วรรณกรรมแปล
บ้านผีสิง

เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ( Virginia Woolf ชื่อเดิม Adeline Virginia Stephen 25 มกราคม ค.ศ. 1882 - 28 มีนาคม ค.ศ. 1941) เป็นนักเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น และ บทความ นักพิมพ์ และผู้สนับสนุนสิทธิสตรีคนสำคัญชาวอังกฤษ วูล์ฟถือกันว่าเป็นนักเขียนผู้มีบทบาทสำคัญของวรรณกรรมสมัยใหม่นิยมของคริสต์ศตวรรษที่ 20 คนหนึ่ง

ระหว่างสมัยงสงครามโลกทั้งสองครั้ง วูล์ฟเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในวงการวรรณกรรมของลอนดอนและเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ “กลุ่มบลูมสบรี” (Bloomsbury group) ซึ่งเป็นกลุ่มนักเขียน, ปัญญาชน และศิลปินที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ

งานชิ้นสำคัญๆ ของวูล์ฟ ได้แก่นวนิยาย “Mrs Dalloway” (ค.ศ. 1925), “To the Lighthouse” (ค.ศ. 1927) และ “Orlando: A Biography” (ค.ศ. 1928) และบทความขนาดหนังสือ “A Room of One's Own” (ค.ศ. 1929) ที่มีประโยคที่เป็นที่รู้จักว่า “ผู้หญิงต้องมีเงินและห้องที่เป็นของตนเองถ้าจะเขียนนวนิยาย”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/


A haunted house Virginia Woolf (1944)

Whatever hour you woke there was a door shunting. From room to room they went, hand in hand, lifting here, opening there, making sure—a ghostly couple. “Here we left it,” she said. And he added, “Oh, but here too!” “It’s upstairs,” she murmured. “And in the garden,” he whispered “Quietly,” they said, “or we shall wake them.”

ไม่ว่าคุณจะตื่นขึ้นเมื่อใด จะมีเสียงประตูเปิดเข้าเปิดออก พวกเขาคู่ผีหวานใจจูงมือกัน เดินจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง ยกนั่นเปิดนี่เหมือนจะย้ำความแน่ใจ “เราทิ้งมันไว้ที่นี่” เธอพูด แล้วเขาก็เสริมว่า “โอ้ แล้วก็ที่นี่ด้วย” เธอพึมพำว่า “มันอยู่ข้างบน” เขากระซิบว่า “และในสวนด้วย” แล้วทั้งสองก็พูดกันว่า “เงียบๆ หน่อยจ้ะ ไม่อย่างนั้นเราอาจทำให้พวกเขาตื่น”


But it wasn’t that you woke us. Oh, no. “They’re looking for it; they’re drawing the curtain,” one might say, and so read on a page or two. “Now they’ve found it,” one would be certain, stopping the pencil on the margin. And then, tired of reading, one might rise and see for oneself, the house all empty, the doors standing open, only the wood pigeons bubbling with content and the hum of the threshing machine sounding from the farm.

แต่ที่พวกคุณสนใจคงไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกคุณจะทำให้เราตื่นหรอก ไม่ใช่เลย… “พวกเขากำลังค้นหา... พวกเขาดึงม่านขึ้น” ผีตนหนึ่งอาจพูดอย่างนั้นและ อ่านบันทึกไปอีกหน้าสองหน้า “ตอนนี้พวกเขาพบมันแล้ว” พอแน่ใจก็เลยวางดินสอลงตรงที่ว่าง พอเบื่อกับการอ่าน ก็อาจลุกขึ้นตรวจดูด้วยตัวเอง… บ้านทั้งหลังว่างเปล่า ประตูถูกเปิดค้างไว้ มีเพียงเสียงนกพิราบป่าตั้งหน้าคูขานและเสียงเครื่องนวดข้าวดังแว่วจากฟาร์ม

“What did I come in here for? What did I want to find?” My hands were empty. “Perhaps it’s upstairs then?” The apples were in the loft. And so down again, the garden still as ever, only the book had slipped into the grass.

“นี่ฉันเข้ามาข้างในนี้ทำไม ฉันต้องการหาอะไรกันแน่” ฉันยังไม่พบอะไรเลย “งั้นมันคงอยู่ข้างบนกระมัง” มีแค่ลูกแอปเปิ้ลจำนวนหนึ่งอยู่ในห้องใต้หลังคา ลงมาข้างล่างอีกทีซิ ในสวนยังคงเหมือนเดิม แตกต่างเพียงมีหนังสือเล่มหนึ่งหล่นอยู่บนพื้นหญ้าเท่านั้น


But they had found it in the drawing room. Not that one could ever see them. The window panes reflected apples, reflected roses; all the leaves were green in the glass. If they moved in the drawing room, the apple only turned its yellow side. Yet, the moment after, if the door was opened, spread about the floor, hung upon the walls, pendant from the ceiling—what? My hands were empty. The shadow of a thrush crossed the carpet; from the deepest wells of silence the wood pigeon drew its bubble of sound. “Safe, safe, safe,” the pulse of the house beat softly. “The treasure buried; the room. . .” the pulse stopped short. Oh, was that the buried treasure?

แม้พบบางอย่างในห้องรับแขก แต่ก็ไม่ใช่ที่นั่นหรอกที่ใครจะมองเห็นพวกเขาได้ กระจกหน้าต่างสะท้อนเงาลูกแอปเปิ้ล สะท้อนเงาดอกกุหลาบ ซึ่งใบยังเป็นสีเขียวอยู่ในแจกัน ถ้าพวกเขาเข้ามาในห้องรับแขก ก็จะแค่หมุนด้านเหลืองสวยของลูกแอปเปิ้ลออกมาทางด้านนอก ถ้าประตูถูกเปิดทิ้งไว้ ชั่วครู่ให้หลังอะไรบางอย่างก็จะเคลื่อนไปตามพื้น แขวนบางอย่างที่ผนังฝา และ ห้อยอะไรลงมาจากเพดานห้อง— มันคืออะไรกัน ฉันยังไม่พบอะไรเลย….. เงาของนกเล็กๆ ทอดผ่านพรมปูพื้น นกพิราบป่าส่งเสียงแผ่วๆ แว่วจากส่วนที่ลึกที่สุดของบ่อขุดแห่งความเงียบ… “บุญรักษา บุญรักษา บุญรักษา” หัวใจของตัวบ้านเต้นนุ่มๆ ขานรับ “ขุมทรัพย์ถูกฝังไว้…ห้องนั้น…” เสียงเต้นตุบหยุดลง โอ มันพูดถึงขุมทรัพย์ที่ถูกฝังไว้อย่างนั้นหรือ


A moment later the light had faded. Out in the garden then? But the trees spun darkness for a wandering beam of sun. So fine, so rare, coolly sunk beneath the surface the beam I sought always burnt behind the glass. Death was the glass; death was between us; coming to the woman first, hundreds of years ago, leaving the house, sealing all the windows; the rooms were darkened. He left it, left her, went North, went East, saw the stars turned in the Southern sky; sought the house, found it dropped beneath the Downs. “Safe, safe, safe,” the pulse of the house beat gladly. “The Treasure yours.”

ครู่ต่อมา แสงสว่างก็หมดไป… งั้นคงอยู่ที่ในสวนกระมัง… ทว่าต้นไม้ใหญ่น้อยแฝงในความมืดเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยหาย ค่อยๆ จมลงไป ภายใต้พื้น ผิวดิน อย่างยากยิ่งแต่งดงาม ลำแสงที่ฉันโหยหามักถูกเผาอยู่ที่เบื้องหลังบานกระจก ความตายก็คล้ายบานกระจก ความตาย กางกั้นระหว่างพวกเรา มันมาสู่ผู้หญิงก่อน เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ปล่อยบ้านให้รกร้าง ปิดหน้าต่างทุกบาน ปล่อยให้ห้องมืดมิด เขาจากไป ทิ้งเธอไปทางเหนือ ไปตะวันออก มองดวงดาวหมุนกลับบนท้องฟ้า ณ ทิศใต้ ครั้นหวนกลับมาบ้าน ก็เห็นมันถูกทิ้งอยู่ภายใต้ทุ่งโล่ง “บุญรักษา บุญรักษา บุญรักษา” ชีพจรของบ้านเต้นด้วยความยินดี “สมบัติตกเป็นของคุณ”


The wind roars up the avenue. Trees stoop and bend this way and that. Moonbeams splash and spill wildly in the rain. But the beam of the lamp falls straight from the window. The candle burns stiff and still. Wandering through the house, opening the windows, whispering not to wake us, the ghostly couple seek their joy.

พายุคำรามเยาะหยัน บรรดาต้นไม้ม้วนลงตรงนั้นตรงนี้ แสงจันทร์เจิดจ้าเหมือนสาดกระเซ็นอยู่ในสายฝน แต่แสงตะเกียงยังคงส่องตรงลงมาจากหน้าต่าง เทียนดวงน้อยเผาไหม้ช้าๆ และมั่นคง ผีคู่ขวัญก้าวไปทั่วข้างในตัวบ้าน เปิดหน้าต่างบานนั้นบานนี้ กระซิบบอกกันจะไม่ทำให้พวกเราตื่น ขณะท้าวความหลังอย่างเพลิดเพลิน

“Here we slept,” she says. And he adds, “Kisses without number.” “Waking in the morning—” “Silver between the trees—” “Upstairs—” “In the garden—” “When summer came—” “In winter snowtime—” The doors go shutting far in the distance, gently knocking like the pulse of a heart.

“ที่นี่ไงที่เราเคยนอน” เธอว่า และเขาเสริมว่า “จูบกันครั้งแล้วครั้งเล่า…” “ตื่นนอนในเวลาเช้า…” “แสงเงินแสงทองในระหว่างต้นไม้…” “ข้างบนล่ะ….” “ในสวน…” “เมื่อฤดูร้อนมาถึง…” “หิมะตกในฤดูหนาว…..” เสียงประตูปิดดังแว่วๆ เสียงเคาะเบาๆ ดังเหมือนเสียงหัวใจเต้น


Nearer they come; cease at the doorway. The wind falls, the rain slides silver down the glass. Our eyes darken; we hear no steps beside us; we see no lady spread her ghostly cloak. His hands shield the lantern. “Look,” he breathes. “Sound asleep. Love upon their lips.”

พวกเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา หยุดชั่วครู่ที่ช่องประตู ลมพัดอ่อนลง เม็ดฝนเลื่อนหล่นกระทบผิวกระจก ดวงตาของเรามืดสนิท เราไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างๆ เราเลย เราไม่เห็นปิศาจสาวสะบัดกรีดกรายชายเสื้อ เขาป้องแสงตะเกียง “ดูซิ” ผีหนุ่มทำทีสูดลมหายใจ “เหมือนพวกเขาละเมอเพ้อรัก”


Stooping, holding their silver lamp above us, long they look and deeply. Long they pause. The wind drives straightly; the flame stoops slightly. Wild beams of moonlight cross both floor and wall, and, meeting, stain the faces bent; the faces pondering; the faces that search the sleepers and seek their hidden joy.

คู่ผีประคองตะเกียงเงินก้มลงมองสองเรา… สายตาของพวกเขาลึกซึ้ง ลมพัดผ่านมาและแสงตะเกียงก็ลดตัวอ่อนลง แสงจันทร์ ส่องผ่านพื้นและกำแพงห้องต้องใบหน้าที่ครุ่นคิด ใบหน้าของพวกผีที่ค้นหาความหฤหรรษ์ที่ซ่อนเร้นของผู้หลับใหล

“Safe, safe, safe,” the heart of the house beats proudly. “Long years—” he sighs. “Again you found me.” “Here,” she murmurs, “sleeping; in the garden reading; laughing, rolling apples in the loft. Here we left our treasure—” Stooping, their light lifts the lids upon my eyes. “Safe! safe! safe!” the pulse of the house beats wildly.

“บุญรักษา บุญรักษา บุญรักษา” หัวใจของบ้านเต้นอย่างภาคภูมิใจ “หลายปีที่ยาวนานผ่านไป…” เขาทอดถอนใจ “แล้วพวกคุณก็หาผมพบอีกครั้ง” “ที่นี่” เธอพึมพำ “ในนิทรา… อ่านหนังสืออยู่ในสวน… เสียงสรวล.. เล่นกลิ้งลูกแอปเปิ้ลที่ห้องใต้หลังคา… เราได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ที่นี่…” ก้มต่ำลงมา แสงตะเกียงของพวกเขาเปิดเปลือกตาของฉันขึ้น “บุญรักษา บุญรักษา บุญรักษา” จังหวะของหัวใจบ้านน้อยเต้นอย่างเบิกบาน


Waking, I cry “Oh, is this your buried treasure? The light in the heart.”
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่ำไห้
“โอ ความสุกสกาว ในหัวใจ… นี่คือสมบัติที่พวกคุณฝังไว้ใช่ไหม”