เรื่องสั้น งานเขียนจากผู้อ่าน | |
18 | ประตูวิเศษ |
27 | ผู้วิงวอน |
33 | กว่าจะรู้ว่ารัก |
46 | มาดาม |
47 | ย้อนรอยรัก |
48 | เธออยู่ไหน |
49 | ครอบครัว |
หน้าที่
1/1 |
กริชมา”
แม่บอกหล่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แฝงความวิตกทุกข์ร้อนเช่นเดียวกับสีหน้า หล่อนรับคำด้วยใบหน้าเรียบเฉยซึมเซา เดินผ่านแม่จากห้องข้างในออกมายังห้องรับแขกด้านหน้า
กริชนั่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง เอนหลังพิงพนัก ศีรษะพาดพิงไปข้างหลังคล้ายสิ้นเรี่ยวแรง เขาขยับนั่งตรงเมื่อเห็นหล่อน
“ต้อง...”
หล่อนเดินมานั่ง “ว่าไง ทำไมมาแต่เช้า”
“ผม...กลุ้มใจ” เขาส่ายหน้า มองหล่อนอย่างอัดอั้น “ต้อง ตรึงไม่กลับบ้านมาสองวันแล้ว”
ต้องตาอึ้ง “เขาไปไหน”
“ผมไม่รู้” เขาตอบ “เมื่อวันศุกร์ผมเลิกงานกลับบ้านก็ไม่พบ มีแต่จดหมายทิ้งไว้บอกว่าไปต่างจังหวัดกับเพื่อน ไม่ได้บอกเลยว่าจะไปที่ไหนกับใคร เมื่อไหร่ถึงจะกลับ”
หล่อนได้แต่นั่งมองเขา กริชซบหน้าลงกับฝ่ามือ น้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ผมกลัวเหลือเกินว่าตรึง จะไม่กลับมาหาผมอีก ผมไม่อยากให้มันสิ้นสุดลงตรงนี้เลย จริงละ ตรึงทำให้ผมเจ็บปวดมาก แต่ผมก็รักเธอ... กลัวว่าเธอจะไปจากผมจริงๆ”
“กริช” ต้องตาลุกไปนั่งใกล้เขา “อย่าตีตนไปก่อนไข้เลย ใจเย็นๆ รอดูไปก่อนเถอะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
“ถ้าคุณเป็นผม คุณจะต้องเชื่อ มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ” กริชพูด ดวงตาของเขาโรยรา ไรหนวดเขียวครึ้มทาบอยู่บนใบหน้า เขาคงแทบจะไม่ได้นอนและไม่ได้เอาใจใส่ตัวเองเลย
ใช่ ถึงหล่อนไม่ได้เป็นเขา ต้องตาก็เอนเอียงที่จะเชื่อ หล่อนรู้จักนิสัยของตรึงใจดี หล่อนเคยเตือนกริชแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าเขาไม่ฟัง
ตรึงใจไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่ว่าหลงง่ายและไม่เคยยับยั้งชั่งใจในความควรไม่ควร หล่อนเลื่อนลอยไร้ความหนักแน่น แม้บางครั้งจะตั้งใจในสิ่งที่ดี หากพอมีอะไรมากระทบ หล่อนจะหันเหเฉเฉียงหลงทางทันที
ตรึงใจเป็นคนสวย ตั้งแต่เริ่มสาว หล่อนก็มีเพื่อนผู้ชายมากมายตลอดมา คนเหล่านั้นพิเศษล้ำเส้นเกินกว่าคำว่า “เพื่อน” แทบทั้งสิ้น ทุกคนต่างมุ่งที่จะถือสิทธิ์ในตัวหล่อน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครยืดเยื้ออยู่นาน เนื่องจากตรึงใจไม่ให้สิทธิ์ใครจริงจังเลย
ต้องตาเองก็แปลกใจ ที่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะทำให้ตรึงใจพอใจได้จริงๆ วันนี้หล่อนกรีดกราดชื่นชมคนนี้ พรุ่งนี้หล่อนกลับไปชื่นชมคนนั้น ตรึงใจหาญมีคนรักทีละหลายๆ คน แล้วก็ต้องเสียทั้งเวลาและกำลังความคิดสับหลีกหลบรางกันให้วุ่นวายไปหมด บางครั้งถึงคราวหล่อนพลาด ขบวนรถไฟชนกันโครมใหญ่ เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นพักหนึ่ง แล้วทั้งหมดก็เลิกรากันไป ตรึงใจไม่แคร์ ไม่ช้าหล่อนก็หาแฟนใหม่ได้อีก
กริชเป็นเพื่อนของต้องตา ทั้งสองเรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่อยู่โรงเรียนเตรียม แล้วตามกันเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งสองสนิทสนมกัน แต่ต้องตาไม่มีความรู้สึกต่อเขามากกว่าความเป็นเพื่อน หล่อนแอบพึงใจผู้ชายคนนั้นคนนี้ตามประสาเด็กสาว แต่ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นกับกริช ดังนั้นเมื่อกริชหันไปสนอกสนใจตรึงใจถึงขนาดกลายเป็นคนรักกันทั้งๆ ที่รู้จักกันได้ไม่นาน ต้องตาก็เพียงแต่รู้สึกเหงานิดหน่อยเท่านั้น
ตอนนั้นตรึงใจเพิ่งกลับจากต่างประเทศ หล่อนไปเรียนวิชาออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าต่อจากที่เรียนจบในเมืองไทย ตอนที่ตรึงใจจะไปนั้น ต้องตาโล่งอกที่เรื่องยุ่งๆ ของหล่อนจะยุติลงได้ แต่ตรึงใจก็ไปผูกปมยุ่งเหยิงใหม่ที่ต่างแดน แล้วก็กลับมาในลักษณะหนีปัญหาอีกตามเคย ตรึงใจลืมความยุ่งยากที่ตนก่อขึ้นแล้วก็พร้อมที่จะสร้างมันขึ้นใหม่อีก
ตรึงใจมีรูปทรงสมส่วนปราดเปรียว หล่อนพิถีพิถันเอาใจใส่ตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จึงงดงามพริ้งเพราอยู่เสมอ หล่อนรื่นเริง เปิดเผยช่างคุยและช่างประจบเอาใจ ทว่าไม่ยอมรับผิดชอบในสิ่งที่ตนไม่พึงใจใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนต้องตานั้นต้องรับภาระของครอบครัวมาตั้งแต่อายุสิบสี่ ตั้งแต่บิดาของหล่อนเสียชีวิต แม่ของหล่อนเป็นคนอ่อน ยอมตัวอ่อนข้อให้แก่สามีและลูกๆ ตลอดมา แม่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย เมื่อไม่มีพ่อ ต้องตาจึงต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว
ต้องตาไม่ใช่คนช่างคุย ร่าเริงสนุกสนานทั้งๆ ที่หล่อนอยากจะเป็นอย่างนั้น ดูเหมือนหล่อนเข้มแข็งหนักแน่นจน ไม่มีใครรู้สึกถึงความเหงาและว้าเหว่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใน ทุกคนโยนปัญหามาให้หล่อนโดยไม่เฉลียวใจว่า หล่อนก็มีปัญหาของตัวเอง
เมื่อกริชบอกหล่อนว่าเขารักตรึงใจ ต้องตาก็เตือนเขา
“ระวังนะกริช ตรึงไม่เหมือนคนอื่น”
“ไม่เหมือนยังไง” เขายิ้มขัน
“เขาไม่เคยจริงจังกับอะไรหรือกับใครเลย เขาเบื่อง่าย หลงง่าย เห็นใหม่ดีกว่าเก่าอยู่เรื่อย”
“งั้นผมก็ต้องทำตัวให้ใหม่อยู่เรื่อยๆ ซี” เขาพูด ต้องตาได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่มีใครทำอย่างนั้นได้นานหรอกกริช”
ระหว่างที่มีกริช ตรึงใจก็มีคนอื่นด้วย เมื่อตรึงใจเอ่ยถึงคนอื่น ต้องตาก็ปรามหล่อน “แล้วกริชล่ะ” ต้องตามักจะมีคำถามเช่นนี้ “กริชรู้หรือเปล่า” ....“ตรึงทำอย่างนี้ไม่ดีนะ”
แต่ไหนแต่ไรมา ตรึงใจไม่เคยฟังหล่อน ตรึงใจเป็นที่รักที่ทะนุถนอมของทุกๆ คน มาตั้งแต่อ้อนออก และกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ต้องตาซึ่งมีอายุมากกว่าเพียงไม่ถึงสองปี จะมีอิทธิพลเหนือตรึงใจอย่างไรได้
หล่อนไม่ปริปากบอกกริช ไม่เคยรายงานว่าตรึงใจไปที่ไหนกับใคร และใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับตรึงใจบ้าง กริชเคยบอกหล่อนว่า “ตรึงเขาบอกว่าไปกับเพื่อน” ต้องตาพยักหน้าทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่จริง ตรึงใจมักจะโกหกกริช แต่ต้องตาก็ต้องเงียบ
แล้วกริชก็จับได้ว่าตรึงใจโกหก ทั้งสองมีปากเสียงกัน ร้องไห้ร้องห่มแล้วเรื่องก็มาลงที่ต้องตา ตรึงใจตะบึงตะบอนโกรธเคืองหาว่าต้องตาฟ้องกริช ส่วนกริชก็กล่าวโทษว่าต้องตาช่วยปิดบัง จากนั้นทั้งคู่ก็งอนง้อคืนดีกัน ทิ้งความร้าวรานที่ต่างก็ก่อไว้ในหัวใจของคนกลาง
นั่นไม่ใช่จะทำให้ตรึงใจเข็ด ตรึงใจยังโกหกกริชและแอบมีรักซ้อนซ่อนรัก กริชเคยขอหล่อนแต่งงานแต่ตรึงใจบ่ายเบี่ยง แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งตรึงใจก็ทวงถามเขา กริชตื่นเต้นยินดีมาก เขาวิ่งรี่มาหาต้องตา ทว่าฝ่ายรับฟังได้แต่นิ่งอั้น
ก็หล่อนรู้เรื่องผู้ชายอีกคนหนึ่งดี รู้แม้กระทั่งว่าตรึงใจหลงใหลเขาคนนั้นมากเพียงใด “กริชน่ะหรือ ชึ.!” ตรึงใจยักไหล่อย่างดูแคลนระคนเบื่อหน่ายกับต้องตา ผู้ซึ่งพยายามจะรักษาผลประโยชน์ให้แก่กริช ตรึงใจโกหกกริชเพื่อที่จะไปกับผู้ชายคนนั้น “ไปเถอะพี่ต้อง ไปบอกเขาเลยว่าตรึงไปกับใคร บอกเขาเลยว่าตรึงขอเลิกติดต่อกับเขา”
แล้วจากนั้นไม่นาน ตรึงใจก็มีอันต้องพิโอดพิโอย ร้องไห้คร่ำครวญ ตีอกชกหัวอาละวาดปึงปังจนบ้านช่องแทบจะทลายลงมา ด้วยความรู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งคั่งแค้น หล่อนทำกับคนอื่นไว้มาก ครั้งนี้มาโดนเข้ากับตัวเอง ผู้ชายคนนั้นทำกับตรึงใจสาหัสนัก ใช้เสน่ห์ผูกมัดลวงล่อให้หล่อนตายใจ หล่อนทุ่มเทให้เขาหมดทุกอย่าง แม้ในสิ่งที่ชายอื่นไม่เคยเอื้อมถึง ครั้นแล้วก็จับได้ว่าเขาเป็นจอมเจ้าชู้และยอดนักโกหก เขามีผู้หญิงอื่นอีกมากหลาย และที่น่าคั่งแค้นที่สุดก็คือตรึงใจไม่ใช่คนพิเศษสำหรับเขา
ต้องตาจึงเป็นคนแรก ที่เดาออกว่าตรึงใจจะแต่งงานกับกริชเพราะอะไร หล่อนคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับกริช หนึ่งนั้นเพราะตรึงใจเพียงต้องการประชด และสอง...ต้องตาไม่คิดว่าตรึงใจจะทำให้กริชมีความสุขสงบได้
“เธอจะแต่งกับตรึงหรือกริช”
“แต่งซี แต่งแน่” กริชตอบทันที ไม่ปิดบังความยินดีเอาไว้เลย
“ต้องว่ากริชควรคิดดูให้ดีก่อน” ต้องตาพูดช้าๆ กริชมองหล่อนอย่างคลางแคลง
“ทำไมล่ะต้อง มีอะไรจะต้องคิดอีก ตรึงกับผมรักกัน มันไม่น่ายินดีหรอกหรือที่เราจะแต่งงานกัน”
“มันก็น่าหรอกถ้าคุณรักกันจริง ต้องกลัวแต่ว่าคุณจะรักเขาข้างเดียว”
“หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของกริชชักแข็งขึ้น ต้องตาอ้ำอึ้ง พยายามคิดหาคำพูด
“ยายตรึงน่ะ ยังเด็ก แกอายุยี่สิบสามแล้วก็จริง แต่แกยังเป็นเด็กเสมอ ตามใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล ไม่รอบคอบ แล้วก็...ฉันคิดว่ายายตรึงแทบจะไม่รู้ใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ
เขามองหล่อนอย่างผิดหวัง “ผมไม่เข้าใจ” เขาส่ายหน้า
“คุณลองนึกดูซีกริช ทำไมจู่ๆ ตรึงก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งๆ ที่แกบ่ายเบี่ยงมาตลอด คล้ายกับว่ามันเป็นอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น การแต่งงานไม่ใช่ของเล่นๆ นะกริช มันเป็นเรื่องใหญ่ คุณต้องคิดกันให้ดีก่อนตัดสินใจ”
“แต่ผมตัดสินใจแล้ว” เขาพูดอย่างดื้อดึง แสดงท่าทีให้รู้ว่าไม่ต้องการฟังต้องตาอีกต่อไป “ผมไม่สนใจว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ผมรู้แต่ว่าผมต้องการตรึง และเธอยอมแต่งงานกับผม ผมเพียงแต่แปลกใจที่คุณไม่ยินดีกับเราเท่านั้น”
แล้วทั้งสองก็เข้าพิธีแต่งงานกัน กริชยิ้มรื่นกับต้องตาเช่นเคยหลังจากที่มึนตึงด้วยความขัดเคืองใจในเบื้องแรก และดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยต้องตาช่วยเหลือเรื่องงานให้โดยตลอดด้วยความมีน้ำใจ เป็นอันว่ากริชได้แต่งงานกับคนที่เขารัก และตรึงใจก็ได้สามีที่ดียิ่งเท่าที่ต้องตาจะมองหาพบ
แต่มันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้จริงๆ
ตรึงใจยังไม่ทิ้งนิสัยเจ้าชู้ ขี้เล่น ช่างหยอกเย้าของหล่อน หล่อนจึงมีคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่ ดูเหมือนจะเกิดการอกหักกันขึ้นครั้งใหญ่ในหมู่ชายหนุ่ม เมื่อหล่อนท้อง ตรึงใจไม่อยากจะมีลูก หล่อนบ่นพึมพำแสดงความไม่พออกพอใจไม่เว้นแต่ละวันตั้งแต่เริ่มท้องอ่อนๆ จนท้องแก่ขึ้นและยายหนูคลอดออกมา
“เฮ้อ... เบื่อเลี้ยงลูกจริง” ตรึงใจมักจะร้องออกมาเช่นนั้น พอถึงวันหยุดหล่อนก็จะเรียกแม่หรือพี่สาวไปช่วยดูลูกให้ ไม่เช่นนั้นก็หอบหิ้วมาทิ้งไว้ที่บ้านเดิม แล้วตัวเองก็หายไป
“ขอตรึงไปพักผ่อนของตรึงบ้างเถอะ เลี้ยงลูกทั้งวันจะประสาทตายอยู่แล้ว”
บางครั้งกริชไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า ตรึงใจไปที่ไหนกับใคร เขาคิดว่าหล่อนไปคนเดียว หรือไม่ก็ไปกับเพื่อนๆ จริงตามที่หล่อนบอก แต่ไปที่ไหนกับใครบ้างนั้น เขาไม่อาจซักไซ้ไล่เลียงได้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้น ตรึงใจจะทำหน้างออย่างไม่พอใจ เถียงกันไปเถียงกันมาก็พาลทะเลาะกันทุกที
ทีแรก กริชพยายามที่จะไม่นึกถึงเรื่องไม่งามทั้งหลาย แต่แล้วเสียงร่ำลือก็เริ่มดังขึ้น เขาแอบจับตาสังเกตดูหล่อน บ่อยครั้งที่ทะเลาะกันถึงขนาดตรึงใจท้าให้เขาหย่า แล้วที่สุดหล่อนก็บอกเขาอย่างไม่สะทกสะท้านใจว่าหล่อนรักคนอื่น
กริชเจ็บปวด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชีวิตสมรสของเขาหาความสงบสุขไม่ได้ ครั้นจะหย่าก็รักอาลัยอาวรณ์หล่อนเกินไป
“นี่ผมจะทำยังไงดี”
เขารำพึงพลางถอนใจ ต้องตาพลอยถอนใจไปด้วย
หล่อนเองก็มีปัญหา ทมนัยจากหล่อนไป เขาเลิกกับหล่อนได้จริงๆ หลังจากที่ต้องตาคิดว่าเขาและหล่อนรักกันมาเนิ่น นานมาแล้วที่มันจืดจางลงและต้องตารู้ว่าเขามีคนอื่น แต่เมื่อเขาบอกลาหล่อน ต้องตากลับรู้สึกว่ามันกะทันหันจนตั้งตัวไม่ติด
“ใจเย็นๆ เถอะกริช ว่าแต่ยายหนูอยู่ที่ไหนล่ะตอนนี้”
“อยู่ที่บ้าน ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าเที่ยวตามหาตรึง ก็เลยทิ้งลูกไว้กับคนใช้”
“ตายจริง” ต้องตานึกห่วงด้วยรู้ดีว่าคนรับใช้ของเขานั้นไม่ใช่คนรักเด็กเท่าไหร่เลย
“งั้นคุณไปรับยายหนูมาที่นี่เถอะ” ต้องตาชะงักเล็กน้อย “อย่าเลย ฉันไปกับคุณดีกว่า”
จนค่ำยังก็ยังไม่มีวี่แววของตรึงใจ ยายหนูชินกับ “คุณยาย” และ “ป้าต้อง” มาแต่ไหนแต่ไร จึงเล่นง่วนทั้งวันและหลับไปยังแสนสุข ผิดกับผู้ใหญ่ทั้งสามซึ่งอยู่ไม่สุขด้วยกันทุกคน
“คุณกลับไปบ้านเถอะกริช” ต้องตาบอกเขา “ปล่อยยายหนูไว้ที่นี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าตรึงมาทางนี้ฉันจะโทรศัพท์ไปบอก”
“ก็ดีเหมือนกัน” กริชพยักหน้า ลุกขึ้นเดินอย่างเงื่องหงอยเข้าไปยืนมองดูลูกสาว ครู่หนึ่งจึงทำความเคารพลาแม่ยาย
“ไปเถอะ พ่อกริช” แม่พยักหน้า มองเขาอย่างเกรงใจระคนอับอาย แม่ตรึงนะแม่ตรึง ทำความเดือดร้อนอยู่เรื่อยเชียว นางคิด
แม่กำลังป้อนอาหารเช้าให้ยายหนูเมื่อต้องตาโทรศัพท์ไปหากริช หล่อนกำลังจะออกไปทำงานแต่ยังเป็นห่วงเรื่องน้องสาว
ตรึงใจเป็นคนรับโทรศัพท์
“ตรึง” ต้องตาเรียกเมื่อได้ยินเสียง ทั้งโล่งอกและร้อนใจระคนกัน “นี่ตัวเองหายไปไหนมาฮะ ตรึง กริชบอกว่าไม่กลับบ้านมาตั้งสองสามวัน เที่ยวตามหาให้วุ่นไปหมด”
“มีธุระอะไร พี่ต้อง”
ตรึงใจเสียงขุ่น แม้กระนั้นต้องตาก็ยังจับกังวานเครือสะอื้นได้ ต้องตานิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะถามเสียงเรียบ “กริชล่ะ”
“ไปแล้ว” น้ำเสียงน้องสาวตวัดห้วน
“ไปไหน”
“ไม่รู้” ตรึงใจกระแทกเสียง “ทะเลาะกันแล้วเขาก็ไป นี่นึกว่าจะวิ่งไปหาพี่ต้องเสียอีก เห็นรักกันนักนี่”
เวลาขุ่นข้อง ตรึงใจจะกระทบกระแทกแบบนี้เสมอ ต้องตาคร้านจะพูดด้วย “งั้นแค่นี้นะตรึง” หล่อนวางหูโทรศัพท์ลง แล้วก็เดินไปบอกแม่ให้ทราบ
เมื่อกลับจากทำงานในตอนเย็น ต้องตาพบกริชนอนนิ่งอยู่บนโซฟา ทอดแขนขายาวอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเผือดซีด ผมยุ่ง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไม่เข้าที่ทาง เขาหันมามองต้องตานิดหนึ่งแล้วเมินกลับไปที่เดิม
“กริช” ต้องตาเดินไปนั่งใกล้เขา เห็นแม่อุ้มยายหนูออกมาเมียงมองอยู่อย่างกลัดกลุ้ม จะเข้ามาหาก็ไม่กล้า
“เขาไปกับไอ้เจษฎ์” กริชพูดเหมือนคำราม แต่น้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง “สวยมาก ทำได้สวยจริงๆ ไปนอนกับมัน สองวันสองคืนแล้วกลับมาชี้หน้าด่าผัว ผมมันคนไม่เอาไหน เขาว่าเขาไม่เคยรักผม เขาท้าให้ผมหย่า”
ต้องตาถอนใจ
“ผมจะหย่า...ดูซิมันจะไปด้วยกันได้สักแค่ไหน แต่ถ้าน้ำตาเช็ดหัวเข่ากลับมาละก็ ผมจะหัวเราะเยาะให้สาสมเชียว”
แม่พยายามให้ทั้งสองปรองดองกัน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ทั้งสองหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยา กริชขนของใช้ส่วนตัวออกไปจากบ้าน ส่วนยายหนูถูกทิ้งไว้กับคุณยายและป้า แรกๆ แกก็ไม่อนาทร แต่พอหลายวันเข้าแกก็เริ่มกระวนกระวาย
“ยายจ๋า หนูอยากกลับบ้าน” แรกๆ แกเพียงรำพึงรำพันแล้วก็ลืม แต่นานเข้ายายหนูก็เริ่มโยเย
“เมื่อไหร่พ่อกับแม่จะมารับหนูกลับบ้าน หนูคิดถึงแม่ ยายจ๋า หนูจาหาแม่”
ต้องตาได้แต่ถอนใจ พอแกโยเยต้องตาก็ได้แต่อุ้มออกไปจากห้อง ชี้ชวนดูนั่นเล่นนี่จนแกลืมไปได้พักใหญ่
“หนูจ๋า พรุ่งนี้ป้าต้องจะพาไปเขาดินนะ”
“เขาดินไหนจ๊ะ”
“เขาดินที่มีสัตว์เยอะแยะไงจ๊ะ มีช้างตัวโตๆ ยีร๊าฟคอยาวๆ มีลิง มีหมี ที่หนูเคยเห็นในรูปไงจ๊ะ”
ยายหนูเอียงคอฟังตาแจ๋ว
“ไปไหม”
“ไป” แกพยักหน้า พูดไม่ชัดด้วยวัยเพียงไม่ถึงสามปี “แล้วเอาพ่อกริชกับแม่ตรึงไปด้วยนะ”
“พ่อกริชกับแม่ตรึงยังมีธุระมาไม่ได้จ้ะ” ต้องตาทำสีหน้ารื่นเริงเพื่อให้แกยอมรับเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “แล้วป้าต้องจะพาหนูไปนะจ๊ะ ไปเล่นรถ เล่นม้าหมุน แล้วก็ซื้อเสื้อสวยๆ ซื้อของเล่นให้เยอะแยะด้วย” หล่อนเปลี่ยนเรื่อง
ต้องตาทำตามสัญญา เมื่อพาหลานเลี้ยวรถกลับมาจากข้างนอก หล่อนพบรถของกริชจอดอยู่ก่อนแล้ว ต้องตาวูบขึ้นด้วยความยินดี ยายหนูหลับอยู่กับเบาะรถ พอหล่อนจอดรถ ก็เดินมาถึง เขาเปิดประตูก้มลงอุ้มลูกขึ้นมากอดไว้
“ไปถึงไหนกันมา”
ต้องตาบอกเขา รวบรวมข้าวของเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน กริชวางลูกนอนลงบนโซฟาแล้วนั่งลงข้างๆ
“ร้องหาแต่พ่อกับแม่” ต้องตาพูด ออกสะใจนิดๆ ที่เห็นความหม่นหมองปรากฏขึ้น หล่อนขุ่นเคืองที่ทั้งเขาและตรึงใจไม่สนใจลูก ปล่อยให้เด็กน้อยละห้อยโหยหาเป็นที่บีบคั้นหัวใจคนใกล้เคียงนัก
“ตรึงเขาไม่มาเลยหรือ”
“ยังไม่มา โทรศัพท์ไปก็ไม่ค่อยพบ เขาทำเสียงเหมือนรำคาญใจ ตัดบทอยู่เรื่อยว่าแล้วจะมา แล้วจะมา”
“จิตใจเขาทำด้วยอะไรกันนะ” กริชพึมพำ
“คนมันกำลังตาบอดน่ะลูก” แม่พูด “นี่แหละเขาว่ากรรมบังตา ลืมหมดลูกผัวพ่อแม่พี่น้อง”
“ผมคิดถึงลูก แต่ผมยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้ ผมไม่กล้ามา ไม่กล้าเผชิญหน้ากับใครเลยแม้แต่กับลูก”
แม่ถอนใจ “ยังไงๆ มันก็จบสิ้นไปแล้ว สงสารยายหนูบ้างก็แล้วกัน เด็กมันอาภัพ ยังเล็กอยู่แท้ๆ พ่อไปทาง แม่ไปทาง”
“ผมไม่ทิ้งลูกหรอกครับ” เสียงของเขามั่นคง “แต่ตอนนี้ต้องรบกวนแม่ไปก่อน ผมไปอาศัยเขาอยู่ นี่กำลังหาห้องเช่า จะซื้อบ้านใหม่ก็ไม่มีหวัง เงินทองผมให้ตรึงเก็บไว้ตลอดมา ตอนนี้ผมมีอยู่ไม่เท่าไหร่เลย”
“แม่ไม่ว่าหรอก แม่ต้องเขาก็ไม่ว่า มันอยู่ที่ยายหนูนั่นแหละ จะให้แกอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่พ่อกับแม่ควรจะมาดูแลเอาใจใส่บ้าง เด็กมันต้องการพ่อ ต้องการแม่ ใครๆ ก็มาทดแทนไม่ได้หรอกพ่อกริช” แม่พูดเสียงอ่อน
ยายหนูตื่นพอดี ทีแรกแกนอนนิ่งมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างแปลกใจ พอเห็นพ่อแกก็พรวดพราดลุกขึ้น ร้องลั่นว่า “พ่อ” แล้วกอดเขาไว้แน่น ผู้หญิงทั้งสองมองดูพ่อลูกกอดกัน รู้สึกตื้นตันใจไปด้วย
เกือบทุกวันกริชมาหาลูกหลังเลิกงานแล้ว เขามักจะหอบหิ้วข้าวของมาฝากลูกกับยาย และป้าของแก ช่วยทำงานบ้านเท่าที่ผู้ชายอย่างเขาจะทำได้ ตกค่ำเขาอาบน้ำ กินอาหารเย็นและนั่งคุยกับต้องตากับแม่ พอยายหนูหลับได้สักครู่กริชก็ลากลับ
ตรึงใจมาหาลูกบ้าง แต่ก็ในตอนกลางวันซึ่งจะไม่ต้องพบกริช หล่อนไม่ได้พบต้องตาด้วย หล่อนนึกเคืองพี่สาวเมื่อทราบจากแม่ว่า กริชมาอยู่ด้วยทุกค่ำคืน
“เขาพวกเดียวกัน” หล่อนบอกแม่ด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
เมื่อใดที่ตรึงใจมา แม่จะรายงานให้ต้องตาและกริชรู้ อย่างน้อยก็เพื่อแสดงว่าตรึงใจยังห่วงลูก แม่รักและมีข้อแก้ตัวแทนตรึงใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ตรึงเขาเป็นยังไงบ้างจ๊ะแม่” ต้องตาถามอย่างห่วงใย แม่อ้ำอึ้ง จะบอกว่าตรึงใจยังไม่รู้สำนึกในความยุ่งยากที่ตนก่อขึ้น ซ้ำยังตะบึงตะบอนงอนงอดแงดโทษคนโน้นโกรธคนนี้อยู่ตามนิสัยของหล่อนก็ใช่ที่ แม่หายเคืองตรึงใจแล้ว และตอนนี้หน้าที่ของแม่ก็คือปกป้องตรึงใจ
“ก็งั้นๆ แหละ เรื่อยๆ”
“เขาถามถึงต้องบ้างไหม”
“เปล่านี่ น้องไม่ได้พูดอะไร”
ต้องตาโทรศัพท์ไปหาตรึงใจที่บ้าน เพื่อที่หากว่าน้องสาวมีปัญหาก็ยังมีหล่อนเป็นที่พึ่ง มีเสียงผู้ชายรับสาย และน้ำเสียงของตรึงใจที่มาพูดกับหล่อนนั้น ไม่ได้แสดงว่าหล่อนเป็นที่ต้องการเลย
กริชเพิ่งจะสังเกตว่าต้องตาเงียบขรึม หล่อนไม่เคยขรึมขนาดนี้ ต้องตาไม่ใช่คนช่างหัวเราะช่างเจรจาพาทีอย่างตรึงใจก็จริง แต่นี่ก็ไม่ใช่ลักษณะที่เขาเคยรู้จักเช่นกัน
แล้วกริชก็นึกถึงทมนัย เขาไม่ได้พบกันนานแล้ว และตั้งแต่มีเรื่องตรึงใจซึ่งเป็นเหตุให้กริชต้องเข้าๆ ออกๆ บ้านนี้อยู่เสมอ เขายังไม่ได้พบทมนัยเลย
“ทมไปไหนล่ะต้อง ไม่ได้พบนานแล้ว”
เขาถาม เห็นความสะเทือนใจปรากฏขึ้นที่ต้องตาวูบหนึ่ง ต้องตายังมีจิตใจต่อทมนัยมากมายนัก หล่อนยังนึกถึงเขาได้ทุกอิริยาบถ จำได้ถึงขั้นตอนของความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่บ่อยนักที่ต้องตาจะรู้สึกถูกตาต้องใจใครสักคนหนึ่ง และเพียงครั้งนี้ที่ “ใครคนนั้น” มีจิตใจสนองตอบหล่อน เขาคือทมนัย
หล่อนและทมนัยจึงสนิทสนมกัน และกลายเป็นคู่รัก ต้องตารักเขา รักอย่างหลงใหล ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน แม้แต่คนที่สุขุม เข้มแข็งและมีเหตุมีผลอย่างต้องตา หล่อนเชิดชูในสิ่งที่ดีของเขา ให้อภัยและแก้แทนเขากับตนเองในสิ่งที่เขาบกพร่อง หลายครั้งที่หล่อนเสียใจและผิดหวัง เมื่อพบว่าทมนัยไม่ได้เป็นอย่างที่หล่อนคาดคิด แต่หล่อนก็อภัยให้เสมอ
ทมนัยรู้จักต้องตาก่อนที่ตรึงใจจะแต่งงาน และต้องตาก็ไม่อยากจะคิดว่าเขาพึงใจตรึงใจหนักหนา เขาเสียดายด้วยซ้ำที่ตรึงใจแต่งงานไปกับกริช และต้องตาก็กลบเกลื่อนความจริงข้อนี้กับตนเอง หล่อนหลอกตนเองตลอดมา หล่อนพยายามปักใจเชื่อว่า ทมนัยคนนี้แหละคือพ่อเทพบุตรคนนั้น คนที่ไม่หล่อเท่าไรนัก แต่เป็นผู้ชายแท้ มั่นคง หนักแน่น เอางานเอาการ และมีความรับผิดชอบ คนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ง่ายๆ แต่มีระเบียบ คนที่มีไมตรีและเอื้ออารีต่อผู้คน คนที่มีอารมณ์ขัน ช่างพูดช่างคุยแต่มีเนื้อแท้ที่เต็มไปด้วยแก่นสารสาระ ต้องตาเคยคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อรู้จักกันไปนานๆ และมันกลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ ต้องตาก็มีข้อแก้ตัวให้แก่เขาเสมอ ก็หล่อนรักเขาเสียแล้ว
แล้วทมนัยก็ห่างเหินจากหล่อนไป ต้องตารู้ว่าเขามีรักใหม่ เขามองหามันอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่มีต้องตาอยู่ เขาต้องการผู้หญิงที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นประทับใจ ถึงเวลานั้นต้องตายอมรับแล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวกับที่หล่อนนิยมชมชื่น แต่ต้องตาก็ลืมเขาไม่ได้ หล่อนปวดร้าวแทบจะแตกปริออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเขาตัดขาดจากหล่อน
“ผมเสียใจต้อง ผมไม่ได้รักคุณ เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ และเราไม่ควรจะหลอกตัวเองอีกต่อไป”
เขาจากไปเงียบๆ ไม่มีการถกเถียงทะเลาะเบาะแว้ง ขัดเคืองกันครั้งใด ลักษณะที่เกิดขึ้นก็คือต้องตาเงียบ ไม่ต่อล้อต่อเถียง หล่อนพูดแต่ในสิ่งที่จำเป็น หล่อนแคร์ที่จะแก้ความเข้าใจผิดให้เป็นถูก แต่ความพอใจหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ต้องตาเสียใจ ทว่าหล่อนเป็นคนเงียบและใจแข็ง แม่เองก็พอรู้ถึงความผิดปกตินี้ ทว่าแม่ไม่กล้าซักถาม ด้วยลูกสาวคนโตเป็นผู้นำของแม่มาแต่ไหนแต่ไร พูดตามจริงแล้วแม่แทบจะไม่เคยนึกห่วงหล่อนเสียด้วยซ้ำ
“เลิกกันแล้ว”
ต้องตาตอบกริชด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับมันเป็นเรื่องปกติ แต่กริชก็ยังรู้สึกถึงความอ่อนแอบอบบางภายใต้ท่าทีเฉยเมยแข็งกร้าวนั้น
เขารู้สึกเห็นใจหล่อน นานมาแล้วที่ความรู้สึกนี้ได้หายไปจากเขา ความห่วงใยเอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจที่เขาเคยมีต่อหล่อนเมื่อแรกรู้จักกัน มันหายไปเพราะต้องตาไม่เคยแสดงความต้องการ และเพราะเขามีตรึงใจผู้ซึ่งเป็นชนวนให้เขาขุ่นเคืองต้องตาหลายครั้งหลายครา
เขาเริ่มสำนึกรู้ว่า เขาได้ละเลยความรู้สึกของต้องตามาเป็นเวลานานแล้ว ทุกคนนึกถึงแต่ปัญหาของตนเอง คนอื่นๆ โยนปัญหาให้หล่อนแก้ และต้องตาก็ไม่เคยละทิ้งใคร
ก็ดูแต่ยายหนูเถอะ แกจะเรียกหาแม่ก็เพียงเพราะสัญชาติญาณเท่านั้น เมื่ออยู่กับแม่ของแก มีรึยายหนูจะได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่านี้ ตรึงใจไม่ค่อยจะมีความอดทนต่อลูก หล่อนจะอุ้มชูเล่นเป็นครั้งคราว คราใดยายหนูโยเยหรือไม่สบาย หล่อนจะโยนมาให้เขาหรือไม่ก็ยายและป้าของแก ซึ่งดูเหมือนจะให้เวลายายหนูมากกว่าตรึงใจเสียอีก
กริชมาหาลูกสม่ำเสมอ และโดยที่เขาเองก็ไม่รู้สึกตัว เขามีจิตใจให้แก่ป้าของแกมากขึ้น เขาพูดคุยกับหล่อน เอาใจใส่หล่อน ดวงตาที่จับสังเกตมองดูหล่อนแฝงความเอื้ออาทร ต้องตาสังเกตรู้และอดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้ ด้วยภายใต้ท่าทีเข้มแข็งไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้น ต้องตาเต็มไปด้วยความว้าเหว่ หล่อนมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเขา กริชเป็นเพื่อนของหล่อน เป็นอดีตสามีของน้อง และเป็นพ่อของหลาน ต้องตากลับระมัดระวังตัวมากขึ้นที่จะไม่ให้ความสนิทสนมกับเขามากเกินไปจนเป็นที่ครหา
เคยมีที่กริชได้พบตรึงใจ ตรึงใจมักจะทำคอแข็งหน้างอ ไม่ยอมมองเขา เมื่อพูดกับต้องตา ตรึงใจก็มีกิริยาคล้ายโกรธขึ้งกันมานมนาน เขาเห็นความอดทนของต้องตาแล้ว ก็รู้สึกเห็นใจหล่อนมากขึ้น อดแปลกใจไม่ได้ว่าตรึงใจคนนี้หรือคือผู้หญิงร่าเริงแจ่มใส ช่างพูดคุยช่างเอาใจที่เขาเคยรักนักหนา หล่อนยังสาวและสวย แต่ความน่ารักนั้นตกหล่นหายไปเสียแล้ว กริชรู้ตัวว่าเขายังอาลัยหล่อน แต่เขาก็ไม่เหลือความรักความชื่นชมให้หล่อนอีกต่อไป กลับจะมีความชิงชังขุ่นแค้นเข้ามาแทนที่
หล่อนพาผู้ชายคนนั้นเข้าไปอยู่ในบ้านของเขา ตรึงใจทำกับเขาได้ถึงขนาดนี้ ช่างเถอะ นึกว่าทำทานอุทิศให้หล่อนไป หล่อนมีกรรมนักที่เกิดมาเป็นคนหลงง่ายเบื่อง่าย ไม่มั่นคง และขาดความรับผิดชอบขนาดนั้น ขอให้หล่อนจัดการชีวิตของตนเองต่อไปให้ดีก็แล้วกัน
เวลาหนึ่งปีสามารถสร้างอะไรได้มากมาย รวมทั้งความผูกพันของกริชกับต้องตาด้วย เมื่อเลิกจากงาน กริชจะมุ่งหน้ามาหาหล่อนเป็นกิจวัตร ลูกสาวของเขาเพิ่งจะเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอนุบาลใกล้บ้าน มีรถรับส่งเสร็จ แกจะกินอาหาร วิ่งเล่นรออยู่โดยมียายและป้าคอยดูแล และวิ่งมาหาเขาอย่างดีอกดีใจ กริชจะอุ้มลูกไว้ หากต้องตาไม่ได้อยู่ด้วย เขาก็จะมองหาหล่อน และกริชเป็นต้องหงุดหงิดทุกทีหากต้องตากลับบ้านค่ำ เขากระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งหล่อนกลับ ต้องตายิ้มให้ ทักทายเขา แล้วก็ทำอะไรๆ ของหล่อนไปตามปกติ เขาเองก็ทำเสมือนปกติเช่นกัน ทั้งๆ ที่อยากรู้อยู่ไม่วายว่าหล่อนไปไหนมา
แล้วก็มาถึงระยะที่ต้องตากลับบ้านค่ำบ่อยๆ มันเกิดขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของหล่อน ต้องตาพิถีพิถันแต่งตัวมากขึ้น หล่อนเขียนตา ทาปาก ผัดหน้านวลผ่อง ใส่น้ำหอม และแต่งเล็บด้วย หล่อนร่าเริง ขี้เล่นมากกว่าแต่ก่อน แทนที่กริชจะยินดี เขากลับหงุดหงิดมากขึ้น
เขาถามแม่ว่าหล่อนไปไหน แต่แม่ไม่รู้ กริชหงุดหงิดที่แม่ช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกสาวคนนี้
“ถ้าเขาอยากให้แม่รู้ เขาก็บอกกับแม่เองแหละ” แม่ว่า
คืนนั้นต้องตากลับบ้านค่อนข้างดึก หล่อนเห็นรถของกริชจอดอยู่ ต้องตาถอนใจ ใจหนึ่งก็รู้สึกอบอุ่น แต่อีกใจหนึ่งก็คัดค้านกัน เพราะกริชนี่เองที่ทำให้ต้องตากระอักกระอ่วนใจ หล่อนรู้ว่าเขามีจิตใจต่อหล่อน และหล่อนก็ชอบเขา ขณะเดียวกัน ต้องตาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร เขาเป็นเพื่อนและเป็นพ่อของหลานหล่อน ต้องตาจึงหาทางออกด้วยการไปกับคนอื่นเสีย
น่าแปลก หล่อนและเขามาชอบกันได้อย่างไรนะ เมื่อแรกรู้จักกันกริชอาจจะชอบหล่อน แต่ก็ด้วยความรู้สึกฉาบฉวยแบบเด็กๆ ต้องตานั้นก็เป็นเด็กสาวที่ใฝ่ฝันหาแต่วีรบุรุษ หล่อนมักแอบหลงคนนั้นชื่นชมคนนี้ซึ่งมีลักษณะที่หล่อนประทับใจ แต่ไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษใดๆ กับกริชเลย สำหรับหล่อนเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีลักษณะใดควรแก่การใฝ่ฝันถึงจนนิดเดียว
แต่ในบัดนี้ ซึ่งผ่านจากเวลานั้นมาเกือบสิบปี ต้องตาได้เรียนรู้มากขึ้น ไม่มีใครเป็นวีรบุรุษ ไม่มีใครสมควรแก่การใฝ่ฝันถึง ทุกคนต่างก็มีทั้งความดีและเลวอยู่ในตัว สำหรับเด็กหนุ่มคนที่ต้องตามองข้ามไปนั้น บัดนี้กลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่เข้มแข็งมิใช่น้อย ความโดดเดี่ยว และความว้าเหว่ในหัวใจของหล่อน บวกกับความได้ใกล้ชิดกับเขา ทำให้หล่อนเริ่มสั่นคลอน ต้องตาไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น ด้วยหล่อนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลย
กริชนั่งดูโทรทัศน์อยู่คนเดียว ใบหน้าขรึมเฉยแม้เมื่อหล่อนยิ้มทัก
“ยังไม่กลับหรือกริช”
เขาไม่ตอบ
“ยายหนูหลับนานแล้วยัง แม่ล่ะ”
“หลับแล้ว”
“แล้วทำไมกริชยังไม่กลับ หรือมีธุระกับต้อง”
กริชเงียบ ใบหน้าที่หันหาเครื่องรับโทรทัศน์เข้มเขม็งอย่างอารมณ์เสีย ต้องตายืนมองเขาแล้ว เดินไปนั่งลงใกล้ๆ ทำเป็นสนใจรายการโทรทัศน์ไปกับเขาด้วย
กริชวนเวียนชำเลืองมอง แต่ทั้งสองก็เกือบจะไม่ได้พูดกันเลย ไม่นานต้องตาก็แกล้งหาวหวอดหลายครั้ง กริชชำเลืองตาดู ในที่สุดก็ลากลับด้วยเสียงห้วนค่อยๆ
ต้องตาคิดว่ารู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงมันออกมา ก็เหมือนกับหล่อนที่พยายามจะปกปิดความในใจ
วันต่อมากริชถามหล่อนว่า “ถามจริงๆ ทำไมกลับบ้านค่ำบ่อยๆ”
“ไปกับเพื่อน”
“เพื่อนที่ไหน ไปไหนกันค่ำๆ มืดๆ”
“ไปกินข้าว แล้วก็คุยกันธรรมดาๆ จ้ะ เขามาจีบต้อง” หล่อนเล่าเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
กริชอึ้ง มองดูต้องตาด้วยความรู้สึกร้าวราน ต้องตาไม่กล้ามองหน้าเขา ได้แต่ แสร้งทำท่าเหมือนไม่รู้สึกรู้สมใดๆ
“แล้วทำไมไม่ชวนเขามาบ้าน” น้ำเสียงเขาแปร่งไป ต้องตานึกขันที่เขาพูดเหมือนเป็นผู้ปกครองหล่อน
“กลัวเขาลำบากใจ แล้วก็กลัวกริชรำคาญน่ะซี และอีกอย่างหนึ่ง ต้องกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด”
“เรื่องผมใช่ไหมล่ะ” กริชเสียงขุ่น พูดแกมน้อยใจว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่มาที่นี่อีก ยายหนูก็โตพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณกับแม่อีกต่อไป”
“กริชจ๊ะ” ต้องตามองดูเขา สีหน้าขุ่นขึ้งทำให้หล่อนตกใจ “อย่าทำอย่างนั้นกับยายหนูเลยนะ แกยังเด็ก แกปรับตัวเร็วอย่างนั้นไม่ได้หรอก แกมีแม่ก็เหมือนไม่มี อยู่อย่างนี้ยายหนูมีความสุขดีเราก็น่าจะพอใจแล้ว คุณจะเอาแกไปเสียทำไม”
“ยายหนูจะต้องยอมรับความจริง มันดียังไงที่จะอยู่ที่นี่ มีความสุขแต่ขัดขวางความสะดวกสบายของคนอื่นเขา ผมคนหนึ่งละที่ทนไม่ได้”
เขาพูดอย่างฉุนเฉียว ต้องตาได้ยินเสียง เห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้วก็รู้สึกกระทบกระเทือนใจขึ้นมาครามครัน
“เอ๊ กริช คุณหัวเสียอะไรมานะ ทำไมถึงพาลกับต้องอย่างนี้”
“ผมไม่ได้หัวเสีย และผมไม่ได้พาลด้วย ถ้าคุณเข้าใจอย่างนั้นละก็เสียใจ”
กริชเสียงดัง ต้องตาไม่ยอมฟังเขาพูดต่อ เดินหนีไปเข้าห้องและไม่ยอมกลับออกมาอีก
กริชพลุ่งพล่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็สงบลง เขาเริ่มกระวนกระวาย รอให้หล่อนออกมา ในใจก็นึกสรรหาคำพูดที่จะพูดกับหล่อน แต่ต้องตาเงียบอยู่ในห้อง จนดึกกริชจึงขับรถกลับไป
กริชพบต้องตาในวันรุ่งขึ้น หล่อนกำลังกำกับให้ยายหนูกินอาหาร แต่ว่าเด็กน้อยวิ่งมาหาเขาในทันทีที่เห็น ต้องตาทำเหมือนไม่เห็นเขา เก็บจานแล้วก็เลี่ยงไปทางอื่น ทำอะไรของหล่อนไปเงียบๆ
กริชมองตาม ครู่หนึ่งก็อุ้มลูกเดินมาหาหล่อน
“ไม่ไปไหนหรือวันนี้” เขาถามเสียงอ่อน
“ไม่ได้ไป” หล่อนตอบเฉยเมย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปเสีย
กริชเสเล่นกับลูกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินไปหาต้องตาอีก หล่อนนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น
“โกรธผมหรือต้อง” เขาถามหลังจากที่ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อนครู่หนึ่ง ต้องตาเฉยอีก “ผมขอโทษนะ”
หล่อนไม่ทำแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา กริชถอนใจ หันหลังเดินตามลูกสาวของเขาออกไป
แต่พอถึงเวลาอาหารต้องตาก็เป็นฝ่ายเรียกเขา ต้องตายังเฉยเฉื่อย แม้กระนั้นกริชก็ดีใจกระตือรือร้นจนหล่อนนึกขำ
ต้องตาใจอ่อนกลับญาติดีกัน แต่ต้องตาก็ยังเป็นคนเดิมที่ตีกรอบกั้นตัวเองไว้จากความรักและความใยดีของเขา
มีโทรศัพท์มาถึงต้องตา กริชเห็นสีหน้าของหล่อนผิดปกติไปและหล่อนมีท่าทีไม่สบายใจนับแต่นั้น หล่อนไม่ได้เอ่ยปาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน กริชก็พอจะนึกรู้ เมื่อทมนัยมาหาหล่อน
ต้องตาไม่อยู่ แม่ก็ทำอะไรไม่ถูก กริชเป็นผู้ออกมารับหน้าทมนัย
“ต้องเขาไม่ค่อยอยู่หรอก เขาไปกับแฟนเขา” กริชบอกทมนัยอย่างนั้น หลังจากที่ทักทายกันอย่างแกนๆ แล้วครู่หนึ่ง ทมนัยพยักหน้า สีหน้าไม่ปกตินักทั้งไม่ยอมมองหน้ากริชเต็มตา
“แล้วผมจะแวะมาใหม่” เขาพูดก่อนจะลากลับ
เมื่อต้องตากลับมา กริชก็บอกด้วยท่าทีเรื่อยเฉื่อยแต่ว่าแอบจับจ้องสังเกตหล่อน กริชเห็นต้องตาหน้าเจื่อนลง
“หรือจ๊ะ” หล่อนพูดเพียงนั้น
หลังจากที่เขาหย่าจากตรึงใจและต้องตาเลิกกับทมนัยแล้ว เขาและหล่อนใกล้ชิดกันมาก ทว่าต้องตาไม่เคยพูดถึงทมนัยเลย เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้น ได้หายออกไปจากชีวิตของหล่อนสียเฉยๆ แต่ก็มีบ้างบางครั้งในระยะแรกๆ ที่เขาเห็นต้องตาเหม่อลอยซึมเศร้า ซึ่งทำให้กริชสรุปได้ว่าหล่อนยังอาลัยทมนัยอยู่
ต้องตาเคยรักทมนัย และหล่อนแสดงมันออกมาตลอดเวลาในช่วงที่ทั้งสองยังเป็นคนรักกัน กริชรู้ดีในข้อนั้น เขาจึงไม่สบายใจเลยกับการกลับมาของทมนัย
แล้วก็ถึงวันที่กริชไม่อยากให้ถึง วันที่ต้องตาและทมนัยได้พบกัน
ทมนัยตีหน้าขรึม ส่งสายตาระแวงระไวมาถึงกริช
“เชิญนั่งซีคะทมนัย” ต้องตาพูดอย่างมีพิธีรีตอง เขาเห็นทมนัยเม้มปาก
“ผมจะไปคุยกับแม่” กริชบอก
เมื่อเขาและแม่กลับเข้ามาอีกครั้ง ทั้งสองยังคงมีท่าทีห่างเหินกันเหมือนเดิม แต่ในครั้งนี้กริชเห็นความผิดหวังปรากฏอยู่บนใบหน้าของ ทมนัย กับความเด็ดเดี่ยวของต้องตาชัดเจน
“ทานข้าวด้วยกันซีพ่อทม”
แม่ชวน ทมนัยมองต้องตา หล่อนกลับนั่งเฉยอย่างไม่ยอมรู้เห็น เขาถอนใจลุกขึ้นพลางกล่าวว่า
“ไม่ละครับแม่ ผมจะกลับละ”
พอลับร่างของทมนัย ต้องตาก็มีอาการอ่อนเปลี้ยขึ้นมาทันที “ต้องไม่กินข้าวละแม่” หล่อนพูดเดินเซื่องๆ เข้าห้องไปและไม่กลับออกมาอีก
ในวันต่อมา กริชถามหล่อนว่า “ทมนัยจะมาอีกไหม”
ต้องตาส่ายหน้า “คงไม่หรอก”
“ทำไมล่ะ ต้องไม่อยากให้เขามาหรอกหรือ”
“อยาก แต่เขากับต้องไปด้วยกันไม่ได้หรอก เขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่ต้องชอบและต้องก็ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาพอใจ”
“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้เขาอาจจะได้คิดแล้วว่าผู้หญิงแบบไหนที่เขาควรจะรัก”
“ต้องไม่เดินย้อนรอยเดิมหรอกกริช ไม่อยากเจ็บซ้ำสอง”
“ต้องพูดอย่างนี้เพราะมีแฟนใหม่แล้วใช่ไหม”
ต้องตาส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอกกริช แม้แต่ภากรก็ไม่ใช่คนที่ต้องคิดจะรัก ต้องไปกับเขาเพราะคิดว่ามันน่าจะดี แต่กริชรู้ไหม จนถึงบัดนี้ต้องยังไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเขาได้ถึงครึ่งหนึ่ง ของที่เคยรู้สึกกับทมนัย และไม่รู้สึกอบอุ่นไว้วางใจ แม้เพียงครึ่งหนึ่งของที่รู้สึกกับกริช”
กริชยิ้มอย่างอิ่มเอม “จริงหรือ ต้องรู้สึกอบอุ่นไว้วางใจผมจริงๆ หรือ..... งั้นก็เลิกไปไหนๆ กับคนอื่นเสียซิ ถ้าต้องเหงา ผมจะพาเที่ยวเอง”
ต้องตาไม่กีดกั้นตัวเอง จากความรักของกริชอีกต่อไป และกริชก็ไม่รั้งรอที่จะแสดงมันออกมา ทั้งสองต่างก็ให้และรับจากกัน ต้องตาละทิ้งความรู้สึกละอายแก่ใจที่ เกาะติดหัวใจ หล่อนมาเป็นเวลานาน และแม้เมื่อกริชบอกกับเพื่อนของเขาว่า เขารัก “ป้า” ของยายหนู หล่อนก็หัวเราะได้อย่างรื่นเริง
“กูหย่ากับน้องก่อน แล้วค่อยมารักพี่” กริชอธิบายให้เพื่อนๆ ของเขาฟัง เขาเองก็เกรงความเข้าใจที่ไม่ดีอันจะเกิดขึ้นแก่ต้องตา แต่เท่าที่ปรากฏ คนทั้งหลายยินดีด้วยทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ ของทั้งสอง พวกเขาเคยคิดว่ากริชและต้องตาชอบกัน ในสมัยที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ทั้งสองสนิทสนมกันมาก ไปไหนๆ ด้วยกันและตามกันกลับบ้านอยู่เสมอ ไม่มีใครเชื่อเมื่อหล่อนบอกว่ากริชจีบน้องสาวของหล่อน จนถึงวันแต่งงานของกริชกับตรึงใจ เพื่อนชายบางคนยังเย้ากริชว่า “รู้งี้กูจีบต้องเสียนานแล้วละ นึกว่าแฟนมึง”
ยายหนูไม่เดือดร้อนเลยกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและป้าของแก แต่กลับมีความสุขยิ่งขึ้น ยายหนูไม่เคยถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าจะไปไหนแกจะได้อยู่ตรงกลางระหว่างพ่อและป้าเสมอ ต้องตาแคร์ความรู้สึกของหลานมาก หล่อนไม่โกรธแม้กระทั่ง เมื่อตรึงใจมาหาและยายหนูพยายาม ที่จะดึงพ่อและแม่ของแกเข้ามาอยู่ด้วยกัน ต้องตาเป็นคนพยักหน้ากับกริช ขอร้องเขาด้วยสายตาให้คล้อยตามลูกสาว
กริชอยู่ ใกล้ตรึงใจ ตราบเท่าที่ยายหนูต้องการ พูดกับหล่อนด้วยท่าทีเรียบเฉยจนบางครั้งยายหนูถามเขาด้วยท่าที ของเด็กฉลาดทว่าไร้เดียงสาว่า “พ่อไม่รักแม่หรือคะ”
พวกผู้ใหญ่มองหน้ากัน แล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ
ระยะหลังๆ ตรึงใจเงียบขรึมลง และคลายพยศลงมาก สีหน้าท่าทางของหล่อนเหมือนคนมีความทุกข์ หล่อนเล่าให้แม่ฟัง แล้วแม่ก็บอกกับกริชและต้องตา
“ผู้ชายคนใหม่ของตรึงมันน่ะซี มันไม่ใช่พระเอกหรอก ผู้ร้ายแท้ๆ เลย” แม่รำพันในตอนท้ายว่า “ตรึงเอ๋ยตรึง มันทำตัวของมันเอง น้ำตาเช็ดหัวเข่าคราวนี้ใครเขาจะมาเห็นใจ”
“ใช่ ผมคนหนึ่งละที่ไม่เห็นใจ” กริชแอบบอกต้องตาลับหลังแม่ “ไม่ใช่เขาทำตัวเองเท่านั้นหรอกนะ เขาทำคนอื่นมามาก คราวนี้กรรมตามสนองต่างหาก”
“กริชคะ ต้องไม่สบายใจเลย” ต้องตาพูด ถ้าตรึงเขามีความสุขดีก็แล้วไป แต่นี่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“อย่านะต้อง กับเรื่องของเขา” กริชส่ายหน้า เขาประคองใบหน้าของหล่อนไว้ คำขู่รุนแรงแต่สีหน้าละน้ำเสียงอ่อนโยน “แล้วอย่าออกอุบายตีตัวห่างจากผมไปล่ะ จำไว้นะผมจะฉีกคุณออกเป็นชิ้นๆ ทีเดียวถ้าคุณไปกับคนอื่น”
บ่อยครั้งที่ต้องตาเงียบขรึมลง และเมื่อพูดกันถึงตรึงใจ หล่อนถามเขาว่า
“ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับตรึงคะกริช”
“ไม่รู้สึกยังไง เขาส่วนเขา ผมส่วนผม ไม่เกี่ยวข้องกัน”
“แต่คุณเคยรักตรึงมาก อย่างน้อยมันน่าจะมีเยื่อใยเหลืออยู่บ้างซิ”
กริชนิ่ง ต้องตามองดูเขาแล้วก็นิ่งไปด้วย
“ก็อาจจะมี” กริชพูดในที่สุด ต้องตาดีใจที่เขาไม่หลอกหล่อน กริชพูดต่อไปว่า “แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปอยู่กับเขาอีกแล้ว ผมต้องการต้อง ไม่ใช่เพราะว่าผมผิดหวังจากตรึง หรือเพราะผมหาผู้หญิงอื่นไม่ได้ แต่ผมจะอยู่กับคุณเพราะผมรักคุณและต้องการคุณ เข้าใจหรือยัง”
ในที่สุดกริชและต้องตาก็ตกลงที่จะแต่งงานกัน ด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองจะไม่จัดงานพิธี เพียงแต่ทำบุญเลี้ยงพระ แล้วก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ภายในบริเวณบ้าน
ต้องตาตกแต่งบ้านให้ดูดีขึ้น ซ่อมแซม ทาสี เปลี่ยนเครื่องเรือนใหม่บางชิ้น จัดสนาม ปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพิ่มตรงนั้นตรงนี้ กริชช่วยหล่อนในทุกๆ เรื่องด้วยความสมัครสมาน แสดงออกแน่ชัดว่าเขาต้องการมีส่วนร่วมกับหล่อนในทุกๆ เรื่อง
ต้องตามีความสุข แต่จะไม่สบายใจเมื่อตรึงใจมา ตรึงใจโรยราลงทุกวัน
ยายหนูจะดีอกดีใจยิ่งนัก วิ่งไปกอดแม่ ยิ่งแม่มาบ่อยแกก็ยิ่งมีความสุข แกเคล้าเคลียอยู่กับแม่แล้วร้องเรียกพ่อซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เข้าไปหาแม่ของแก
กริชเคยบอกลูกสาวว่า
“หนูจ๋า พ่อกับป้าต้องจะอยู่ด้วยกันแล้วนะลูก แล้วก็จะมีน้องให้หนูอีกหลายๆ คน หนูจะได้ไม่เหงาไงล่ะลูก หนูชอบไหม”
“ชอบค่ะ” ยายหนูรับคำ ดีอกดีใจกับเรื่องที่พ่อบอก พอพบแม่ แกก็ฉอเลาะออกไปอย่างไร้เดียงสา
“พ่อกับป้าต้องจะอยู่ด้วยกัน จะมีน้องให้หนูเลี้ยงเยอะแยะละค่ะแม่ แล้วแม่ก็มาอยู่ด้วยแล้วมีน้องให้หนูเหมือนกันนะคะ”
ผู้ใหญ่มองหน้ากัน ตรึงใจตอบลูกว่า “ไม่ได้หรอกลูก มีพ่อกับป้าต้องเท่านั้น แม่ต้องไปตามทางของแม่”
“ทำไมล่ะคะ” ยายหนูเสียงละห้อย “พ่อไม่ให้แม่อยู่ด้วยหรือคะ พ่อไม่รักแม่ใช่ไหมล่ะคะ”
ต้องตาฝืนยิ้มอย่างยากเย็น เลี่ยงเดินออกไปเสีย กริชอยู่ห่างจากหล่อนแต่ก็ยังสังเกตเห็น ลุกเดินตามออกไปเงียบๆ
ตรึงใจมองตามร่างสูงแน่นหนาของอดีตสามี รู้สึกน้อยใจวูบวาบ เขาช่างไม่ใยดีหล่อนเลยหนอ แล้วตรึงใจก็รู้สึกลำคอตีบตัน น้ำตาไหลเป็นทาง
“ต้อง” กริชโอบไหล่ กระชับมือที่ต้นแขนบอบบางของต้องตา “แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เมื่อยายหนูโต แกจะเข้าใจ”
“เข้าใจว่าต้องเป็นตัวการแยกพ่อแม่ของแกน่ะซีคะ แล้วแกก็จะลงโทษ...และเกลียดต้อง” ต้องตาถอนใจอย่างอัดอั้น “แล้วคนอื่นๆ อีกเล่าคะ ตราบใดที่ตรึงไม่มีความสุข คนอื่นๆ จะต้องประณามต้อง ไม่มีวันที่พวกเขาจะเข้าใจได้”
กริชถอนใจ กดศีรษะของหล่อนให้ซุกใบหน้าลงกับอกเขา และกอดหล่อนไว้อย่างมั่นคง ต้องตากอดร่างที่อบอุ่นแข็งแรงไว้แน่น กลัวอย่างเหลือเกินที่จะปล่อยให้หลุดลอยจากหาย
ตรึงใจมาที่บ้านด้วยสภาพที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง แม่ถึงกับอุทานเมื่อเห็น ผมดัดฟูที่เคยเซ็ทเข้ารูปเข้าทรงของหล่อนยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าขาวซีดไม่ได้รับการตกแต่ง ริมฝีปากม่วงคล้ำด้วยว่ามันเคยถูกเคลือบด้วยลิปสติคสีสดอยู่เป็นประจำ ดวงตาข้างหนึ่งของหล่อนบวมปูด มีรอยสีม่วงอมเขียวเป็นวงๆ อยู่
ตรึงใจร้องไห้เมื่อเล่า หล่อนและ “เขา” ทะเลาะกัน แล้วก็... “มันซ้อมตรึง ทั้งเตะทั้งต่อยป่าเถื่อนสิ้นดี ตรึงวิ่งหนีออกมาได้แล้วก็เรียกแท็กซี่มาที่นี่แหละจ้ะ”
“โธ่เอ๋ย ลูก” แม่เป็นน้ำหูน้ำตาไปด้วย เลี้ยงลูกมาจนโตก็เพิ่งครั้งนี้แหละที่ลูกถูกทำร้ายและหนักหนาขนาดนี้ด้วย “ไม่เป็นไรลูก มาอยู่กับแม่เถอะ อย่ากลับไปหามันเลย ไอ้ผู้ชายพรรค์อย่างนั้น”
“เรื่องอะไร” กริชโมโหโกรธเกรี้ยวตั้งแต่แรกรู้เรื่อง “ทำไมจะต้องหนี มันบ้านของเราแท้ๆ มาตรึง ไปกับผม ผมจะไปจัดการกับมันเอง”
“กริชคะ เดี๋ยวก่อน” ต้องตาเรียกเขาไว้
“อย่าห่วงผม ต้อง คนพรรค์นี้กลัวมันไม่ได้ มันกำเริบขึ้นทุกวันเห็นไหม ต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียทีละ”
เขาดึงแกมลากตรึงใจออกไป ต้องตาตามไปด้วย หล่อนคอยปลอบตรึงใจพลางลอบมองกริชที่มีสีหน้าท่าทางดุดันด้วยความหวาดหวั่น
ทว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น พอกริชเอาจริง... อดีตพระเอกซึ่งกลายมาเป็นผู้ร้ายก็ถอดเขี้ยวเล็บสิ้น ต้องตานึกฉงนว่าผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาดีอย่างนี้ไฉนจึงมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจนัก เขาไม่สำนึกที่ทำร้ายตรึงใจ ราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา ซ้ำร้ายยังวางท่ายโสหยิ่งผยองไม่กลัวเกรงและปากร้ายอีกด้วย แต่เขาก็กลัว กริช ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมขนเสื้อผ้าออกไปในคืนนั้น แต่ก็ไม่วายทิ้งคำพูดเยาะเย้ยหยามหยันไว้ให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บปวดหัวใจ
“เอาซี เอาเมียมึงคืนไป แต่ขอบอกเสียก่อนว่าเมียมึงน่ะเหลือเดนจากกูแล้วนะโว้ย เตียงมึงกูก็เคยนอน มึงจะกลับมาซ้ำได้ก็ให้มันรู้ไป”
ตรึงใจร้องไห้ไม่หยุด เมื่อผู้ชายคนนั้นไปแล้ว
“กริชคะ ต้องจะอยู่เป็นเพื่อนตรึงที่นี่” ต้องตาพูดเสียงแผ่ว กริชตาลุกวาว
“อยู่ทำไม ตรึงเขาอยู่ของเขาได้ ไปเถอะต้อง อย่าอยู่ให้เสื่อมศิริมงคลเลย” เขาดึงแขนต้องตาให้ตามออกไป ทิ้งให้ตรึงใจนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
กริชขับรถน่ากลัวเช่นเดียวกับตอนแรก เขาขบกรามแน่น ใบหน้าขมวดเขม็งน่าครั่นคร้าม
“กริชจ๊ะ” ต้องตาเกาะกุมแขนเขาอย่างอ่อนโยน “เรื่องมันจบแล้วใช่ไหม”
กริชนิ่ง ใบหน้าค่อยๆ อ่อนลง เขาจอดรถ “ใช่ต้อง มันจบแล้ว” เขาตอบ ดึงหล่อนเข้าไปกอดพลางถอนใจหนักหน่วง
ถึงแม้จะไม่มีใครคอยรบกวนอีกแล้ว ตรึงใจก็ยังมาที่บ้านแม่บ่อยๆ “หนูไม่มีที่จะไป” ตรึงใจบอกแม่
หล่อนมองอดีตสามีกับพี่สาวเศร้าๆ บางครั้งก็แสดงความน้อยใจออกมาให้เห็น แต่กริชเฉยเสีย
“ตรึงเหงามากนะ แล้วก็ว้าวุ่นด้วย” ต้องตาบอกเขา กริชยกไหล่ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ก็ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นแหละ อีกไม่นานเขาก็หาผู้ชายได้ใหม่”
“แต่ถ้าไปเจอเอาแบบเดิมเข้าล่ะ”
“ก็กรรมของเขา”
ต้องตานิ่วหน้าอย่างวิตก กริชยิ้ม “เอาเถอะ ถึงยังไงๆ เราก็เป็นพี่ เราจะคอยดูแลไม่ให้ใครรังแกเขา ตกลงไหมต้อง”
ต้องตายิ้มออก
วันนั้นเป็นวันที่ปลอดโปร่งมากสำหรับต้องตา หล่อนออกจากบ้านไปกับกริชตั้งแต่เช้า ซื้อข้าวของรวมทั้งแหวนแต่งงานให้แก่กันและกัน แวะเวียนตามบ้านเพื่อนและญาติบางคน ที่อยู่ในเส้นทางเพื่อแจ้งข่าว ด้วยวันแต่งงานจะมาถึงในอีกไม่นาน
หล่อนกลับถึงบ้านเมื่อใกล้ค่ำ พร้อมด้วยข้าวของสำหรับฝากทุกคน พอรถจอดแม่ก็หน้าตื่นออกมาหา ความสุขของหล่อนดับลงที่จุดนั้น
“ตรึงขับรถไปชน ทางโรงพยาบาลโทร.มาบอก”
เนื้อตัวปากคอของแม่สั่นระริก เป็นนานกว่าจะรู้กันว่าอยู่โรงพยาบาลไหน ต้องตาและกริชนั่งรถออกไปด้วยกันในทันที “แม่รออยู่ที่นี่แหละ แล้วต้องจะโทร.มา ตรึงอาจจะไม่เป็นอะไรมากก็ได้”
ตรึงใจหมดสติไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืน หล่อนได้รับการผ่าตัดในทันที เศษกระจกฝังอยู่บนใบหน้า และตามเนื้อตัวของหล่อน หลังจากนั้นตรึงใจก็ถูกผ่าตัดข้อมือและหัวเข่า
หลังจากนั้นตรึงใจไม่ใช่ผู้หญิงที่สดสวยมีเสน่ห์แพรวพราวอีกต่อไป ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยแผลเป็น ดั้งจมูกยุบลง ริมฝีปากและดวงตาภายหลังผ่าตัดเปลี่ยนรูปไป หล่อนเดินไม่คล่อง ซ้ำยังติดขัดเพราะหัวเข่าของหล่อนพิการไปเสียแล้ว
ต้องตาเฝ้าดูแลน้องสาวตั้งแต่แรกจนแผลหายสนิท หล่อนเลื่อนการแต่งงานออกไป และพาตรึงใจกลับมาพักที่บ้านแม่ หล่อนแอบร้องไห้กับ กับความอาภัพของน้องสาว
“ตรึงอยากตาย ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม ตรึงอยากตายเหลือเกิน” ตรึงใจร้องไห้อย่างรันทด
กริชอ่อนโยนกับตรึงใจมากขึ้น แต่ก็เพราะว่าหล่อนพิการนั่นหรอก ตรึงใจตระหนักดี หล่อนพูดกับลูกสาวอย่างปวดร้าว “พ่อเขาไม่รักแม่หรอกลูก แม่มันน่าเกลียด แม่ไม่สวยเหมือนอย่างป้าต้อง พ่อเขาจะไปอยู่กับป้าต้องแล้ว”
ยายหนูถึงกับมาวิงวอนกับพ่อของแก “พ่อขา พ่ออย่าทิ้งแม่นะคะ หนูรักแม่ หนูรักพ่อด้วยค่ะ” ..... “ป้าต้องขา อย่าให้พ่อทิ้งแม่นะคะ แม่ร้องไห้ทุกวันเลย”
“กริชคะ” ต้องตาเป็นฝ่ายเริ่มหลังจากเงียบขรึมมาเนิ่นนาน ไม่ยอมรับรู้ว่ากริชพยายามเอาใจเพื่อให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น
“ครับผม” เขายิ้มให้
ต้องตาหันหน้าไปทางอื่น น้ำเสียงมั่นคง “เราต้องพูดกันหน่อย”
กริชจ้องดูหล่อน นึกเดาได้ปรุโปร่ง ครู่หนึ่งเขาก็พูดเสียงสั่น
“อย่านะ ต้อง”
ต้องตากัดริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ซบหน้าลงร้องไห้กับฝ่ามือทั้งสองอย่างสุดจะอดกลั้น “กริช... มันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
กริชกอดหล่อนไว้ “ไม่ ไม่หรอก มันไม่ต้องเป็นอย่างไหนนอกจากเราจะแต่งงานกัน”
“กริชจ๊ะ ถ้ากริชไม่รักตรึง กริชจะแต่งงานใหม่ก็ได้ แต่ผู้หญิงคนนั้นจะต้องไม่ใช่ต้องตา พี่สาวของตรึงใจ ป้าของยายหนู” หล่อนกระซิบ แต่สะอื้นไห้รุนแรงยิ่งจนกริชที่กอดหล่อนไว้พลอยสะท้านไปด้วย
“ต้อง.. ผมจะไม่แต่งงานกับใครอื่น นอกจากคุณ เอาละถ้าคุณลำบากใจ เราก็ยังไม่ต้องแต่งงานกัน แต่เราจะรักกันไปเรื่อยๆ เข้าใจกันตลอดไป ตกลงไหม”
“ตกลงจ้ะ กริช”
ตกลง แต่เราก็ไม่ควรจะพบกันให้เป็นที่ทรมานใจ ต้องตาบอกกับตัวเอง แล้วหล่อนก็เตรียมตัวอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะจากเขาไปโดยไม่ร่ำลา ต้องตาทำถูกเสมอ แม่เองยังเชื่ออย่างนั้น แม่ไม่ค้านเลยเมื่อหล่อนบอกลาแม่
ต้องตาส่งโปสการ์ดมาให้คนทั้งสองจากที่ที่หล่อนอยู่ โปสการ์ดที่ไม่มีตำบลบ้าน มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ไม่แสดงเยื่อใยใดๆ ทว่ากริชประคับประคองมันราวกับดวงแก้วที่อาจปริแตกได้
ตรึงใจกะเผลกออกมาจากห้องข้างใน
“การ์ดของพี่ต้องหรือจ๊ะ” หล่อนถามอย่างอ่อนหวาน ตรึงใจทำตัวดีขึ้นมาก ตลอดเวลาหล่อนนึกถึงแต่การเอาใจกริช กริชเพียงแต่สนองตอบอย่างไร้ชีวิตจิตใจ
เขาไม่เหลือจิตใจให้แก่ตรึงใจจริงๆ ทุกวันกริชอยู่ด้วยสำนึกของหน้าที่และคุณธรรม เขากลับมาอยู่กับหล่อนในบ้านหลังเดิม บ้านที่เขาเคยกล่าวหาว่าทำให้เสื่อมศิริมงคล
กริชไม่สนใจอีกแล้วว่ากายของเขาจะอยู่ที่ไหน หัวใจของเขาต่างหากที่สำคัญ และมันไม่ได้อยู่ที่นี่ มันอยู่กับต้องตา ที่ไหนสักแห่งในโลกอันไพศาลนี้
เขาจ้องมองการ์ดที่ต้องตาส่งมา เชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเธอจะกลับมา เขาจะรอเธอ จะกอดเธอไว้ให้แน่นและไม่ยอมให้เธอจากเขาไปไหนอีกเลย....…
( นิยายเรื่องนี้ เคยลงพิมพ์ใน “เรื่องสั้นขนาดยาว” นิตยสาร สกุลไทยรายสัปดาห์ เมื่อปี พ.ศ. 2525 )