วรรณกรรมแปล
ติดตรวน

ติดตรวน แปลจากวรรณกรรมเรื่องสั้น Manacled ของ สตีเฟน เครน (November 1, 1871 – June 5, 1900) นักเขียนชาวอเมริกันผู้เสียชีวิตด้วยวัณโรคและมาลาเรียตั้งแต่อายุเพียง 28 ปี เป็นนักเขียนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ผลงานที่ทำเป็นภาพยนตร์จนเป็นที่รู้จักกันในระดับนานาชาติได้แก่ เรื่อง Red badge of courage (ค.ศ. 1895) และ Blue Hotel
งานแปล ติดตรวน เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2547 ได้รับการตัดสินให้ผ่านการคัดเลือกจาก เวปไซท์ วรรณกรรม ในเวลาต่อมา

Manacled by Stephen Crane (1900)
ติดตรวน โดย ม.ล.กุลรัตน์ เทวกุล

In the First Act there had been a farm scene, wherein real horses had drunk real water out of real buckets, afterward dragging a real wagon off stage left. The audience was consumed with admiration of this play, and the great Theatre Nouveau rang to its roof with the crowd’s plaudits.

การแสดงฉากแรก เป็นไร่นา ซึ่งมีม้าจริงๆ ดื่มน้ำจากถังน้ำสำหรับเลี้ยงม้าของจริง และที่สุดก็ลากเกวียนจริงๆ ออกไปจากเวที ผู้ชมเสพการแสดงนี้ด้วยความชื่นชม และโรงละคร Nouveau ที่ยิ่งใหญ่ ก็กึกก้องด้วยเสียงปรบมือของฝูงชน


The Second Act was now well advanced. The hero, cruelly victimised by his enemies, stood in prison garb, panting with rage, while two brutal wardens fastened real handcuffs on his wrists and real anklets on his ankles. And the hovering villain sneered.

ตอนนี้ฉากที่สองกำลังดำเนินไปด้วยดี ตัวพระเอกซึ่งถูกฝ่ายตรงข้ามทรมานอย่างเหี้ยมโหดสวมชุดนักโทษ หอบหายใจด้วยความโกรธแค้น ขณะที่ผู้คุมจอมโหดสองคนจองจำข้อมือข้อเท้าของเขาไว้ด้วยกุญแจมือและโซ่ตรวนแท้ๆ และเจ้าตัวหัวหน้าวายร้ายก็ทำทียวนยีเยาะหยัน

“‘Tis well, Aubrey Pettingill,” said the prisoner. “You have so far succeeded; but mark you, there will come a time—”

“ดีละ Aubrey Pettingill” นักโทษว่าตามบท “นายกำลังเป็นต่อก็จริง แต่ฉันขอเตือนไว้ เวลาของฉันจะต้องมาถึง…..”

The villain retorted with a cutting allusion to the young lady whom the hero loved.

เจ้าวายร้ายสวนทันทีด้วยคำพูดลามปามถึงหญิงสาวเยาว์วัยที่พระเอกรัก

“Curse you,” cried the hero, and he made as if to spring upon this demon; but, as the pitying audience saw, he could only take steps four inches long.

“สาปแช่งเจ้า” พระเอกร้อง ทำทีเหมือนจะโดดเข้าใส่เจ้าผีร้ายตนนั้น แต่เท่าที่ผู้ชมที่กำลังสะเทือนใจมองเห็น ก็คือ เขาก้าวออกมาได้เพียงแค่คืบสั้นๆ เท่านั้น


Drowning the mocking laughter of the villain came cries from both the audience and the people back of the wings. “Fire! Fire! Fire!” Throughout the great house resounded the roaring crashes of a throng of human beings moving in terror, and even above this noise could be heard the screams of women more shrill than whistles. The building hummed and shook; it was like a glade which holds some bellowing cataract of the mountains. Most of the people who were killed on the stairs still clutched their play-bills in their hands as if they had resolved to save them at all costs.

ท่ามกลางเสียงหัวเราะยียวนของเจ้าผู้ร้าย มีเสียงร้องดังจากทั้งผู้ชมและผู้คนที่อยู่ด้านหลังสองข้างเวที “ไฟไหม้! ไฟไหม้! ไฟไหม้!” แล้วทั่วทั้งโรงละครก็อึกทึกกึกก้องด้วยเสียงปะทะโครมครามของฝูงชนที่อลหม่านโกลาหล แทรกเสริมด้วยเสียงผู้หญิงหวีดร้องเสียดแหลมยิ่งกว่าเสียงนกหวีด ตัวอาคารเลื่อนลั่นสั่นไหว มันเหมือนกับที่โล่งกลางป่าซึ่งกำลังถูกน้ำบ่าจากภูเขาหลากใส่ คนที่เสียชีวิตอยู่บนบันได ยังกำตั๋วละครไว้ ราวกับหมายใจจะเรียกเงินคืน

The Theatre Nouveau fronted upon a street which was not of the first importance, especially at night, when it only aroused when the people came to the theatre, and aroused again when they came out to go home. On the night of the fire, at the time of the scene between the enchained hero and his tormentor, the thoroughfare echoed with only the scraping shovels of some street-cleaners, who were loading carts with blackened snow and mud. The gleam of lights made the shadowed pavement deeply blue, save where lay some yellow plum-like reflection.

โรงละคร Nouveau ตั้งอยู่ริมถนนสายที่ไม่มีความสำคัญ ยิ่งในเวลากลางคืน มันจะมีชีวิตชีวาเพียงเวลาที่ผู้คนมาเข้าชมละคร และจะคึกคักอีกครั้งเมื่อคนเหล่านั้นกลับออกมาเพื่อกลับบ้านเท่านั้น ในคืนที่ไฟไหม้ เมื่อการแสดงมาถึงฉากปะทะบทบาทของพระเอกซึ่งถูกตีตรวนกับเจ้าผู้ร้ายนั้น ถนนสายโปร่งมีเพียงเสียงตักแซะเป็นช่วงๆ ของคนกวาดถนนซึ่งกำลังตักหิมะดำๆ และโคลนใส่เกวียน แสงไฟฟ้าสลัวๆ ทำให้ทางเดินมืดๆ ดูเป็นสีน้ำเงินหม่นมัว ทว่าก็มีบางตอนที่สะท้อนเงาสีเหลืองวูบวาบ

Suddenly a policeman came running frantically along the street. He charged upon the fire-box on a corner. Its red light touched with flame each of his brass buttons and the municipal shield. He pressed a lever. He had been standing in the entrance of the theatre chatting to the lonely man in the box-office. To send an alarm was a matter of seconds.

พลันนั้น นายตำรวจผู้หนึ่งก็วิ่งมาอย่างเสียสติ รี่เข้าหาตู้แจ้งเพลิงไหม้ที่มุมถนน ปุ่มไฟสีแดงตรงนั้น ส่องต้องกระดุมทองเหลืองและตราเจ้าหน้าที่บนเสื้อของเขา เขาดันคันโยกทันที ก่อนหน้านี้เขายังยืนคุยจ้ออยู่ตรงทางเข้าโรงละครกับชายเหงาที่ช่องขายตั๋วอยู่เลย ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวกว่าจะส่งสัญญาณเตือนภัยได้


Out of the theatre poured the first hundreds of fortunate ones, and some were not altogether fortunate. Women, their bonnets flying, cried out tender names; men, white as death, scratched and bleeding, looked wildly from face to face. There were displays of horrible blind brutality by the strong. Weaker men clutched and clawed like cats. From the theatre itself came the howl of a gale.

คนที่โชคช่วยหนึ่งร้อยคนแรก พรูออกมาข้างนอกโรงละคร แต่บางคนก็ไม่ได้โชคดีเทียมกัน พวกผู้หญิง หมวกหลุดลุ่ยร้องเรียกหาคู่ควง พวกผู้ชายเผือดซีดเหมือนคนตายบ้าง ถลอกปอกเปิกบ้าง และกำลังเลือดไหลบ้าง ดูแตกตื่นไปทั่วทุกใบหน้า มีภาพของคนที่แข็งแรงกว่า ลืมตัวแสดงความป่าเถื่อนโหดร้ายออกมา และคนที่อ่อนแอก็เกาะเกี่ยวคลุกคลานเหมือนกับแมวป่วย ขณะที่ เสียงคล้ายพายุหอนคำรามดังอื้ออึงออกมาจากข้างในโรงละคร

The policeman’s fingers had flashed into instant life and action the most perfect counter-attack to the fire. He listened for some seconds, and presently he heard the thunder of a charging engine. She swept around a corner, her three shining enthralled horses leaping. Her consort, the hose-cart, roared behind her. There were the loud clicks of the steel-shod hoofs, hoarse shouts, men running, the flash of lights, while the crevice-like streets resounded with the charges of other engines.

นายตำรวจระดมพรมนิ้วปฏิบัติงานเพื่อสัมฤทธิ์การสะกัดกั้นอัคคีภัย เขาหยุดฟังชั่วครู่และในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงคำรามกึกก้องของเครื่องจักรกลดังเข้ามา ม้าเทียมสามตัวก้าวควบพารถดับเพลิงเลี้ยวผ่านมุมถนน มีเกวียนบันทุกสายฉีดดังคำรามตามอยู่ข้างหลัง เกิดความอลหม่านด้วยเสียงเกือกม้าที่ทำจากเหล็กกระแทกคลิ๊ก ลั่นๆ เสียงตะโกนห้าวๆ ผู้คนวิ่งไปมา แสงไฟสัญญาณวูบวาบ ขณะเมื่อถนนที่คล้ายจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ กึกก้องสะท้อนสะเทือนด้วยเครื่องจักรดับเพลิงตัวอื่นๆ

At the first cry of fire, the two brutal warders had dropped the arms of the hero and run off the stage with the villain. The hero cried after them angrily--

ตอนที่เปลวไฟเริ่มปะทุ คนที่แสดงเป็นผู้คุมจอมโหดทั้งสอง รีบปล่อยแขนพระเอกแล้ววิ่งออกจากเวทีแสดงไปพร้อมกับเจ้าตัวหัวหน้าผู้ร้าย พระเอกได้แต่ตะโกนโกรธๆ ตามหลัง


“Where are you going? Here, Pete—Tom—you’ve left me chained up, damn you!”

“พีท ทอม พวกนายจะไปไหน นายทิ้งฉันทั้งที่ถูกล่ามโซ่ไว้ บ้าเอ๊ย!”


The body of the theatre now resembled a mad surf amid rocks, but the hero did not look at it. He was filled with fury at the stupidity of the two brutal warders, in forgetting that they were leaving him manacled. Calling loudly, he hobbled off stage L, taking steps four inches long.

ขณะนั้นทั่วทั้งตัวโรงละครโกลาหลเหมือนดังคลื่นคลั่งปะทะแก่งหิน แต่พระเอกก็ไม่ได้สนใจ เขาได้แต่โกรธเกรี้ยวความโง่เง่าของเจ้าผู้คุมทั้งสองที่ทิ้งเขาไว้ทั้งๆ ที่ถูกพันธนาการ เขาตะโกนลั่นร้องเรียกพลางโขยกเขยกจะออกจากเวทีด้วยก้าวละเพียงครึ่งคืบ


Behind the scenes he heard the hum of flames. Smoke, filled with sparks sweeping on spiral courses, rolled thickly upon him. Suddenly his face turned chalk-colour beneath his skin of manly bronze for the stage. His voice shrieked—

นอกจากภาพที่เห็น เขายังได้ยินเสียงคุคำรามของเปลวเพลิง ควันหนา คละเคล้าประกายไฟ กระจายไปทั่ว ทอดตัวโอบล้อมเขามากขึ้นทุกที ครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็กลับกายเป็นสีถ่านอยู่ภายใต้หน้ากากประกายทองที่ใช้สำหรับสวมแสดง เขาร้องเสียงหลง


“Pete—Tom—damn you—come back—you’ve left me chained up.”

“พีท ทอม ไอ้เลวเอ๊ย! กลับมา พวกแกทิ้งฉันติดตรวนอยู่ตรงนี้”


He had played in this theatre for seven years, and he could find his way without light through the intricate passages which mazed out behind the stage. He knew that it was a long way to the street door.

เขาแสดงที่โรงละครนี้มาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว จนสามารถหลับตาเดินผ่านทางคดเคี้ยววกวนหลังเวทีได้สบายๆ เขารู้ดีกว่าจะต้องไปอีกไกลทีเดียวกว่าจะถึงประตูทางออก

The heat was intense. From time to time masses of flaming wood sung down from above him. He began to jump. Each jump advanced him about three feet, but the effort soon became heartbreaking. Once he fell, and it took time to get up on his feet again.

ความร้อนระอุแผดเผา กองไม้ปะทุไฟ ร่วงหล่นลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเริ่มกระโดดไปข้างหน้า แต่ละครั้ง ทำระยะทางประมาณ 3 ฟุต แต่ไม่ช้าความพยายามนั้นก็กลายเป็นเรื่องชวนให้ปวดใจเมื่อเขาล้มลงและช่างยากเย็นกว่าจะกลับลุกขึ้นใหม่ได้


There were stairs to descend. From the top of this flight he tried to fall feet first. He precipitated himself in a way that would have broken his hip under common conditions. But every step seemed covered with glue, and on almost every one he stuck for a moment. He could not even succeed in falling downstairs. Ultimately he reached the bottom, windless from the struggle.

มีบันไดทางลงหลายขั้น จากจุดบนสุดของบันไดช่วงนี้ เขาพยายามที่จะรูดลงมาโดยเอาเท้าลงก่อน แต่เขาก็ลนลานจนเกือบทำให้ตัวเองสะโพกหักเอาง่ายๆ บันไดแต่ละขั้น เหมือนกับถูกทาทับด้วยกาวทำให้เขาติดอยู่กับมันแต่ละขั้นนานเป็นครู่ จนทำไม่ได้แม้แต่จะทำให้ตัวเองรูดตกบันไดลงมา แต่ในที่สุด เขาก็ลงมาถึงข้างล่างอย่างปลอดภัย


There were stairs to climb. At the foot of the flight he lay for an instant with his mouth close to the floor trying to breathe. Then he tried to scale this frightful precipice up the face of which many an actress had gone at a canter.

มีบันไดหลายขั้นที่จะต้องปีนขึ้นไป ที่ขั้นล่างสุดของบันไดช่วงนี้ เขานอนลงชั่วขณะ ก้มหน้าต่ำอ้าปากกับพื้นพยายามที่จะหายใจ พลางเรียกกำลังใจข่มเจ้าภยันตรายที่น่าพรั่น


Each succeeding step arose eight inches from its fellow. The hero dropped to a seat on the third step, and pulled his feet to the second step. From this position he lifted himself to a seat on the fourth step. He had not gone far in this manner before his frenzy caused him to lose his balance, and he rolled to the foot of the flight. After all, he could fall downstairs.

บันไดแต่ละขั้นอยู่สูงขึ้นไป 8 นิ้ว พระเอกของเรานั่งลงบนบันไดขั้นที่สามแล้วดึงขาขึ้นไปยังขั้นที่สอง จากตรงนั้น เขายกตัวขึ้นนั่งบนบันไดขั้นที่สี่ เขาไม่ได้เคลื่อนต่อไปในท่านี้นานนักเมื่อความตระหนกทำให้เขาเสียการทรงตัวกลิ้งกลับลงมาที่พื้น ทีนี้เขาเกิดจะมาตกบันไดสำเร็จจนได้

He lay there whispering. “They all got out but I. All but I.” Beautiful flames flashed above him, some were crimson, some were orange, and here and there were tongues of purple, blue, green.

เขานอนพึมพำ “พวกเขาออกไปได้ทั้งหมดนอกจากฉันคนเดียว… เหลือฉันคนเดียวเท่านั้น…” เปลวไฟสวยๆ ลามเลียอยู่เหนือตัวเขา สีเลือดหมูบ้าง สีส้มบ้าง ที่นั่นและที่นี่เหมือนมีลิ้นสีม่วง สีน้ำเงิน และสีเขียวแลบเลียแผล็บๆ


A curiously calm thought came into his head. “What a fool I was not to foresee this! I shall have Rogers furnish manacles of papier mâché tomorrow.

เขาเกิดความคิดสงบประหลาดขึ้นมา “ช่างโง่อะไรอย่างนี้ที่ฉันไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย พรุ่งนี้ฉันจะให้โรเจอร์ ประดิษฐ์โซ่ตรวนแบบใหม่ที่ทำด้วยเยื่อกระดาษหล่อขึ้นรูปทาสี”


The thunder of the fire-lions made the theatre have a palsy.

ปฎิบัติการบรรเทาเพลิง ทำให้โรงละครลดความร้อนแรงลงสู่สภาพง่อยเปลี้ย


Suddenly the hero beat his handcuffs against the wall, cursing them in a loud wail. Blood started from under his finger-nails. Soon he began to bite the hot steel, and blood fell from his blistered mouth. He raved like a wolf.

ทันใดนั้น คุณพระเอกก็ฟาดกุญแจที่ล่ามข้อมือกับฝาผนังพลางแช่งด่ามัน โลหิตไหลออกมาจากเล็บมือเขา เขาเริ่มกัดเจ้าเหล็กร้อนๆ แล้วเลือดก็ซึมจากปากพองๆ เขาคลั่งเหมือนสุนัขป่าติดกับ


Peace came to him again. There were charming effects amid the flames.... He felt very cool, delightfully cool.... “They’ve left me chained up.”

แล้วความสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง ถึงยังไงมันก็มีพลอยได้ที่สวยงามในท่ามกลางเปลวเพลิงครั้งนี้ เขารู้สึกสงบ…ฉ่ำเย็นเบิกบาน… “พวกเขาปล่อยฉันไว้ทั้งที่ติดโซ่ตรวน”