ผู้ชม ฝากงานเขียน

        จันทร์ 23 ธันวาคม พ.ศ.2567
  เรื่องสั้น งานเขียนจากผู้อ่าน
18 ประตูวิเศษ
27 ผู้วิงวอน
33 กว่าจะรู้ว่ารัก
46 มาดาม
47 ย้อนรอยรัก
48 เธออยู่ไหน
49 ครอบครัว
หน้าที่ 1/1



ผู้วิงวอน

กุลมณี

ShortStory : 0000-00-00

reader:1264
reply:1

1… เสียงขรึมๆ ของคุณ   บอกย้ำให้ฉันรู้ว่าคุณเบื่อหน่ายเต็มทน   อิดหนาระอาใจ..   และมันไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่   พอฉันบอกลาคุณก็รีบตัดสาย   อาจจะกระแทกโทรศัพท์กับโต๊ะเสียด้วยซ้ำ

ครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อนๆ   โทรศัพท์เรียกอยู่นานปล่อยให้ฉันลุ้นด้วยความรู้สึกปริ่มๆ หมดหวังว่าคุณจะรับสายหรือไม่รับ  บ่อยทีเดียวที่มันจบลงด้วยเสียงเทปบอกให้ฝากข้อความ   ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร   ฝากหรือไม่ฝากคุณก็ไม่เคยตอบสนอง  บางทีก็แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า   “ไม่เห็นมีใครโทรเข้ามา ไม่เห็นมีข้อความอะไรฝากไว้”   ถ้าอย่างนั้น ระบบคงทำงานผิดพลาดกระมัง

ครั้งนี้คุณรับสาย   แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นนอกจากแย่ลง แล้วร้องไห้เหมือนเต่าที่ถูกเผา   เราไม่อาจเข้าใจกันได้ตามเคย   เสียงตอบโต้ไม่ได้สื่อถึงความรู้สึกดีๆ  คำวิงวอนของฉันไม่อาจทำให้คุณกลับมาเป็นผู้ชายคนเดิม  ที่เคยห่วงใย   เคยมีจิตมีใจให้ และเคยคล้อยตามฉันเสมอ

เคย…   แค่เคย…  เท่านั้น   อดีตที่สวยงามผ่านไปแล้ว  มันจะมีวันหวนทวนกลับมาหรือไม่หนอ

คุณคงไม่อยากจะจำ และไม่อยากให้ทวนย้ำด้วย ว่าครั้งหนึ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างเรา   ฉันเคยเข้าถึงคุณได้เสมอ   เราโทรศัพท์หากันทุกวัน   ใครชวนไปไหน อีกฝ่ายไม่เคยปฏิเสธ

ฉันรู้ว่าอะไรทำให้คุณเปลี่ยน… พวกสาวๆ     และคงเป็นความน่าชิงชังที่ฉันแสดงออกมาด้วยกระมัง   ก็ฉันฝืนมันไม่ได้  คิดอะไร รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาแบบนั้นเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย

เมื่อก่อนคุณเคยหัวเราะขำนิสัยเสียๆ ของฉัน   แต่ครั้นต่อมา   มันกลับเป็นอะไรที่คุณตำหนิดูแคลนนักหนา     “อายุคุณไม่น้อยแล้วนะ…”     คุณพูดไม่มาก   แต่น้ำเสียงสีหน้าท่าทาง แสดงออกอย่างเต็มที่ มีผลให้ฉันยิ้มค้าง   นิ่งอั้น   ละอาย   ทั้งๆ ที่ไม่เคยต้องรู้สึกละอายมาก่อนเลย

เหมือนคุณพยายามกล่าวย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ฉันรู้สึกถึงความแตกต่าง ระหว่างฉันกับคนอื่นๆ   แม่หนูแสงดาวสาวน้อยหน้าแฉล้มเพิ่งเรียนจบทำงานใหม่ๆ ที่มีเรื่องมาปรึกษาไม่เว้นแต่ละวัน คุณจันทรา สาวสวยสุภาพที่เต็มไปด้วยมิตรไมตรีและแสดงออกว่าสนใจคุณไม่น้อย   นภาจรัส ผู้มีอารมณ์ขันที่คุณหัวเราะกับเธอเสมอ   แล้วยังสาวเปรี้ยวมุกวาวที่โฉบเข้ามาบ่อยๆ   พวกเธอดี   น่าชื่นชม   คบแล้วสบายใจ  ไม่เหมือนฉันที่ดีแต่ทำให้คุณรู้สึกตึงเครียด

ยิ่งคุณสนิทสนมกับพวกเธอ   ฉันก็ยิ่งห่างไกล

ฉันกลายเป็นส่วนเกินไปแล้ว………..


2… ฉันเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง   และเพราะอะไรฉันถึงได้ประทับใจในตัวคุณนักหนา

ฉันเคยบอกแล้วแน่ๆ  แค่ว่าคุณฟังหรือเปล่าเท่านั้นเอง   ก็ฉันพูดมากออกจะตาย   ถึงแม้ว่ามันจะมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง   แต่ความในใจมันชอบมารออยู่ตรงริมฝีปาก พอได้โอกาสก็ไหลออกมาหน้าตาเฉย   ยิ่งคุณมีท่าทีคล้อยตามมันก็ยิ่งได้ใจ   มีหรือที่คนอย่างฉันที่ยึดหลักเสรีภาพ อยากพูดอยากทำอะไรก็ตามใจตัวเองทุกอย่าง  จะกลั่นจะกรองคำพูดที่คิด (เอาเอง) ว่าไร้พิษภัยเก็บไว้คนเดียว

เรื่องของเรื่องก็คือ   ช่วงชีวิตในวัยเยาว์ของฉันเปล่าเปลี่ยว   คนที่ฉันรัก ถ้าไม่ตายจากไป   คนที่อยู่ก็ล้วนแต่มีอะไรๆ มากมายที่ต้องทำและมีใครต่อใครที่ต้องสนใจมากกว่าฉันเสมอ   ฉันโตขึ้นมากับความเหงา   พี่น้องทะเลาะเบาะแว้ง   ผู้ชายในชีวิตจริงของฉันมีไม่มาก   และพวกเขาล้วนแต่ขาดวิ่น นั่นทำให้ฉันสร้างเงาของใครคนหนึ่งซึ่งไม่มีตัวตนขึ้นไว้ปลอบใจตัวเอง

แล้วจู่ๆ ใครคนนั้นก็เหมือนเดินออกมาจากความนึกฝัน   ภาพลักษณ์เหมือนกันแทบไม่ผิดเพี้ยน  ก็คุณนั่นแหละไม่ใช่ใครเลย

ฉันมองคุณอย่างพิศวง   นิยมชมชื่น   ใครกันจะสมบูรณ์แบบไปหมดเช่นนี้   แล้วยังใจดีกับฉันเป็นที่สุด  เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุย   เห็นใจ   รับฟัง   ยิ่งในระยะแรกๆ ที่เราเหมือนมีจิตมีใจตรงกัน   ฉันก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในหลุม   หลงรักหลงฝัน…     กว่าจะรู้ตัวฉันก็จมลึกจนหาทางขึ้นไม่ได้เสียแล้ว

อะไรหนอ ทำให้ ผู้หญิงคนหนึ่ง หลงรักผู้ชายคนหนึ่ง เพียงข้างเดียวได้ถึงเพียงนี้ ใครบางคนพูดว่ามันเป็นเรื่องของเวรของกรรม………


3…...วันนี้คุณยอมมาทานมื้อกลางวันด้วย   หลังจากที่บอกปัดหลายที   สีหน้าท่าทางคุณเหมือนฝืนใจ   ยิ้มเครียดๆ  ขณะที่ฉันยิ้มประจบเอาใจเต็มที่

เรื่องตลกของฉัน ไม่ตลกอีกแล้ว   เรื่องอื่นๆ ที่ฉันพูดก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ   คุณแทบไม่ยอมมองหน้ามองตาฉันตรงๆ ด้วยซ้ำ   แต่หากมองมา   สีหน้าเครียดประกายตาหน่ายแหนงก็แสดงตัวอย่างปกปิดไม่มิด

ผู้ชายคนนั้นหายไปไหน…     ฉันร่ำร้องทวงถาม…     ประกายตาระริกที่เคยส่งมาพร้อมกับเสียงพูดคุยร่าเริงหายไปไหนเสียแล้ว   เสียงหัวเราะของคุณทำให้ฉันรู้สึกเบิกบาน   ฉันเคยทักบ่อยๆ   “ฟังหัวเราะเข้าซิ”   คุณยังเพียรจุดประกายชีวิตให้ฉันด้วยเสียงหัวเราะแบบนั้นต่อมาเรื่อยๆ เวลาถูกกดดันมาจากเรื่องอื่นฉันเคยทวงถาม     “ไหนหัวเราะให้ฟังก่อน  จะได้มีแรงกลับไปสู้กับโลกที่โหดร้าย” และตอนนั้นแม้บางครั้งคุณก็เครียดบ้างมีปัญหาเรื่องงานบ้าง   แต่คุณก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวัง

วันนี้เงาทะมึนครอบคลุมลงมา     ฉันรู้…  แต่ไม่อยากจะยอมรับเลยว่า   โลกที่สวยงามพลิกกลับมาสู่ด้านมืดเสียแล้ว

“งานเลี้ยงต้องมีเลิกรา”   คุณบอกนัยหลายครั้งหลายหน


4…send…

อีเมลไม่รู้กี่ฉบับ ถูกส่งโดยไม่มีการตอบกลับ   เมื่อก่อนเราส่งจดหมายฯ ตอบโต้กันเสมอ   แทบจะทุกวัน ฉันไม่เคยผิดหวังที่จะพบจดหมายของคุณรออยู่   ปลุกโลกของฉันให้แจ่มใส   เรียกเสียงหัวเราะจากหัวใจ   ระบายความอิ่มเอมไปทั่วทุกอณูของตัวฉันแล้วยังระบายไปในอากาศที่หุ้มห่อโลกทั้งโลก

มาตอนนี้จดหมายไม่เคยมีการตอบกลับ     การเชื่อมโยงทางคอมพิวเตอร์ถูกตัดขาด โทรศัพท์นั้นไม่ต้องพูดถึง   พอคุณไม่รับสายหลายๆ ครั้งเข้า  ฉันก็หมดความพยายาม  พอคิดจะโทรหา…    เสียงขรึมๆ ตัดไมตรีที่เคยได้ยินก็ดังแว่วหยุดยั้งห้ามปรามไว้   ไม่อย่างนั้นก็เดาออกว่าการตอบสนองคงจะเป็นเสียงเทปบอกให้ทิ้งข้อความเช่นเคย

“คงไม่มีทางอื่นอีกแล้ว   เราต้องยอมรับความจริง”     ฉันบอกตัวเอง

หากแล้วยามใดก็ตามที่เงียบเหงา   บรรยากาศเดิมๆ หวนกลับมารุมเร้า ความรู้สึกบีบคั้นก็ท่วมท้น   ฉันคิดถึงวันเก่าๆ ของเราเหลือเกิน

ฉันคงวิกลจริตไปเสียแล้ว     ความคิดพลิกกลับไปกลับมา     “…ฉันรู้แล้วว่าไม่อาจฝืน… มันต้องเป็นไปอย่างนี้…  ฉันจะตัดใจให้ได้…  ฉันจะลืมคุณ…”     ฉันพยายามจะลืมอยู่พักหนึ่ง ใช้กลอุบายหลอกล่อตัวเองสารพัด   แต่แล้วก็…     “ฉันไม่อยากลืมคุณเลย… ทำใจไม่ได้ที่จะลบคุณออกไปจากโลกของฉัน…     แม้คุณจะทำให้ฉันเจ็บปวด   แต่การที่ได้คิดถึงคุณด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ก็ยังดีกว่าที่จะไม่มีคุณเสียเลย..…”

ฉันเขียนข้อความน้ำเน่าจากหัวใจเน่าๆ     “…จำได้ไหม คุณเคยบอกให้ฉันมองโลกในแง่ดี     ฉันได้พยายามทำอยู่แล้ว…    รู้ไหมฉันคิดว่ามันไม่เลวนักหรอก ที่จะคิดถึงใครสักคนอย่างมากมายขนาดนี้…แม้ว่าจะเป็นไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างเหลือเกินก็ตาม…     ใครสักกี่คนจะโชคดีเหมือนอย่างฉัน  ที่ได้รับรู้ ความรู้สึกที่แสนจะมีค่าและหายากนี้   ซึ่งแม้แต่คนที่เลิศเลอที่สุด ก็ยังยากจะรู้จักพบพานกับมัน…     ฉันคงต้องขอบคุณคุณใช่ไหม……”

ฉันเขียน…     แล้วก็ส่ง…     เขียนแล้วก็ส่ง…..    ทีแรกคิดหวังว่ามันจะทำให้คุณใจอ่อนบ้าง   แต่ครั้นต่อมาฉันก็ได้รู้ว่ามันไม่ได้ทำให้คุณอ่อนไหวแต่อย่างไรเลย   แต่ฉันก็ยังคงเขียนแล้วก็ส่ง…  ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรเหมือนกัน……

5…..คนในครอบครัวของฉันตายจากไป  ไม่ใช่ฉันเรียกร้อง   แต่สิ่งที่ตามมาคืออิสรภาพ และทรัพย์มรดก

ตอนนี้เราเหมือนคนแปลกหน้าไปแล้ว  ไม่มีการติดต่อนานมาก   แต่ฉันก็คิดถึงคุณเสมอ… ร้องไห้เมื่อนึกถึงคุณเสมอ…

วงสังคมของฉันกว้างขึ้น ได้รู้จักพบหาผู้คน มีกิจกรรม มีคนมาสนใจ ฉันกระโจนตามคนนั้นคนนี้หวังว่าสิ่งแปลกใหม่จะทำให้ฉันหลุดพ้นจากโลกใบเก่าที่ปวดร้าวหดหู่ จากความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า จากความรู้สึกผิดหวังที่คอยติดตามหลอกหลอน

แต่ว่ามันคงจะเป็นเรื่องของเวรของกรรมจริงๆ     อิสรภาพ  เงินทอง และผู้คนที่แวดล้อมแค่ทำให้ฉันสนุกสนานเป็นพักๆ     แต่ไม่เคยจะพาฉันออกไปจากโลกของความปวดร้าวอัปยศหมดหวัง ที่มีคุณยืนยงและยืนหยัดอยู่อย่างเยาะหยันจริงๆ สักที   คงต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง   ทำไมฉันจึงลืมความรู้สึกนี้ไม่ได้

ฉันบอกตัวเองว่า   ถ้าเพียงแต่เราจากกันอย่างมิตร  ทุกอย่างคงจะดีขึ้น ความรู้สึกร้ายๆ คงหยุดตามหลอกหลอนฉันเสียที   เวลาผ่านไปนานแล้ว   คุณคงลืมแล้วว่าเคยหมั่นไส้หน่ายแหนงฉันแค่ไหน

ฉันตัดสินใจอยู่นาน ที่จะโทรศัพท์หาคุณ   นั่น…!     คุณรับสาย เราคุยกันดีเหมือนไม่มีเรื่องบาดหมาง…..     ฉันวางสายแล้วร้องไห้…..

คุณคงไม่รู้หรอกว่าธารน้ำตาแห่งนี้ไม่เคยแห้ง     ไม่ว่าจะนานเพียงไหน

ฉันส่งเมลถึงคุณ

“…..ที่ผ่านมาเป็นฉันผิดเอง   ฉันอยากพบคุณ   มีเรื่องที่จะพูด…     แค่หวังให้คุณเข้าใจ เพื่อที่เราจะจากกันอย่างสันติ….  ฉันอยากจำคุณในแง่ดี     อยากจากกันอย่างเพื่อน…   ถ้าฉันตาย ก็อยากตายโดยไม่มีข้อบาดหมางติดค้างในใจ….”

เราวางวันนัดพบ   แต่แล้วมันก็มีอันถูกยกเลิก   ไม่สาเหตุนั้นก็สาเหตุนี้

คุณไม่เดือดร้อน   และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจของคุณทำให้ฉันน้อยใจอีกแล้ว ฟุ้งกระจายวุ่นวายอีกแล้ว

ฉันเสียงเครือ     “ฉันอยากพบคุณ   แค่อีกครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียว…”

“ผมงานยุ่ง”

“วันเสาร์นี้   แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”

“ตกลง เสาร์นี้ก็ได้”   คุณรับคำเหมือนจำใจ

แล้วเราก็ขัดข้องอีกจนได้   เป็นความผิดของฉันเอง   ก็ประเดี๋ยวนัดประเดี๋ยวบอกเลิก แล้วก็กลับมานัดใหม่จนคุณอารมณ์เสีย  ก็ฉันไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมาเฉยๆ   ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  หัวเราะดีไหม  หรือว่าจะร้องไห้ชดใช้ความรู้สึกที่สะสมมานาน

เถอะน่า   เพื่อสันติ   เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน   ฉันบอกกับตัวเอง

วันนั้นฉันรอเวลาที่จะพบคุณอย่างกระวนกระวายตั้งแต่เช้า   พอได้เวลาฉันก็ไปรอ ณ ที่นัด   ฉันโทรหาคุณหลายครั้งเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของตัวเอง   แต่หลังจากสัญญาณเรียกดังนานมันก็จบด้วยการให้ฝากข้อความทุกครั้งทุกหน

คุณไม่มา   ฉันเสียใจ   ร้องไห้   เจ็บปวดขาดวิ่น   สันติที่คิดว่าจะได้จากการพบครั้งนี้ พอผิดหวังมันกลับมีฤทธิเดชทำร้ายแล้วยังดึงความผิดหวังในอดีตให้เททะลักกลับมาตอกย้ำ

“ครั้งเดียว”    ที่ฉันขอ     “ครั้งสุดท้าย”  ที่ฉันวิงวอน   ไม่เคยได้เกิดขึ้น


6…..สิ่งที่ไม่ได้เรียกร้อง   มักจะมาหาเราเสมอ

เชื่อไหมว่าพอฉันไม่นึกต้องการเงิน   เงินก็กลับไหลมาเทมา   พอฉันไม่ต้องการให้ใครมาสนใจใยดี   พวกเขาก็โผล่มาจากทางโน้นทางนี้   ถ้าเพียงแต่ฉันมีจิตใจให้   หัวใจที่กระจุยรุ่งริ่งคงได้รับการเยียวยารักษา

แต่ฉันกลายเป็นคนที่เบื่อหน่ายกับชีวิตไปเสียแล้ว   ชีวิตนี้เพื่ออะไรกัน   จะอยู่อีกนานเท่าไหร่  เมื่อไรจะตายสักที   คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัว

วันหนึ่งฉันตามเพื่อนไปโรงพยาบาล แล้วก็ได้พบกับผู้คนที่ทุกข์ยาก เด็กเล็กๆ เป็นโรคติดต่อร้ายแรง   ขาดคนดูแลรักษา   ฉันเลยกลายมาเป็นอาสาสมัครที่ทำงานด้วยความเต็มอกเต็มใจ   เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความหมาย   เด็กๆ ที่เจ็บป่วยและหวาดกลัว   ต่างโหยหาอ้อมกอดของฉัน

หลายปีที่ฉันอยู่ตรงนี้   เวลาผ่านไปเร็ว   และฉันมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย


7 ชาติ   ชรา  พยาธิ   มรณะ   ใครเล่าจะหนีพ้น

ทุกคนต้องเกิดแก่เจ็บตาย   เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว เท่านั้น   ฉันรู้ว่าสุดท้ายฉันก็ต้องลงเอยตรงนี้   ติดเชื้อ   ป่วยไข้และตาย   แต่ว่าฉันก็พอใจ

ฉันนึกถึงคุณเสมอ  ทุกยามที่หลับตา   นอนอ่อนเพลีย   ไร้เรี่ยวแรง   จนแม้แต่จะหายใจแต่ละเฮือกก็แสนยาก   ฉันอยากพบคุณเหลือเกิน   อยากบอกว่าขอโทษ สำหรับทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

ขอโทษที่ฉันรักคุณ…… มากเกินไป…..

ดีแล้วที่   “ครั้งเดียว”   ที่ฉันขอ   “ครั้งสุดท้าย”   ที่ฉันวิงวอน    ไม่เคยได้เกิดขึ้น   เพราะหากมีครั้งนั้น  ก็ไม่แน่นักว่าฉันจะมาถึงจุดนี้….. ที่สันติแท้จริงกำลังเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง………

ผม -1   เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว   ผมลืมเธอไปแล้วเกือบสนิท  จู่ๆ คืนหนึ่งผมก็ฝันถึงเธอ   เธอยังสวยเหมือนเดิม  สวยกว่าเมื่อตอนที่ผมเคยเห็น

“ครั้งนี้คุณจะมาพบฉันหรือเปล่า   ฉันรอคุณมานานแล้ว   และจะรอเสมอ   ขออีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น   ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย   แล้วฉันจะไปอย่างสันติ”

คืนนั้นผมรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก   ผมลุกขึ้นเดินงุ่นง่าน   นอนต่อไม่ได้

วันรุ่งขึ้น  พอส่งงานออกไป   ผมก็โทรศัพท์หาเพื่อนของเธอทีละคน   แต่ละคนให้ข่าวคนละเล็กละน้อย   เธอละจากกลุ่มไปตั้งแต่ผมเริ่มคบคนอื่น   ผมได้รู้ว่าเธอมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่ำรวย   มีอิสระ และเป็นที่รักที่ต้องการ   แต่ตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น เธอยังคงติดต่อมาหาผมเป็นระยะๆ ส่งเสียงสะอื้นตัดพ้อ   ส่งจดหมายบอกความในใจ

เธอไม่เคยลืมผมเลย   และความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมก็ไม่เคยเลือนหาย แม้ว่าเธอจะสมบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญและผู้คนที่มานิยมชมชอบ

“เธอตาย…นานแล้ว…”     ข่าวนั้นทำให้ผมตกตะลึง     “เธอสวยขึ้น   ร่ำรวยขึ้น   มีอิสระ   แต่ว่าเหมือนเธอไม่รักที่จะมีชีวิตอยู่   เธอใช้เงินท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตเปลืองอย่างจงใจ   เธอบริจาคเงินให้การกุศล   หันมาอุทิศตัวดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อ   เธอติดเชื้อจากเด็กเล็กๆ ที่เธอดูแล   และตายอย่างสงบ……”

เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ที่ผมนึกอะไรไม่ออกนอกจากเรื่องของเธอ  วันต่อๆ มาผมมีอาการดีขึ้น   แต่ “เธอ” ยังคอยรบกวนให้ผมไม่สบายใจเสมอ

“อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ขอแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย…..”   เหมือนเสียงวิงวอนของเธอลอยอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวผม


ผม-2  ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน   ใครเล่าจะหนีพ้น  ชาติ  ชรา พยาธิ  มรณะ  วันนี้เป็นวันของเรา   แต่ว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่ใช่

ที่สุดผมก็ต้องนอนแน่วอยู่กับที่   เจ็บป่วย  ว้าเหว่ผิดหวัง   คนที่เคยแวดล้อมค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน   ผมไม่เหลือใครแม้แต่คนที่ผมเคยรักใยดีอย่างที่สุด   คนส่วนหนึ่งกำลังรอความตายของผม   เพื่อที่พวกเขาจะได้พ้นจากภาระ  ผมนอนอยู่อย่างนี้นานหนักหนาแล้ว

รูปและจดหมายเก่าๆ ที่ถูกรื้อออกมาในยามเหงา   สะกิดอดีตให้กลับมาเต้นเร้า   หลายปีมานี้ผมหวนคิดถึงเธออย่างจริงจัง   ภาพของเธอในอดีตคล้ายชัดเจนมากขึ้นทุกที   ดูเหมือนภาพของเธอที่ปรากฏในมโนนึกในระยะหลังๆ นี้   ยิ่งนานก็ยิ่งสวยใส  ประกายตาวาววามประกาศความรู้สึกลึกซึ้ง  เทิดทูน   นิยมชมชอบที่เธอมีต่อผม เสียงหัวเราะของเธอในยามที่เคยสุขสมหวังเหมือนกังวานอยู่ในความเงียบ   แต่ผมก็ยังจำคำขอร้องวิงวอนของเธอได้

“…อีกครั้งเดียวเท่านั้น    ขอแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย…..”

ผมได้แต่น้ำตาไหลเงียบๆ