากระมัง”
ประตูห้องทำงานยังปิดเงียบและเขาอยากจะลุกไปกระชากมันให้เปิดออกมา เขาอยากเห็นหล่อนเจ็บปวดสมดังความตั้งใจ แต่ในเมื่อหล่อนได้แต่ปิดประตูห้องอยู่กับแขกของหล่อน ซึ่งฟังชื่อดูเหมือนจะเป็นผู้ชาย เขาก็ได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ
มาลินนั่งซุกในเก้าอี้นวม ชันเข่าทั้งสองพับไว้บนเก้าอี้อย่างสบาย ปากก็พูดเจื้อยแจ้ว ธีระฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ที่จริงผู้หญิงช่างพูดก็น่าเบื่อเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาไม่มีอารมณ์จะฟัง
แล้วพิรุณก็ออกมาจากห้องทำงาน ที่เคียงข้างหล่อนคือผู้ชายวัยหนุ่มใหญ่ ร่างท้วม สามแว่นตา ทีท่ารอบรู้และใจเย็น
“อ้อ คุณ...” ธีระเป็นฝ่ายทัก “ผมและมาเอาเสื้อนอกน่ะ เดี๋ยวจะไปงาน นี่มาลินเพื่อนผม”
“สวัสดีค่ะ” แม่สาวมาลินไหว้อย่างแช่มช้อย อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเยียบเย็น ประกายตาแข็งกระด้าง
“สวัสดีค่ะ นี่พี่ปริญญาค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ฝ่ายชายก้มศีรษะให้แก่กัน ธีระมองดูด้วยประกายตาคมกล้าจับสังเกต ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ผมคิดว่าไม่เคยพบคุณมาก่อนใช่ไหมครับ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณสนิทกัน”
“พี่ปริญญาเป็นรุ่นพี่ตอนฉันเข้าเป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย” หล่อนอธิบายด้วย น้ำเสียงราบเรียบเยือกเย็น “หลังจากนั้นก็จบมาเป็นอาจารย์ช่วยสอน แล้วก็สอนหนังสือเรื่อยมา ตอนแต่งงานพี่ปริญญาได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอก เพิ่งจะกลับมาไม่นาน”
“อ้อ จะกลับมาสอนกันต่อหรือครับ”
น้ำเสียงถามออกรวน พิรุณนิ่วหน้าเล็กน้อย
“พี่ปริญญาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของคุณพ่อ ช่วยแนะแนวงานวิจัยบางอย่างให้”
“ดีจัง วันหลังผมจะได้ขอความช่วยเหลือบ้าง กับบางเรื่องนะผมโง่จัง ตามคนอื่นเขาไม่ทัน”
“พี่ปริญญากำลังจะกลับ ขอโทษนะคะ”
หล่อนตัดบทด้วยท่าทีสุภาพ พยักหน้าชวนชายหนุ่มเดินจากไป ธีระจุดบุหรี่พ่นควันคลุ้งขณะรอ ล่ำลาอะไรกันนานนักหนา เขาคิดอย่างหงุดหงิดใจ
“แฟนใหม่เมียคุณมั้ง” มาลินเย้าหัวเราะๆ แปลกใจที่อีกฝ่ายทำสีหน้าเครียด “ดีนะ” หล่อนจงใจยั่ว “คุณพาฉันมา เขาก็พาคนของเขามา เพราะอย่างนี้สินะเขาถึงไม่เดือดร้อนเลยที่คุณเที่ยวไปทำซ่ากับใคร ๆ ก็เขาแอบมีคนของเขาอยู่นี่นา”
พิรุณกลับเข้ามาในห้อง “เชิญตามสบายนะคะ” หล่อนพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินผ่านคนทั้งสองขึ้นไปห้อง...และร้องไห้...
“น้องเข้าไม่ถึงเขา น้องไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาต้องการ”
หล่อนพูดเสียงแผ่ว ปริญญามองดูหล่อนอย่างเห็นใจ เขารู้จักหล่อนมานาน สนิทสนมพอที่หล่อนจะไว้วางใจ
เมื่อแรกรู้จักกันสมัยยังเรียนหนังสือ เขาสนใจหล่อนในฐานะของรุ่นพี่อาวุโส ซึ่งต้องดูแลเอาใจใส่น้องใหม่ และหล่อนอยู่ในกลุ่มความรับผิดชอบของเขา หล่อนมีรูปร่างหน้าตาดี ท่าทีสุภาพ ออกจะเงียบขรึม เอาจริงเอาจัง ฉลาดและขยัน เมื่อเขาจบการศึกษาและเข้าเป็นอาจารย์ เขาเห็นด้วยตาว่าหล่อนทำเกรดเอในเกือบจะทุกวิชา อาจารย์ทั้งหลายมักจะพูดถึงหล่อนและยกให้เป็นนักศึกษาตัวอย่าง หล่อนมักจะถามปัญหาซับซ้อนที่ทำให้คนตอบต้องหยุดคิดแล้วคิดอีกกว่าจะกล้าตอบ
หล่อนจบการศึกษาโดยได้คะแนนระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หล่อนได้รับเสนอทุนให้เรียนต่อในระดับปริญญาโทแต่หล่อนปฏิเสธ ยังความแปลกใจและผิดหวังแก่ครูอาจารย์เป็นอันมาก
ในฐานะที่สนิทสนมกับเขา พิรุณอธิบายว่า
“น้องต้องช่วยกิจการงานของครอบครัว คุณพ่อพูดว่า ท่านต้องการให้น้องเป็นคนทำงาน ไม่ใช่นักวิชาการ ด้วยความรู้พื้นฐานแค่นี้น้องสามารถประสบความสำเร็จได้โดยอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้ ตราบใดที่ฐานะของเรามั่นคงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาใบปริญญามาเป็นเครื่องประดับ และความรู้ในทางวิชาการนั้น เราสามารถว่าจ้างทุกระดับและทุกแขนง ในข่ายงานของเรามีพนักงานที่มีความรู้ระดับปริญญาเอกมากมาย”
“คุณพูดถึงแต่คำของคุณพ่อ แล้วในความต้องการของคุณเองล่ะ ไม่อยากเรียนต่อรึ”
หล่อนหลุบตาลง สีหน้าอ่อนเศร้าขรึม
“ความต้องการของน้องไม่มีความสำคัญค่ะ คุณพ่อเชื่อในตัวน้องและมุ่งมั่นจะส่งเสริม น้องเองเชื่อมั่นและวางใจในท่าน น้องอยากเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอก แต่เหตุผลของคุณพ่อก็ถูกต้อง ท่านมีลูกจ้างนับพัน ควบคุมหลายข่ายงานโดยไม่ต้องอาศัยใบปริญญาใดๆ เลย”
หล่อนขาดหายไปจากเขา จากเพื่อนๆ ของหล่อน เขาได้ยินว่าหล่อนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หล่อนโตขึ้น รอบรู้มากขึ้น หล่อนช่วยบิดาในงานใหญ่หลายๆ เรื่อง แต่หล่อนไม่อาจเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้ดังเช่นที่บิดาของหล่อนคาดหวัง
“น้องรู้สึกสับสนเหลือเกิน”
หล่อนเล่าให้เขาฟังในภายหลังเมื่อเขากลับกลายมาเป็นลูกจ้างของหล่อน ที่ปรึกษาพิเศษทางวิชาการในสาขาวิชาที่เขาถนัด
“น้องเสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะในความเป็นจริงน้องเพิ่งจะพบว่า ที่ตัวเองต้องการคือเป็นนักวิชาการ น้องอยากจะศึกษา ค้นคว้า ทำงานวิเคราะห์วิจัยอย่างเงียบๆ สงบและสันติ การเป็นนักบริหารนั้น ที่ยากที่สุดสำหรับน้องก็ตรงที่ต้องใจแข็งและยึดหลักผลประโยชน์เป็นสำคัญ น้องต้องอยู่กับความรู้สึกฝืนใจและรู้ตัวดีว่าไม่อาจประสบความสำเร็จได้...
...คุณพ่อรู้จุดอ่อนของน้อง แต่ท่านยังคงพากเพียรสั่งสอนและเคี่ยวเข็ญ หวังจะให้น้องแข็งและแกร่ง ฉลาดและเก่งอย่างท่าน ครอบครัวของสามีก็เชื่อในตัวน้องมาก และน้องจำเป็นต้องแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความสามารถในทางธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่สามัญรู้สึกของน้อง...น้องรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน...”
ปริญญาเข้าถึงหล่อนในเรื่องของมิตรภาพ วิชาการและหน้าที่การงาน แต่ไม่เคยกล้ำกรายเข้าไปในเรื่องส่วนตัว หล่อนไว้วางใจเขาเต็มที่ด้วยดูเหมือนเขาจะเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ใกล้ชิดหล่อนที่สุด เพราะแม้แต่บิดาก็ยังปฏิบัติต่อหล่อนอย่างตึงเครียดตลอดมา หล่อนไม่เคยพูดถึงสามีกับเขา และเพราะหล่อนเป็นคนค่อนข้างจะเงียบขรึมเอาการเอางานอยู่เป็นปกติ เขาจึงคิดว่าหล่อนเพียงแยกสามีออกจากหน้าที่การงาน หาคิดไม่ว่าหล่อนพยายามแยกคนที่เป็นสามีออกจากชีวิตและจิตใจของหล่อนด้วย
หลังจากที่พบเหตุการณ์ที่บ้านหล่อนครั้งนั้น หล่อนจึงได้พูด เป็นการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและสามีเป็นครั้งแรก ทว่าเจาะลึกถึงความเป็นจริงโดยไม่มีการเสแสร้งหรือปิดบังอำพราง แสดงชัดเจนว่าหล่อนไว้ใจเขาและไม่มีใครอื่นที่หล่อนจะยึดเป็นที่พึ่งทางใจได้
“เมื่อแต่งงานกันใหม่ ๆ อะไร ๆ ดูจะไปได้ด้วยดี คงจะเป็นเพราะเรายังใหม่ต่อกัน ยังมีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่มาก แต่ยิ่งนานเราก็ยิ่งพบความไม่ลงรอยและความขัดแย้ง เราห่างกันออกไปมากขึ้น ทุกที จนแทบจะเข้าหน้ากันไม่ได้ คล้ายคนแปลกหน้าสองคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน”
“แต่คุณยังแคร์เขาอยู่มากใช่ไหม”
พิรุณนิ่งนิดหนึ่งก่อนจะตอบ “ค่ะ แคร์มาก” น้ำเสียงของหล่อนมั่นคงอย่างรู้ใจตัวเองดี “แอบชอบ แอบหลง แอบรักเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทั้งที่ไม่เคยสนิทสนมด้วยเลย เมื่อตอนแต่งงานกันยังรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่ได้แต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าคิดผิด”
“แล้วเขารู้สึกยังไงกับคุณ”
“ไม่ทราบซีคะ” หล่อนส่ายหน้า “เมื่อแรกๆ เขาดีกับน้องมาก แต่พื้นฐานจิตใจเราต่างกัน น้องเป็นลูกคนเดียว ถูกเคี่ยวเข็ญมาแต่เด็กจนกลายเป็นคนซีเรียส แต่เขาเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นน้องคนเล็กของพี่สาวหลายคน โตขึ้นมากับการตามใจ ไม่ว่ามีปัญหาอะไร พ่อแม่และพี่ ๆ ต่างจัดการให้ เขาจึงค่อนข้างจะไม่มีความรับผิดชอบ ต้องการอะไรจะต้องเอาให้ได้ รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาอย่างนั้น เขาคงเบื่อน้อง เหนื่อยหน่ายรำคาญใจในความคร่ำครึเปิ่นเชย แล้วก็หมั่นไส้ชิงชังในความหัวดื้อหัวรั้น ไม่ยอมลงให้กับเขาเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาไม่เคยพูดถึงการหย่า ไม่พูดแม้แต่จะแยกกันอยู่ อาจบางทีเขาขี้เกียจแบ่งสมบัติ หรืออาจเสียดายคนทำงานให้ เพราะน้องช่วยงานของครอบครัวเขาด้วย หรืออาจะเบื่อที่จะฟังผู้ใหญ่ตำหนิเอาก็ได้”
“คุณไม่เคยพูดคุยทำความเข้าใจกันบ้างหรือ บางทีจะได้มาพบกันครึ่งทาง”
“น้องคิดว่าเราสองคนเข้าใจกันค่ะ และมันป่วยการที่จะพูดกันเพื่อมาพบกันครึ่งทาง หนึ่ง เพราะมันเป็นการยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเขา ที่จะฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำและไม่ทำในสิ่งที่อยากทำ และสอง เราไม่ได้แต่งงานกันด้วยพื้นฐานของความรักความเข้าใจ เราแต่งงานกันอย่างคนแปลกหน้า โดยฐานะ ความเหมาะสม และความพอใจของผู้ใหญ่ ชีวิตคู่ในเมื่อไม่มีความรักเป็นรากฐาน มันก็คลอนแคลนมาแต่แรกแล้วละค่ะ”
หนุ่มใหญ่ได้แต่ถอนใจ
“น้องไม่อาจตัดใจได้ ได้แต่รอให้เขาเป็นฝ่ายขอเลิก น้องอาจจะเสียใจ แต่ถึงยังไงก็คงไม่มากไปกว่าที่เป็นอยู่แล้วในทุกวันนี้”
ธีระขยี้บุหรี่ในจานแก้ว เดินกลับไปกลับมาอย่างงุ่นงานใจ จะสองยามอยู่แล้ว เขาอุตสาห์กลับบ้านแต่หัวค่ำแต่ไม่พบหล่อน นี่หล่อนไปอยู่เสียที่ไหนกัน
ในฐานะและหน้าที่การงานอย่างหล่อน การออกสังคมเป็นเรื่องจำเป็น แต่พิรุณมักจะหลีกเลี่ยง หล่อนพอใจที่จะพักผ่อนอย่างสงบอยู่ในบ้าน เขาเคยขัดใจนักหนาที่หล่อนปฏิเสธงานสังสรรค์ ปฏิเสธผู้คนและความสนุกสนานรื่นเริงต่าง ๆ ในขณะที่เขากำลังสนุกสนานอยู่ในหมู่คนรู้ใจ หล่อนกลับมีสีหน้าฝืดฝืน ท่าทางเบื่อหน่าย หลายครั้งที่เขาเสียอารมณ์ เพราะเหตุนี้เขาจึงไปไหนๆ โดยไม่มีหล่อน
ครั้นพอเขาบ่นถึงหล่อนกับพ่อแม่ญาติพี่น้องซึ่งเคยพะเน้าพะนอเอาใจเขา เขากลับถูกตำหนิติเตียนกลับในความ “ไม่เอาไหน” ไม่เพียงเท่านั้น พวกนั้นยังยกเอาความดี ความมีแก่นสารสาระทั้งหลายทั้งปวงของพิรุณขึ้นมาข่ม ชายหนุ่มจึงขัดเคืองหล่อนอยู่เสมอ
แต่ในยามปลอดโปร่ง เขากลับคิดถึงหล่อน คิดถึงรูปลักษณ์เรียบๆ ที่ไม่ท้าทายสายตาผู้คน คิดถึงท่าทีสงบเสงี่ยมเคร่งขรึมที่บางครั้งแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว น้ำเสียงอ่อนๆ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นกระด้างเยียบเย็นยามไม่พอใจ เขาเป็นฝ่ายเกเรกับหล่อน เขายอมรับ เขาพอใจที่จะทำให้หล่อนโกรธและเจ็บปวด แต่ความพอใจนั้นมักจะเปลี่ยนเป็นความเวทนาสงสารลึกๆ อยู่ในใจของเขา
เขาตั้งใจจะดีกับหล่อน แต่ครั้นพอเข้าใกล้ก็มีอันเกิดความขัดแย้ง ขัดอกขัดใจ ไม่ก็นึกอยากยั่วแหย่ อยากรวนหล่อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เป็นอยู่อย่างนี้ไม่สุดสิ้น
“หย่ากันเสียสิ”
แม่สาวที่เขาให้ความสนิทสนมด้วย ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาจะเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจได้อย่างเต็มที่ทุกเวลา ยุแหย่ส่งเสริม เขากลับชะงักอยู่ในห้วงของความตรึกนึก แล้วก็ผ่านเลยเรื่องนี้ไปเสีย “ไม่ได้หรอก เรื่องมันมาก ยังขี้เกียจยุ่งยาก”
จากหน้าต่างห้อง ธีระเห็นรถแล่นเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าประตู อีกครู่ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกแล้วปิดตามรถที่เลี้ยวเข้ามา วูบหนึ่งเขารู้สึกโล่งใจคล้ายการรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่แล้วก็เกิดอารมณ์โกรธพาล ซึ่งเขาหมายจะระบายให้กับหล่อน
พิรุณเก็บรถเข้าที่ ไขกุญแจเปิดประตูเข้าบ้านอย่างเงียบๆ หล่อนแปลกใจที่พบธีระนั่งไขว้ขาพิงหลังอยู่บนเก้าอี้นวมริมหน้าต่างในห้องนอนของหล่อนอ ดวงตาแวววาว รอยยิ้มกึ่งโกรธกึ่งประชดประชันปรากฏอยู่บนริมฝีปาก
“โอ้โฮ วันนี้สวยจริง” เขาทักพาลๆ มองหล่อนเต็มตา
“ยังไม่นอนหรือคะ” หล่อนถามเสียงอ่อน
“ยัง รอดูอยู่ว่าคุณจะกลับกี่โมง”
หล่อนไม่สนใจอารมณ์พาลของเขา “วันนี้มีงานแนะนำสินค้า ฉันบอกกับเลขาฯของคุณไปแล้ว”
เขาเพิ่งจะนึกได้ เลขานุการเขียนโน๊ตวางไว้ให้บนโต๊ะ เขาอ่านแล้วก็ขยำทิ้ง
“งานนั้นน่ะผมรู้ แต่ไม่คิดว่าคุณจะสนใจมันมากมายถึงขนาดนี้” เขาพูดประชด มองดูหล่อนทั้งตัว หล่อนสวมเสื้อทรงกระสอบแบบเรียบ ตัดด้วยผ้าลูกไม้ละเอียดสีอ่อน คอปาดกว้าง ต้นแขนพองเล็กน้อยลีบลงจนจรดข้อมือ หล่อนสวมสร้อยไข่มุกสายเดี่ยว ซึ่งผูกปมทิ้งอยู่เกือบปลายสาย ปล่อยผมที่จัดทรงสวยและแต่งหน้าจัดกว่าเคย
“เอ้อ...” หล่อนซ่อนความขัดเขินไว้ เล่าว่า “เผอิญวันนี้มีคนจับฉันไปแต่งตัว ฉันเห็นแกหวังดีกับกระตือรือร้นมากก็เลยยอม...”
“ที่พูดถึงน่ะใคร”
“น้องสาวพี่ปริญญาค่ะ เขาทำงานด้านแฟชั่น เป็นเด็กร่าเริง น่ารักมากเลย”
“อ้อ” น้ำเสียงรับหนักหน่วง ท่าทีเรียบเฉยแต่อารมณ์เขาเริ่มเดือดปุดๆ
หล่อนยืนลังเลด้วยอีกฝ่ายยังนั่งเฉย
“เอ้อ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ทำไมต้องมีล่ะ”
“ก็...”
“ผมบอกแล้วไงว่าเพียงแต่จะรอดูคุณเท่านั้นเอง จะได้รู้ว่าเมียที่เคยเรียบร้อยคนเก่าน่ะ เฟลิตไปถึงไหนแล้ว”
สีหน้าของหล่อนเผือดลง นิ่งไปอย่างงงงันแล้วหล่อนก็เริ่มโกรธ เสียงอ่อนๆ เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระด้าง หล่อนตอบอย่างท้าทาย
“งั้นคุณก็ได้เห็นแล้วไงคะ”
“ใช่ เห็นแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรด้วย ผมนะชินชากับรูป รส กลิ่น เสียงของผู้หญิงแล้วละ เพียงแต่เสียดายที่พวกผู้ใหญ่ไม่ได้รู้เห็นด้วยเท่านั้น คุณนึกว่าผมไม่รู้หรือว่าไอ้งานเลี้ยงบ้าบอนั่นมันเลิกตั้งแต่หัวค่ำ แล้วคุณเป็นเพียงแขกรับเชิญไม่ใช่เจ้าภาพ ไม่มีเหตุผลที่จะยกเอางานนั่นมาอ้างเพื่อที่จะกลับบ้านเอาป่านนี้”
“ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องยกเอางานไหนมาอ้างทั้งนั้น ฉันจะกลับเมื่อไหร่ เวลาไหนก็เป็นเรื่องของฉัน”
“ใช่ เรื่องของคุณ คุณทำได้ ผมจึงได้บอกว่าเสียดายไงล่ะ เสียดายความเชื่อถือ ความศรัทธานิยมยกย่องที่คนอื่นๆ เขามีให้คุณ”
ดวงตาของหล่อนวาวโรจน์ หล่อนข่มสีหน้าและน้ำเสียงจนราบเรียบเย็นชา
“คุณธีระ ถ้าคุณไม่ออกไปฉันจะไปเอง”
ขามองหล่อนนิ่ง ระหว่างหล่อนและเขาดูเหมือนจะมีอยู่เพียงเท่านี้ ขัดเคืองกันแล้วก็หันหนีจากกัน เขาวิ่งไปหาสิ่งชดเชยเอาจากที่อื่น ไม่เคยสนใจว่าหล่อนจะมีทางออกอะไรสำหรับตัวเอง
เขาลุกขึ้นเดินไปที่ประตู แล้วก็กลับจับมันปิดเสีย เขาหันกลับมา สีหน้ามึนตึงเฉยเมยแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว
หล่อนมองเขาอย่างตระหนก รู้ดีว่านั้นหมายถึงอะไร แม้จะรักหลงสามี แต่ทิฐิและความโกรธอันถูกเขาก่อกระตุ้นอยู่เสมอมีอำนาจเหนือกว่า
เขาเดินเข้าหาหล่อน
“อย่านะ...ออกไป” เสียงไล่แข็งกร้าว
เขายังก้าวเข้าหา หล่อนถอยหนี รู้สักสับสน
“คุณจะทำอะไร”
“เมื่อสามีอยู่กับภรรยาสองต่อสองในห้องนอนเขาจะทำอะไรล่ะ”
เขาย้อนถาม หล่อนจ้องมองเขา หล่อนไม่พบความรัก ความอบอุ่นใดๆ จากเขาเลย เขาเพียงแต่จะกระทำตามใจตัวเอง อาจบางทีเพื่อแก้แค้นหล่อน เขานึกจะไปกับผู้หญิงอื่นเขาก็ไป นึกจะมาหาหล่อนเขาก็มา แม้หล่อนจะรักเขา แต่ก็ไม่อาจฝืนความรู้สึกขัดแย้งสับสนและทิฐิที่เกิดรุนแรงอยู่ในใจได้ หล่อนจึงต่อต้านเขาอย่างจริงจัง
หล่อนผละหนี และเมื่อถูกจับตัวได้หล่อนก็ต่อสู้...
...เสื้อลูกไม้ราคาแพงของหล่อนขาดเป็นชิ้น เม็ดไข่มุกหล่นกระจายอยู่บนพื้นห้อง พิรุณนอนนิ่ง คว่ำหน้าหันหนีออกจากอีกฝ่าย
ธีระมองดูหล่อน นึกอยากจะลูบไล้เนื้อตัวขาวเนียนเปลือยเปล่าที่คลุมไว้ด้วยผ้าห่มแพรอย่างลวก ๆ แต่ก็ชะงักมือไว้
ก็ทีหล่อนไม่เห็นไยดีเขาเลย หล่อนต่อสู้เขาทุบตี หยิกข่วนเต็มกำลัง ทำทีเหมือนรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีใครเคยทำกับเขาแบบนี้
เขารู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอีก
“คุณนี่เหมือนท่อนไม้เลยนะ เป็นอย่างนี้เฉพาะกับผมหรือเป็นกับคนอื่นด้วย”
หล่อนซุกหน้าลงกับหมอนนิ่ง น้ำตาไหลซึม
เขานิ่งไป แล้วลุกขึ้นแต่งตัว “เกลียดผมมากนักหรือไง”
หล่อนร่ำร้องอยู่ในใจ…ความรู้สึกขัดแย้งกันเอง ใช่ฉันเกลียดคุณ...เปล่า ฉันไม่ได้เกลียดคุณเลย...
เขามองร่างบอบบางที่คว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ ใจหนึ่งอยากจะจับพลิกขึ้นมากอด อยากจูบประทับรับขวัญ แต่อีกใจหนึ่งหักห้ามไว้...
เขาทิฐิเกินกว่าจะปลอบโยนหล่อนดังใจปรารถนา จึงได้แต่เปิดประตูห้องออกไป เมื่อจับมันปิด โลกของหล่อนและเขาก็ถูกแบ่งแยกจากกันดังเดิม
“มีเรื่องหรือครับ”
ปริญญาถาม ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา เขาเห็นหล่อนเดินหน้าเซียวออกมาจากห้องของบิดา ก่อนหน้านั้นบิดาหล่อนอารมณ์เสียหงุดหงิดฮึดฮัด
สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือด
“ค่ะ คุณพ่อโกรธน้อง”
“เรื่องอะไรบอกได้ไหม”
“งานที่เชียงใหม่ค่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้น” เขา เคยได้ยินหล่อนและบิดาพูดถึง แต่เนื่องจากเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบจึงไม่รู้เรื่องลึกซึ้ง
“ท่านพูดหลายครั้งแล้วน้องก็ได้แต่รับฟัง ท่านอยากให้ช่วย แต่น้องอ่อนแอเกินไป” หล่อนทอดถอนใจ “ญาติพี่น้องกันแต่ต้องมาฟ้องร้องเป็นความกันในโรงในศาลเพียงเพราะผลประโยชน์ ฝ่ายเราผิดเองที่ไว้ใจเขามากเกินไป ไม่รอบคอบพอเลยทำให้พลาดท่า เรื่องมันใหญ่โตค่ะ แต่เราจะสู้เขาก็พอทำได้ เรามีหลักฐานเรื่องอื่น ถ้าน้องอำมหิตพอและทำสำเร็จฝ่ายเขาก็จะล้มทั้งยืน”
“เราต้องตอบโต้สิครับ จะปล่อยให้เขารุกล้ำรังแกเอาข้างเดียวได้ยังไง”
“น้องขอให้คุณพ่อประนีประนอมค่ะ ถ้าเรื่องยุติลงได้แม้เราเสียหายนิดหน่อยก็ทนยอม ถือเสียว่าเป็นบทเรียน คุณพ่อโกรธค่ะ เพราะสำหรับท่านการถูกทำอย่างนี้ถือเป็นการลอบทำร้าย คุณพ่อเป็นนักสู้ สัญชาตญาณของท่านคือตอบโต้ และจะต้องโต้กลับไปให้รุนแรงกว่า แต่ความเป็นญาติพี่น้องก็ค้ำคออยู่ ท่านขัดใจมากที่น้องไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดท่านก็ยอมตามน้อง เราส่งทนายไปแต่ทางนั้นปฏิเสธกลับมา เขาต้องการให้เด็ดขาดกันไปข้างหนึ่งเพราะคิดว่าเป็นต่ออยู่ คิดว่าเราไม่มีทางสู้เขาได้”
“เรื่องนี้จะให้ผมช่วยไหม ผมจะพยายามสุดความสามารถเลย”
“ขอบคุณค่ะ น้องคิดอะไรไม่ออกแล้ว รู้สึกเหนื่อยหน่ายหดหู่ใจเหลือเกิน”
หล่อนพูด ยิ่งรู้สึกเคว้งคว้างเมื่อนึกถึงสามี เขาและหล่อนเสมือนอยู่กันคนละโลก ยามใดที่พบหน้าก็เหมือนมีกำแพงมากางกั้น หล่อนเพียงอยู่เพื่อรอวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อเขาขอแยกทาง หล่อนคิดว่ามันจะต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“ผมจะต้องศึกษาข้อมูลทั้งหมด”
“น้องจะหยิบให้ค่ะ”
หล่อนลุกขึ้น และพอก้าวพ้นโต๊ะทำงานหล่อนก็มีอาการซวนเซ ปริญญาคว้าแขนบางๆ ไว้ ถามอย่างร้อนรน
“คุณไม่สบายหรือพิรุณ”
หล่อนหลับตา ยกมือขึ้นปิดหน้า พยายามข่มความอ่อนแอของสังขาร
“ค่ะ”
เขาดึงหล่อนมานั่งลงที่เก้าอี้ “เป็นอะไรไป”
“ไม่ทราบค่ะ หลายวันมานี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“ไปหาหมอบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ น้องคิดว่ามันจะหายเอง”
“ไม่ได้หรอก ไปเถอะ ผมจะพาไปหาหมอ”
“เดี๋ยวนี้หรือคะ พี่ปริญญา ไม่ได้หรอกค่ะ งานของน้องค้างอยู่”
“งานสำคัญมากหรือ ทิ้งไว้ก่อนได้ไหม”
หล่อนนิ่งไปนิดหนึ่ง “ก็ได้ค่ะ”
พิรุณพิงร่างอย่างอ่อนแรงอยู่บนเบาะหน้าของรถ นิ่งเงียบมาตลอดทางที่เขาพาหล่อนมาส่งบ้าน ปริญญาเฝ้ามองดูหล่อนอย่างห่วงใย มีอะไรบางอย่างหนักหน่วงอยู่ในใจของหล่อนและหล่อนไม่ยอมเอ่ยปาก
เมื่อเขาถามอาการป่วยไข้ของหล่อน พิรุณตอบเพียงว่าหล่อนเครียดเกินไป ทานอะไรไม่ได้ พักผ่อนไม่เพียงพอ หมอให้ยาบำรุงและบอกให้หล่อนพัก
“พรุ่งนี้น้องอาจไม่ไปทำงานนะคะ” หล่อนบอกเขาหลังจากกล่าวขอบคุณและล่ำลาเมื่อมาถึงบ้าน “ช่วยดูแลงานแทนด้วย”
“ได้สิ พักให้สบายเลย มีอะไรโทร.ไปก็แล้วกัน ผมจะไม่ไปไหนจะอยู่ที่ทำงานทั้งวัน”
เขายังคงรออยู่จนกระทั่งหล่อนเดินเงื่องหงอยหายเข้าไปในตัวตึกจึงขับรถจากไป
“อีกหน่อยหมอนั่นคงได้เลื่อนตำแหน่งสินะ”
นั่นเป็นคำพูดที่ธีระใช้ทักทายหล่อน พิรุณมองสามี สีหน้าร่วงโรยจนชายหนุ่มสังเกตเห็น
“นั่นคุณไม่สบายหรือ” น้ำเสียงถามอ่อนลง
ลำคอของหล่อนตีบตัน แต่หล่อนจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ หล่อนไม่รู้ว่าเขาจะฟาดฟันทำร้ายหล่อนด้วยคำพูดเสียดสี กิริยาเยาะหยันอีกเท่าใด
“เปล่า”
ตอบเสียงเรียบ เดินตัวตรงผ่านเขาไปขึ้นบันได พอเข้าห้องก็ล้มตัวลงบนเตียง อ่อนเพลียทั้งใจและกาย “ธีระ...” หล่อนร่ำเรียกเขาอยู่ในใจ หล่อนอยากได้ไออุ่นจากเขา แม้ไม่ใช่ทางกาย หากเขาแสดงความอนาทรหล่อนบ้าง ก็คงอบอุ่นใจไม่น้อย
...ธีระ ขึ้นมาหาฉันสิ ได้โปรดเถอะ...
ธีระยืนลังเลอยู่ที่บันได ขาก้าวขึ้นไปแล้วก็หยุด พิรุณไม่อาจมองเห็นเขา หล่อนเพียงแต่ได้ยินเสียงติดเครื่องรถแล้วแล่นจากไป หล่อนหลับตาลงพยายามระงับความรวดร้าวในหัวใจ มือทั้งสองกุมอยู่ที่หน้าท้อง น้ำตารินไหลเป็นทาง
เมื่อหล่อนลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า บุคคลแรกที่หล่อนนึกถึงก็คือเขา พิรุณลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวพาตัวเองมายังห้องอาหาร หล่อนตั้งใจจะไม่ไปทำงานและจะนั่งรอเขาที่นั่น
...จะพูดอะไรกับเขาดี... หล่อนถามตัวเองแล้วก็หาคำตอบไม่ได้ มันน่าตลกเสียจริง หล่อนมีปัญหาเช่นนี้มาตลอด ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาดี เขาไม่สนใจในความผันผวนของธุรกิจ หรือข่าวเบื้องหลังการล้มของบริษัทใหญ่ๆ หรือปัญหาที่น่าสนใจใด ๆ เขาเกลียดทั้งวิชาการและเรื่องการเมือง แต่ถ้าจะคุยกันเรื่องสถานเริงรมย์หรือภาพยนตร์ใหม่ ๆ หล่อนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
...ช่างเถอะ... หล่อนคิด อย่างน้อยได้เห็นหน้ากันก็ยังนับว่าดี หล่อนตั้งใจจะไม่ขัดแย้งกับเขา หากเขาพาลหล่อนก็จะไม่ถือสา
“แล้วถ้าเขาขอเราหย่าล่ะ” ใจหล่อนกระตุกวูบเมื่อนึกถึง แขนขาอ่อนแรงจนต้องทรุดนั่งลง
สาวใช้ยกอาหารออกมาตั้งที่โต๊ะ หล่อนรู้สึกคลื่นเหียนจนต้องเมินหน้า
“คุณผู้ชายล่ะ”
“ออกไปตั้งแต่แต่ยังมืดค่ะ”
เหมือนพลังงานทั้งมวลของหล่อนจะมลายสูญหายไป ณ บัดนั้น หล่อนโทษตัวเองที่ตั้งใจจดจ่อเกินไปและดังนั้นจึงผิดหวังอย่างรุนแรง
“ยังไม่สบายอยู่หรือครับ”
ปริญญาถามอย่างห่วงใย เขาเปิดประตูห้องทำงานของหล่อนเข้ามาและพบว่าหล่อนเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นจากการฟุบอยู่กับโต๊ะ สีหน้าเผือดซีด ดวงตาแห้งผากท้อแท้
“เปล่าค่ะ...น้องเพิ่งมาจากห้องคุณพ่อ”
“มีเรื่องอีกหรือ”
“ค่ะ น้องพลาดอีกแล้ว”
“เรื่องอะไรครับ”
“เกี่ยวกับสัญญาที่เราทำกับบริษัท เอช.เอ.ที. ค่ะ น้องละเลยข้อต่อรองบางอันที่คณะกรรมการเราเซ็ทกันไว้ น้องผิดจริง ๆ”
“คุณพ่อโมโหใหญ่หรือ”
“ค่ะ สัญญาก็ทำเสร็จไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ น้องนี่แย่มากจริง ๆ นอกจากคุณพ่อจะโกรธแล้วคนอื่น ๆ ก็คงตำหนิด้วย แต่เขาไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ ถึงอย่างนั้นน้องก็ไม่สบายใจอยู่ดี”
“คุณคงเครียดมากเกินไป ผมอยากแนะนำให้คุณหยุดทำงาน พักผ่อนอยู่เฉย ๆ สักระยะหนึ่ง”
“พักหรือคะ ไม่ดีกว่า น้องอยากทำงานเพื่อจะได้ลืมอะไร ๆ ที่มันรบกวนจิตใจเสีย”
“ผมจะช่วยอะไรได้บ้างไหม”
“ขอบคุณค่ะ” หล่อนมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ “พี่ปริญญาดีต่อน้องมาก ดีตลอดมาเลยจริง ๆ”
เขาชวนหล่อนออกไปทานอาหาร พิรุณทำหน้าพะอืดพะอม
“น้องเบื่ออาหารค่ะ ทนกลิ่นทนเห็นไม่ได้เลยจริง ๆ”
“คุณเป็นอะไรไปหรือ ร้ายแรงมากหรือเปล่า”
“หมอบอกว่าน้องกำลังจะมีเด็ก”
ปริญญาชะงัก พิรุณไม่ได้จับสังเกตเห็นความผิดหวังบนใบหน้าเขา
“ดีใจไหม” เขาถามเสียงปร่า
“ใจหนึ่งดีใจมากค่ะ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่...น้องไม่มั่นใจอนาคตเลย นี่พ่อของเด็กก็ยังไม่รู้เรื่อง...”
“ทำไมไม่บอกเขาล่ะครับ”
“ยังหาโอกาสไม่ได้” น้ำเสียงของหล่อนขมขื่น “เราสวนกันไปสวนกันมา พอพบหน้ากันก็พูดไม่ออกหรือไม่อย่างนั้นก็ไม่มีโอกาสจะพูด”
“เฮ้อ” เขาถอนใจใหญ่ รู้สึกหนักในหัวอกด้วยความผิดหวังและเวทนาหล่อน
“ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ”
พิรุณมองเขาอย่างงุนงง หล่อนเฝ้ามองดูเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่รถของเขาเลี้ยวเข้ามาในบ้าน หล่อนสวมชุดลำลองสีสดใส ปล่อยผมยาวสยาย ใบหน้านวลเรืองเรื่อ หวังว่าจะทำให้เขาพอใจเมื่อพบเห็น
หล่อนเดินมารับเขาที่ห้องรับแขก พอพบหน้ากัน เขาก็ระเบิดใส่หล่อนในทันที
“บอกอะไรคะ”
“ก็บอกเรื่องที่คุณกำลังจะมีเด็กน่ะซี”
“อ๋อ...” หล่อนคราง วางสีหน้าไม่ถูก หล่อนคงขวยอายหากเขาถามอย่างสุภาพอ่อนโยน “ฉัน...ไม่มีโอกาส...”
“ไม่มีโอกาส”v ชายหนุ่มคุกรุ่นไปด้วยโทสะ “คุณอยู่บ้านเดียวกับผมแต่คุณไม่มีโอกาส แต่คุณบอกเจ้านั่นได้ คุณมีโอกาสกับมันมากมายนักสินะ”
หล่อนหน้าซีด มือทั้งสองกำแน่น หล่อนรอเขาอยู่ หล่อนวางความวิตกกังวลในการงานทั้งหมดลงปลุกปลอบใจตนเองให้แจ่มใส หล่อนหวังอยู่ว่าหล่อนจะเริ่มต้นกับเขาอีกสักครั้ง และหากทำได้ มันจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงกำลังใจหล่อนให้ต่อสู้กับงานต่อไป
“ผมแวะไปที่ทำงานคุณ ผมพบเจ้าหมอนั่นและมันบอกผม หนอย... แค่นมาแสดงความยินดี มันนึกว่าผมจะดีใจนักรึ”
หล่อนกลับหลังอย่างเชื่องช้า เดินหนีจากเขาด้วยท่าทางคล้ายหุ่นยนต์ น้ำเสียงขุ่นเคืองโกรธเกรี้ยวของเขายังดังไล่หลังมา
“ทำไมคุณไม่บอกผม ทำไมไปบอกเจ้าหมอนั่น เด็กนั่นมันลูกของใคร ของผมหรือของมัน”
หล่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียง นัยน์ตาลืมโพลง ตาค้าง หูอื้อ สมองอึงอลสับสน น้ำตาไหลพรากไม่หยุด สิ่งต่าง ๆ รุมเร้าเข้าโจมตีหล่อน ความผิดหวังในสามี ความผิดพลาดในการงานและความรู้สึกกระทบกระเทือนใจที่ถูกบิดาตำหนิครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทางและคำพูดของธีระยังเต้นเร่าอยู่ในความทรงจำ เขาไม่ดีใจกับลูกของหล่อน เขาไม่ยอมรับว่าเป็นลูกของเขา แล้วครอบครัวของเขาล่ะ คนเหล่านั้นจะคิดอย่างไร
หล่อนลุกขึ้น เดินไปหยิบยานอนหลับหนึ่งเม็ดใส่ปาก กลืนน้ำ หวังจะยุติพายุร้ายในความรู้สึกนึกคิดลง หล่อนเดินกลับมานอนหลับตา พยายามที่จะหลับ ได้ยินเสียงเขาเดินปึงปังอยู่ในห้อง ครู่หนึ่งก็ลงบันไดไป ต่อจากนั้นก็มีเสียงรถแล่นออกไปจากบ้าน ใจหล่อนละลิ่วอย่างหมดหวัง หล่อนลุกเดินไปกินยาอีก นานมาแล้วที่ประสาทของหล่อนค้างคาอยู่กับความทุกข์ระทม หล่อนหวังจะยุติมันเสียทั้งหมด พิรุณร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน ไม่ได้นับด้วยซ้ำว่าหล่อนกลืนยาลงไปกี่เม็ด
ธีระขับรถออกจากบ้านด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่เพียงครู่ใหญ่ในท้องถนน อารมณ์ของเขาก็กลับเย็นลง เขาได้สำนึกว่าเขานั้นดีแต่โมโหโทโสและพูดกับหล่อนรุนแรงเกินเหตุ ทั้งนี้และทั้งนั้น มันเกิดจากความอิจฉาริษยาผสมหึงหวง เขาเกลียดหน้าปริญญามาแต่ต้นในข้อที่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นเข้าถึงเมียของเขาขณะที่เขาและหล่อนดูเหมือนจะเป็นปฎิปักษ์ต่อกัน แท้จริงแล้วความผิดพลาดในความสัมพันธ์กับหล่อนเกิดขึ้นที่ตัวเขาเอง เขายอมรับแต่ไม่อาจจยุติมันลงได้
เห็นภาพพ่อแม่ลูกที่ข้างถนน ประคับประคองประคบประหงมกันด้วยความรักใคร่ เขาเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างประหลาดทั้งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขามักจะมองสิ่งต่าง ๆ อย่างฉาบฉวย เพราะเหตุนี้เขาจึงมองข้ามสิ่งดี ๆ ไปมากมาย
เขาเลี้ยวรถกลับ ขับตรงกลับมาบ้าน
เขาจะพูดอะไรกับหล่อนดี เขาถามตัวเอง หล่อนโกรธเขา แต่ถ้าเขาดีด้วยหล่อนก็จะอ่อนลง มันเป็นอย่างนั้นเสมอมา เขารู้ว่าเพราะหล่อนรักเขา และเพราะรู้ว่าหล่อนรักเขาจึงยิ่งเกเร เป็นการตอบโต้ที่หล่อนไม่ยอมอ่อนข้อลงให้แก่เขาในเรื่องที่เขาต้องการ
เขารู้สึกอบอุ่นล้ำลึก ขณะเคาะประตูห้องเบา ๆ
เงียบ...เขาเคาะอีกและเรียก “พิรุณ พิรุณ เปิดประตูเถอะ”
เงียบ
เขาเห็นแสงไฟจากภายในห้อง หล่อนคงยังไม่หลับ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงกริ่งเรียกของโทรศัพท์ หนึ่งครั้ง...สองครั้ง...เขาเงี่ยหูฟัง...เก้าครั้ง... สิบครั้ง...เสียงเงียบไปแล้วดังขึ้นอีก ยังไม่มีคนรับสาย
สาวใช้เยี่ยมหน้าออกมา เขาถามลงมาว่า
“คุณผู้หญิงอยู่ในห้องหรือเปล่า”
“อยู่ค่ะ แต่เมื่อกี้หนูเรียกก็ไม่ตอบ”
เขาระดมตบประตูเต็มที่ เรียกเสียงดัง “พิรุณ พิรุณ” ยังไม่มีเสียงตอบรับ และเขารู้ว่าไม่ใช่วิสัยของหล่อนที่จะประท้วงเขาด้วยการปล่อยให้ตะโกนเรียกอึงคะนึงแบบนี้ คนรับใช้พากันมาอออยู่ที่ห้องชั้นล่าง เขาตะโกนสั่งคนทำสวน “ไอ้เล็กไปเอาชะแลงมาเร็วเข้า”
หล่อนนอนนิ่ง ลมหายใจอ่อนล้าแผ่วเบา ใบหน้าขาวซีด ดวงตาปิดสนิท หล่อนพ้นจากความตาย แต่หมอไม่อาจช่วยชีวิตเด็กในครรภ์ไว้ได้
ผู้คนมากมายพากันเดินเข้าเดินออกจากห้อง จ้องมอง จับต้องตัวหล่อน กระซิบกระซาบไต่ถามถึงอาการด้วยความห่วงใยใคร่รู้ หล่อนไม่ได้รับรู้ในความห่วงใยเหล่านั้น หล่อนไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้นในความเสียใจของทั้งบิดาและสามี บิดาของหล่อนนั้นดูเหมือนจะชราภาพลงไปในทันใด เข้าใจว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวผู้เป็นที่รักต้องหาทางออกกับยานอนหลับที่มากเกินขนาด ชายชรามองดูหล่อนด้วยความรักและห่วงใย ลูบผมหล่อนพลางกล่าวพึมพำ
“พ่อเคี่ยวเข็ญลูกมากเกินไป ยกโทษให้พ่อด้วย”
ธีระนั่งซึมอยู่ข้างเตียง เสียดายลูกอย่างที่สุด หล่อนยังอยู่ในอาการหลับไหล ไม่แน่นักว่าหากหล่อนฟื้นตื่นขึ้นมา หล่อนจะไปจากเขาหรือไม่ ปริญญายืนอยู่ห่าง ๆ ใบหน้าบอกความรู้สึกแจ่มชัด ธีระรู้ดีว่าคนทั้งสองสนิทสนมกัน แต่มาประจักษ์ว่าปริญญารักเมียของเขาเมื่อชายผู้นี้บอกเขาเรื่องพิรุณตั้งครรภ์ เขาเห็นความขมขื่นฉายชัดอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งทำให้เขาโกรธมาก “...กรุณาดูแลเธอด้วย เธอกำลังเครียดมาก เธอต้องการคุณ…”
“ขอบคุณ” เขาตอบอย่างประชดเต็มที่ “ดูเหมือนคุณจะรู้จักเมียผมดีเหลือเกินนะ รู้ไปหมดทุกเรื่องแม้แต่ว่าเธอต้องการอะไร”
แล้วเขาก็จากมาด้วยอารมณ์อันคุกรุ่นไปด้วยความโกรธและริษยา เมื่อพบหน้าหล่อน สิ่งที่เขาทำก็คือระเบิดระบายอารมณ์อันนั้นเอากับหล่อน
ในเวลานี้ ซึ่งเขาเสียลูกไปแล้วและหล่อนเพิ่งพ้นจากความตาย เขารู้สึกเสียใจและสำนึกในความผิดของตนเองต่อหล่อน เดชะบุญที่เขาย้อนกลับไปบ้านและสังหรณ์ห่วงใยถึงกับพังประตูห้อง หากไม่เช่นนั้นเขาอาจสูญเสียหล่อนชั่วนิรันดร์
“กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะ” คนอื่น ๆ บอกกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยสีหน้าท่าทางของเขาโรยราเต็มที แต่เขายืนยันปฏิเสธ “ไม่ครับ ผมจะอยู่ที่นี่”
เขานั่งอยู่ข้างเตียง จ้องมองดูหล่อนหายใจระรวย ใบหน้าขาวซีดสงบนิ่ง เขานึกฉงนใจเป็นครั้งแรกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของหล่อน หล่อนเคยมีความสุข ความสนุกสนานเช่นเด็กหญิงและหญิงสาวอื่น ๆ หรือไม่ เขาเพิ่งจะนึกได้ว่าเขาไม่เคยเห็นหล่อนหัวเราะอย่างสดใสมีความสุขจริง ๆ เลยสักครั้ง
พ่อของหล่อนตรากตรำเคี่ยวเข็ญหล่อนมาแต่เล็ก ด้วยกลัวว่าลูกสาวซึ่งมีอยู่เพียงคนเดียวจะอ่อนแอ ธีระเองก็คิดตลอดมาว่าหล่อนเป็นคนแข็ง จนกระทั่งไม่เคยเฉลียวใจถึงความบอบบางในอารมณ์ของหล่อน เขาไม่เคยปรานีต่อความรู้สึกของหล่อนเลย หนำซ้ำยังกระหน่ำเข้าใส่อย่างทารุณในยามที่หล่อนกำลังมีความทุกข์ถึงขีดสุด
เขาได้แต่นึกลงโทษตัวเอง
เขางีบหลับไปด้วยความง่วงงุนและอ่อนเพลีย เมื่อสะดุ้งตื่นเขาต้องงุนงงเมื่อเห็นหล่อนนอนลืมตามองอยู่
“พิรุณ” เขาเรียก ถลาเข้าประชิดตัวอย่างยินดี “พิรุณคุณตื่นแล้ว”
สีหน้าของหล่อนเฉยชา หล่อนเมินหน้าไปทางอื่นพลางพูดเสียงแผ่ว
“ฉันไม่อยากตื่น”
“ตื่นเถิด พิรุณ” เขาจับมือหล่อนไว้ “ตื่นขึ้นมาหาผม ผมรักคุณนะ”
หล่อนหันกลับอย่างเชื่องช้า ดวงตาอ่อนโรยจ้องมองเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ผมรักคุณ” เขาพูดซ้ำ น้ำเสียงสั่นแต่ก็หนักแน่นจริงใจ “ผมเสียใจ ผมขอโทษทุกอย่าง ผมจะไม่เหลวไหลอีก”
หล่อนมองเขาอย่างพิศวง แล้วหลับตาลงนิ่งนาน
เขาก้มลงมาจูบทั่วใบหน้า จนกระทั่งได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ “ฉันตายแล้วใช่ไหม หรือว่ากำลังฝัน ถ้ากำลังฝันฉันก็อยากจะตื่นขึ้นแล้ว”
เขาถอยใบหน้าห่างออกมองสบตาคู่สวยที่อ่อนโรย “คุณอยากตื่นเพราะว่าทนให้ผมจูบคุณไม่ได้แม้ในความฝันหรือ แต่ว่าน่าเสียดายที่คุณไม่ได้หลับ ไม่ได้กำลังฝันอยู่ ผมกำลังจูบคุณอยู่จริงๆ...”
เขาพูดต่อยิ้มๆ “แล้วไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ คุณจะต้องทน เพราะว่าต่อไปนี้ผมจะจูบคุณทุกๆ วัน และทุกๆ คืน และแม้ว่าคุณจะเบื่อจะไล่อย่างไร ผมก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ข้างๆ คุณตลอดเวลา”
พิรุณแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินและสายตาของตัวเอง หล่อนได้เห็นในสิ่งที่หล่อนนึกไม่ถึง หล่อนเห็นความจริงจัง ความรักและความอบอุ่นจากเขา มือบางๆ ที่ไร้เรี่ยวแรงของหล่อนกระชับตอบเขาเบาๆ และธีระก็ได้เห็นประกายตาและรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นจากหล่อนมาก่อน
เขาหัวเราะเบาๆ อย่างโล่งใจและยินดี เขาจูบหล่อนอีกหลายครั้ง
คนอื่นๆ ต้องแปลกใจที่คนไข้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเปล่งปลั่งมีสีสัน และในที่สุดก็ออกจากโรงพยาบาลโดยการประคับประคองเอาใจใส่ของคนที่เป็นสามี......…
เคยลงพิมพ์ใน “เรื่องสั้นขนาดยาว “ นิตยสาร สกุลไทยรายสัปดาห์ ประมาณปี พ.ศ. 2525-2526