ไฟใต้น้ำ

>> สุภาว์ เทวกุล

ไฟใต้น้ำ

บทที่ 2

แสงสว่างจากกองไฟที่ส่องวอมแวมไปยังทางเดินแคบๆ อันตัดโค้งเลี้ยวออกมาจากพุ่มไม้นั้น ได้ส่องไปต้องร่างขาวๆ ร่างหนึ่ง  ซึ่งก้าวเข้าสู่สายตาของทุกคนอย่างฉับพลัน ราวกับเป็นการปรากฏกายของนางไม้หรือนางเทพธิดาอะไรเช่นนั้น  ร่างนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้กลุ่มเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ มิช้าเกินไปนัก  แต่ก็ช้าพอที่จะทำให้ทุกคนพากันสนใจ  และได้เห็นการย่างก้าวอย่างน่าดูของหล่อน   พอลผุดลุกขึ้นยืน  ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างเรียวระหงในอาภรณ์ชุดสีขาวนั้นอย่างไม่กระพริบ   ริมฝีปากของเขาเผยอน้อยๆ  กระซิบพูดโดยไม่รู้ตัวเหมือนคนกำลังฝันว่า

“ดูซิ   ดูหล่อนเดินซิ   ราวกับเลื่อนลอยมาบนดินยังงั้นแหละ”

เพื่อนของเขาได้ยินคำพูดนั้น และพยายามที่กลั้นหัวเราะไว้   เขามองไปที่ทางเดินอีกครั้งหนึ่ง  และได้เห็นเด็กหนุ่มสองคนผุดลุกขึ้นปราดเข้าไปต้อนรับผู้ที่มาใหม่ คนทั้งสามหยุดพูดอะไรกันนิดหนึ่ง  มีเสียงหัวเราะกังวานอย่างสดใสของผู้หญิง   แล้วหล่อนก็จูงมือกับเพื่อนชายทั้งสอง วิ่งเหยาะๆ เข้ามารวมกับคนอื่นที่นั่งล้อมรอบกองไฟอยู่นั้น  และถ้าหากว่าจะมีใครคนหนึ่งที่ใช้ความสังเกตสักหน่อยแล้ว ก็จะได้เห็นว่าในขณะนั้น ร่างอีกร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในทางเดินนั้นด้วยเช่นกัน แต่ภาพของสาวสวยที่กำลังจับจูงมือกับเพื่อนชายอีกสองคนวิ่งหยอยๆ ไปข้างหน้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่าเริงนั้น  ทำให้หล่อนหยุดชะงัก   มองดูพลางเม้มริมฝีปาก  แล้วก็เบนทิศทางไปยังกลุ่มผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับตัวบ้าน

ขณะนั้น  วงผู้ใหญ่กำลังครึกครื้นเต็มที่เหมือนกัน

“เอ๊ะ   นี่เราสนุกกันเพลินจนไม่มีใครคิดจะชักชวนให้ร่วมกันอวยพรเจ้าของวันเกิดเลยเทียวรึ”

คนหนึ่งพูดขึ้น  และสถาปนิกกาย ก็ไม่รีรอที่จะเติมของชอบลงในแก้วของเขา   เตรียมพร้อมที่จะดื่มอวยพรตามคำชักชวนนั้น

“เฮ่ย ไม่ต้องหรอกน่า  ที่มากันวันนี้พร้อมหน้ากันยังงี้ก็แสดงให้รู้อยู่แล้ว  ว่า ทุกคนตั้งใจจะมาให้พรวันเกิดผมทั้งนั้น”   เจ้าของบ้าน เจ้าของงาน และเจ้าของวันเกิด ว่าอย่างอารมณ์ดี  เขาเป็นสุภาพบุรุษไทยวัยกลางคนร่างใหญ่   “วันนี้ผมสนุกมาก  สนุกจริงๆ แล้วก็ดีใจที่พวกเราทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่”

“เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดื่ม   ดื่มให้กับความสนุกอีกครั้งหนึ่ง”   กายชูแก้วของเขาขึ้นสูงแล้วกระดกก้นแก้ว ส่งเจ้าน้ำสีเหลืองเข้าปากไป   แต่การดื่มของเขาในตอนนี้ออกจะไม่มีการระมัดระวังเสียแล้ว   มือที่สั่นของเขาทำให้น้ำในแก้ว หกกระฉอกออกมาตามริมฝีปาก   เขาวางแก้วลง  พึมพำขอโทษ  แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบผ้าเช็ดหน้า การทำเช่นนั้นทำให้ข้อศอกของเขาไปกระทุ้งเอาใครคนหนึ่งที่นั่งเยื้องไปทางเบื้องหลังเขา

“ขอโทษครับ ขอโทษ”   กายพึมพำซ้ำแล้วหันไปดู  แต่เมื่อมองเห็นคนคนนั้นได้ชัด   เขาก็ร้องออกมาอย่างแปลกใจว่า   “อ้าว  แนต  นี่แอบมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่  บ๊ะ  แล้วกัน”

“ทำไมไม่ไปรวมกลุ่มสนุกสนานกับเพื่อนๆ เขาล่ะหนู”   เจ้าของบ้านถาม   เด็กหญิงไม่ตอบว่าอะไร   สีหน้าของหล่อนเฉย   บิดาของหล่อนจึงตอบแทนว่า

“แนตอายุสิบห้า   แต่ความรู้สึกของแกยิ่งกว่าคนหัวโบราณอายุห้าสิบเสียอีก”

“มานั่งอยู่กับคนแก่ยังงี้จะสนุกอะไร”   เจ้าของบ้านพูดต่อไป  ขณะนั้น  พอดีกับเขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน  พร้อมถือกล่องกระดาษเช็ดมืออยู่ เขาจึงร้องเรียกว่า   “นิรันดร์”   และเมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้  ก็บอกว่า   “ชวนเพื่อนไปร่วมสนุกด้วยอีกคนซี  แกมานั่งเหงาอยู่ที่นี่คนเดียวแหละ”

นิรันดร์มองดูอนัตตา  ยิ้มกับหล่อน  บอกว่า   “ทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ล่ะ แนต   เธอเข้าวงผิดเสียแล้วละ   มา  ไปกับฉันเถอะ”

อนัตตาลังเลใจ  แล้วก็ลุกขึ้น  เดินไปกับเขา

“ลูกสาวสองคนนี่ผิดกันเหลือเกินนะ  กาย   หรือยังไง”   ใครคนหนึ่งถามขึ้น และกายก็ตอบทันทีว่า

“ถ้าแอนนี่เป็นกลางวัน   แนตก็เป็นกลางคืนนั่นแหละครับ”

“แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นเครื่องปรุงที่รวมอยู่ในสลัดจานเดียวกัน”   อีกคนสรุป  แล้วก็เรียกเสียงฮาได้สมความตั้งใจ

“เออ กาย  คุณรู้จักกับนายพลตรีสุรกาจอยู่ไม่ใช่รึ”   เจ้าของบ้านถาม

“นายพลตรีสุรกาจหรือครับ   ผมจำได้ว่าผมเคยรู้จักแต่นายพันโทสุรกาจ”

“นั่นแหละๆ   เดี๋ยวนี้เขาเป็นนายพลตรีสุรกาจแล้ว   แล้วก็ลาออกจากราชการแล้วด้วย   เมื่อวานซืนนี้ผมได้รับจดหมายจากเขา  เขายังถามถึงคุณ”

“เอ๊ะ คุณสุรกาจเขายังจำผมได้อยู่อีกรึ  ท่านข้าหลวง”   กายถามอย่างแปลกใจและภูมิใจระคนกัน   การที่เราจะถูกใครคนหนึ่งยังจำได้อยู่ ทั้งที่ไม่ได้พบกันนานตั้งสิบกว่าปีแล้วนั้น แสดงว่าเขาต้องเห็นเราเป็นคนสำคัญควรแก่การจดจำทีเดียว

“ก็ทำไมถึงจะจำไม่ได้ล่ะ   คุณสุรกาจเขาชื่นชมฝีมือการออกแบบก่อสร้างของคุณมากเทียวนะ   ตอนนี้เขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่อย่างหนึ่ง  และเขาอยากจะได้ความสามารถของคุณไปช่วย”

ใบหน้าของกายที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงก่ำยิ่งขึ้น  แม้เขาจะพึมพำว่า   “แต่เดี๋ยวนี้กับเมื่อสิบปีที่แล้วมา  น่ะ   มันต่างกันนะ  ท่านข้าหลวง”

“อ๋อ อาจต่างกันอยู่หน่อยตรงที่เดี๋ยวนี้ คุณได้สะสมเจ้าสิ่งที่จะเพิ่มความผาดโผนให้แก่ความคิดของคุณไว้มากน่ะซี  จริงไหมล่ะ”

กายหัวเราะ มิได้ตอบ แต่ทว่ายกแก้วขึ้นชูแล้วก็ลดมาจรดริมฝีปาก   ซึ่งกิริยาอย่างเดียวนี่แหละ   ที่กาย  ทาริต้า ได้ใช้แทนกิริยาบางอย่างในการสนทนาของเขา   รวมทั้งการแสดงออกซึ่งความรู้สึกต่างๆ  มานานหลายปีแล้ว

อนัตตา เดินตามหลังนิรันดร์ไปเงียบๆ ริมฝีปากของหล่อนเม้ม   และดวงตาตกจับอยู่ที่พื้น ซึ่งหล่อนเหยียบย่างลงไปตลอดทาง   เมื่อนิรันดร์เดินมาถึงที่ที่เขานั่งอยู่เก่า   ก็ยังได้เห็นพอลคงนั่งอยู่ ณ ที่นั้นตามเดิมและโดดเดี่ยว

“อ้าว  พอล   ทำไมถึงยังนั่งอยู่คนเดียวเล่า”   นิรันดร์ถามเพื่อนอย่างแปลกใจ พอลไม่ตอบ แต่ดวงตาขุ่นหมองของเขาจ้องขึงไปทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อนิรันดร์มองตามไป ก็ได้เห็นว่า ที่ข้างกองไฟในขณะนั้น ได้เพิ่มความครึกครื้น และภาพที่ค่อนข้างน่าดูขึ้นอีก   กล่าวคือได้มีใครคนหนึ่งยกตอไม้ตัดเข้าไปตั้งไว้ข้างกองไฟที่ลุกเรืองอยู่นั้น   และบนตอไม้นั้น   ก็คือร่างระหงในชุดสีขาวกำลังนั่งอยู่มองดูเด่นสง่าราวกับนางพญา   หล่อนนั่งไขว้ขาแกว่งเท้าข้างหนึ่งเล่นอย่างสำราญสำเริง  ดวงหน้าของหล่อนแช่มชื่น แสงไฟส่องต้องเรือนผมเป็นประกายระยับ  เปลวไฟที่เต้นพลิ้วอยู่นั้น ก่อให้เกิดเงาวอบแวบ บนร่างของหล่อน   และต่ำลงไป บนพื้นหญ้านั้นเล่า ก็มีร่างของหนุ่มๆ ไม่น้อยกว่าสามสี่คนนั่งล้อมรอบอยู่ ราวกับเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีนั่งพิทักษ์นางพญาเช่นนั้น

“อื้อฮือ”   นิรันดร์อุทานอยู่ในคอ   “หล่อนเหมือนนางพญา ที่กำลังออกบัลลังก์หน้ากองไฟบูชายัญเทียวนะ”   และแล้ว เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่า  ตรงนั้นมิได้มีเพียงเขากับเพื่อนแต่ลำพังเท่านั้น   หากยังมีเด็กสาวหน้าบึ้งตึงเฉยเมยยืนอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง   เขาก็หันมาหัวเราะกับหล่อน   บอกว่า

“ขอโทษนะ   ลืมไปว่าน้องสาวของนางพญาองค์นั้นยืนอยู่ที่นี่ด้วย  จะนั่งที่นี่หรือจะไปนั่งรวมกับพวกนั้นเขาละแนต   ถ้าชอบครึกครื้นละก็ต้องไปโน่น   ที่ตรงนี้เขาสงวนสิทธิเอาไว้สำหรับคนรักสันโดษโดยเฉพาะ”

เสียงพูดของเขาทำให้พอลหันมา   เมื่อเห็นเด็กสาวเขาก็ร้องทักว่า   “ฮัลโหล แนต”   เขามิได้ยิ้มกับหล่อน  แต่ก็ชวนอย่างเอื้ออารีว่า   “นั่งลงซี”

แต่อนัตตาก็ทรุดกายนั่งลงตรงนั้นโดยไม่พูดว่ากระไร

“ได้กินเนื้อย่างกับเขาหรือยังล่ะแนต”   นิรันดร์ถาม   เด็กหญิงสั่นหน้า  เขาจึงถามต่อไปว่า   “ถ้างั้นจะลองดูหน่อยไหม  ฉันจะไปเอามาให้”

และโดยไม่รอฟังคำตอบ  เขาก็เดินลิ่วๆ ตรงไปยังกลุ่มหนุ่มสาวที่กองไฟนั้น  คว้าได้จานใหญ่ใบหนึ่งกับโต๊ะยาวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ นั้น  หยิบขนมปังก้อนยัดไส้ วางลงไปสองก้อน  แล้วก็ยื่นจากเข้าไปกลางวงตรงหน้าคนที่ทำหน้าที่ปิ้งเนื้อคนหนึ่ง  บอกว่า

“ใครใจดีก็ช่วยวางลงบนนี้สักห้าหกไม้เถอะเจ้าข้า  เพื่อเห็นแก่สวรรค์”

“มีใครบนสวรรค์ที่กำลังกระหายหิวรอคอยเนื้อย่างนี้อยู่หรือจ๊ะนิรันดร์”  เด็กสาวผู้กำลังทำหน้าที่ปิ้งเนื้ออยู่คนหนึ่งด้วยนั้นถามอย่างล้อเลียน

“ขอรับ”   นิรันดร์ตอบ   “มีเด็กผู้หญิงหน้าบึ้งบูดคนหนึ่ง   กับผู้ชายที่อกหักอีกคนหนึ่งขอรับ”   แล้วเขาก็ชำเลืองตาไปยังชายกระโปรงผ้าลูกไม้สีขาวที่บานสล้างอยู่ไม่ห่างไปนัก   แลเห็นส่วนขาอันเรียวเสลาที่โผล่พ้นออกมาจากชายกระโปรงนั้นหยุดแกว่งไกว แล้วก็ได้ยินเสียงร้องทักว่า

“ฮัลโหล   นิรันดร์”

เขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มกับหล่อน   “ฮัลโหล  แอนนี่”  แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยอดเข้าไปตามวิสัยของชายหนุ่มผู้ยังอยู่ในวัยคะนอง   คะนองทั้งความคิดและคะนองทั้งวาจา   “แต่ทว่าเธอช่างเป็นเทพธิดาที่ใจร้ายเหลือเกินนะ   เพราะเธอกำลังทำให้ใครคนหนึ่งเศร้าเสียใจ เพราะเหตุที่เข้าไปไม่ถึงรัศมีของเธอ รู้ไหม”

“นอกจากจะว่าฉันใจร้ายแล้ว  คุณยังอยากจะว่า  ว่าฉันอ่อนมารยาทอีกด้วยใช่ไหม เพราะฉันยังไม่ได้เข้าไปรายงานตัวกับเจ้าของบ้านเลยว่าฉันมาแล้ว”   หล่อนย้อนถาม แต่สีหน้ายังคงระรื่นอยู่อย่างเดิม

นิรันดร์ตอบว่า

“ช่างเถอะข้อนั้นน่ะ   ฉันเห็นใจเธอและยกให้เธอเป็นคนพิเศษเสมอ   แต่ว่า…”  ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อไป   ก็รู้สึกว่าน้ำหนักจานที่ถืออยู่นั้นเพิ่มขึ้น   มีคนวางเนื้อย่างลงบนจานกำใหญ่ แล้วก็ได้ยินเสียงเด็กสาวที่ทำหน้าที่ปิ้งเนื้อบอกว่า

“อ้าว  รีบเอาไปให้คนที่น่าสงสารสองคนนั้นเถอะไป๊ นิรันดร์  เมื่อสวรรค์มีแต่ความว่างเปล่าสำหรับเขาแล้วก็ อย่าปล่อยให้กระเพาะของเขาพลอยว่างไปอีกอย่างหนึ่งด้วยเลย   เธอจะบาปนะ”

นิรันดร์หัวเราะ   ถอยออกมาจากคนหมู่นั้นแต่โดยดี   แต่ก็ไม่ลืมที่จะขยุ้มเอาผลไม้ติดมือมาด้วยอีกกำมือหนึ่งเต็มๆ

“เอ้า จัดการเสียซี แนต”   เขาวางจานนั้นลงบนตักของเด็กหญิงอย่างเป็นกันเอง  วางผลไม้ลงบนที่ว่างข้างกายหล่อน   แล้วจึงทรุดตัวลงนั่ง  อนัตตาหยิบเนื้อขึ้นมาไม้หนึ่งมองดูมันอย่างลังเลแล้วก็ส่งให้พอล  แต่เขาส่ายหน้า

“ไม่ละ  แนต  ขอบใจ”

แต่มือนั้นยังไม่หดกลับไป  พอลมองสบตาสีเข้มที่กำลังจ้องมองดูเขาอยู่นั้นครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมา   รับเอาเนื้อไม้นั้นไป  บอกว่า  “ขอบใจ”

แต่นิรันดร์มิได้คอยจนเด็กหญิงหยิบส่งให้   เขาเอื้อมมือมาหยิบมันไปเอง   ยกขึ้นกัดกินอย่างอร่อย เคี้ยวตุ้ยๆ พลางปากก็พูดว่า

“เออ  ต่อไปข้างหน้าเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  เราอาจจะไม่มีโอกาสได้สนุกสนานกันอย่างไม่ต้องกังวลถึงอะไรเหมือนอย่างตอนนี้อีกก็ได้นะ”

“และ  พวกเราบางคนที่อยู่ด้วยกันที่นี่  อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกตลอดชาติก็ได้”   อนัตตาว่า   สีหน้าที่เฉยเมยของหล่อนทำให้คำพูดนั้นดูเคร่งเครียดเป็นจริงเป็นจัง   นิรันดร์มองดูหล่อนพร้อมกับหัวเราะ   เย้าว่า

“แนต  ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะตายไปตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด   เพราะเธอหลงคิดไปว่าเธออายุแปดสิบแล้วก็ได้”

มีเสียงหัวเราะดังต่อจากคำพูดของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ   แต่ทว่าเสียงนั้นมิได้เกิดจากคนใดคนหนึ่งในจำนวนสามคนนี้   หากแต่ว่ามันลอยข้ามมาจากทางกองไฟด้านโน้น   ทั้งสามคนมองไปตามเสียง   ก็ได้เห็นอายานีกำลังแหงนหน้าหัวเราะอย่างสนุกสนานเสียเหลือเกิน  คงจะเป็นใครคนหนึ่งในจำนวนหนุ่มๆ ทั้งหลายที่นั่งล้อมอยู่แทบเท้าของหล่อนนั้น ได้พูดขบขันถูกใจหล่อนขึ้นเป็นแน่   สายตาของพอลกร้าวและโรจน์ขึ้นด้วยความหึงหวงริษยา   ตรงกันข้ามกับสหายของเขา   ซึ่งยังคงมีสายตาที่เต็มไปด้วยความแจ่มใสขบขันเช่นเคย   นิรันดร์มองดูเพื่อน   แล้วก็หันมามองดูอนัตตา   ก็ได้เห็นเด็กหญิงวัยรุ่นผู้นั้นกำลังจ้องมองดูเพื่อนของเขาอยู่เช่นเดียวกัน   แต่มีอะไรบางอย่างในสายตาของเด็กหญิง ที่สะดุดใจเขายิ่งนัก   แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพิจารณาให้รู้ชัดแก่ใจว่ามันคืออะไรแน่   อนัตตาก็เมินไปทางอื่นเสีย  ริมฝีปากบางของหล่อนยังคงเม้มแน่นสนิทอยู่

“เธอคิดไว้บ้างหรือเปล่าแนต  ว่าชีวิตต่อไปของเธอควรจะเป็นยังไง”   นิรันดร์ชวนคุย  เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองดูเขา   สั่นหน้าก่อนจะตอบว่า

“ไม่รู้”   มีรอยคล้ายจะยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของหล่อนก่อนที่จะพูดต่อไปว่า   “บางทีฉันอาจจะตายไปตั้งแต่อายุ สิบแปดอย่างที่คุณว่าก็ได้นะ  นิรันดร์”

“เฮ่ย!  ฉันพูดเล่นหรอก”   นิรันดร์ว่า   “ใครจะรู้ว่าบางทีต่อไปข้างหน้า เธออาจจะได้เป็นสตรีที่มีชื่อเสียงของเมืองไทยคนหนึ่งก็ได้”   แล้วก็หันไปขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อนว่า   “จริงไหม พอล”

“ หือ   ว่าไงนะ”   พอลมีอาการเหมือนคนใจลอย   แต่ใครๆ ก็รู้ว่าหัวใจของเขากำลังเดือดพล่านเพียงใด   “แกพูดว่าอะไร  นิรันดร์”

“ฉันบอกว่า  สักวันหนึ่งต่อไปข้างหน้า   แนตของเราอาจจะกลายเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทยก็ได้”

“อือ”   พอลพึมพำอย่างขอไปที   อากัปกิริยาเช่นนั้นของเขาดูเหมือนจะทำให้ความรู้สึกของเด็กหญิงรุนแรงขึ้น   หล่อนโพล่งออกมาว่า

“เป็นไปไม่ได้หรอก   คนอย่างแนต   ไม่มีหวังที่จะได้เป็นคนมีชื่อเสียงกับเขาไปได้หรอก   ไม่มีใครสักคนที่จะคิดยังงั้น   ทุกคนเขาพากันนึกถึงแต่แอนนี่เท่านั้นเอง   แม้แต่พ่อกับแม่ของแนตเองก็ยังพูดกันแต่ว่า  ต่อไปนี้แอนนี่ต้องได้เป็นใหญ่เป็นโต   ไม่มีใครยอมเสียเวลาพูดถึงแนตเลยสักคำเดียว”

“อ้อ ยังงั้นหรือ”   นิรันดร์พูดอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น  เขาเริ่มจะเข้าใจถึงสาเหตุแห่งความมึนชาไม่ได้ยินดียินร้ายของเด็กหญิงผู้นี้ได้รางๆ แล้ว   อนัตตาพูดต่อไปว่า

“แอนนี่เขาเป็นคนสวย  เห็นไหมคะ   ใครๆ ก็สนใจแต่เขาเท่านั้น  ฉันไม่ตำหนิพ่อกับแม่หรอก  นิรันดร์ ที่พากันนึกถึงแต่แอนนี่คนเดียว  จนลืมนึกไปว่ายังมีฉันอีกคนหนึ่งที่เป็นลูก   ฉันผิดเองที่เกิดมาไม่สวยอย่างพี่สาวของฉัน”

นิรันดร์ชำเลืองมองดูพอล ก็ได้เห็นว่าเพื่อนของเขาก็กำลังมองดูเขาอยู่ด้วยเช่นกัน   แล้วพอลจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า

“ไม่จริงหรอก   แนต   ที่ใครๆ เขาสนใจแอนนี่มากกว่าเธอก็เพราะเขาเห็นว่าแอนนี่โตกว่าเธอเท่านั่นเอง”

“แอนนี่แก่กว่าฉันปีเดียวเท่านั้น”   อนัตตาค้าน

“แต่เขาก็ยังโตกว่าเธออยู่ดี”   พอลว่า   “แต่เป็นคนโตๆ น่ะไม่ดีหรอกรู้ไหม มันมีเรื่องยุ่งยากมาก  ไม่สนุกเลย”

“เหมือนอย่างที่คุณและแอนนี่กำลังมีอยู่ในเวลานี้ใช่ไหมล่ะ”   อนัตตาถามสวนออกมาทันที

พอลนิ่งอึ้งไป   เด็กหญิงจึงกล่าวต่อไปอีก   แม้ว่าหล่อนจะพยายามระงับความน้อยเนื้อต่ำใจและ ความเคียดแค้นไว้จนสุดความสามารถแล้วก็ตาม   แต่ความอ่อนวัยก็ไม่ช่วยให้หล่อนทำได้สำเร็จนัก

“คุณก็เหมือนกับคนอื่นๆ   นั่นแหละ  พอล   คุณรักแอนนี่   หลงแอนนี่เพราะความสวยของเขา   ดูนั่นซิ   เห็นไหม   แอนนี่ชอบให้ใครๆ รุมล้อมแสดงความชื่นชมในตัวเขา   ชอบให้มีคนนั่งอยู่แทบเท้า   แล้วก็เขาจะทำยังไงต่อไปน่ะหรือ  ฉันจะบอกให้ก็ได้   แอนนี่จะเขี่ยคนเหล่านั้นกระเด็นไปเสียทันทีที่เขามีที่หมายดีกว่านั้น   และคุณก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นด้วยเหมือนกัน”

พอลผุดลุกขึ้นยืน หน้าของเขาซีดเผือด ขณะนั้นมีเสียงหัวเราะของอายานีดังแว่วข้ามกองไฟมาอีก พอลหันกลับเดินดุ่มๆ ออกไปจากที่นั่นทันทีอย่างหมดความอดทน

“เฮ้ พอล”  นิรันดร์ร้องตามหลังไป แต่เสียงของเขาไม่ดังและมีอำนาจพอที่จะหยุดยั้งสหายเอาไว้ได้   เขาจึงได้แต่มองตามไปจนร่างของเพื่อนลับหายเข้าไปในความมืด แล้วจึงหันกลับมามองดูเด็กหญิง   อนัตตาเองก็มีใบหน้าเผือดสีไม่น้อยเช่นกัน  หล่อนมองตะลึงไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มเดินหายไปนั้น   แล้วจึงหันกลับมามองนิรันดร์   ริมฝีปากของหล่อนขมุบขมิบคล้ายจะกล่าวอะไรออกมา   แต่แล้วหล่อนก็เม้มมันเข้าหากันแน่น ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า

“ฉันไม่เสียใจหรอก  นิรันดร์  ที่ฉันพูดออกไปอย่างเมื่อกี้นี้ เพราะว่ามันเป็นความจริง  ไม่เชื่อก็คอยดูไปก็แล้วกัน”

นิรันดร์มิได้คิดที่จะตอบโต้หล่อน   เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบหล่อนว่ากระไร  ขณะนั้นก็มีเสียงหัวเราะของอายานีดังมาอีก   เมื่อนิรันดร์มองไปนั้น   เห็นหล่อนกำลังลุกขึ้นยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนท่อนไม้ที่หล่อนใช้เป็นที่นั่งอยู่เมื่อกี้นี้   แพรที่คาดเอวของหล่อนเป็นเงามันระยับราวกับแถบมรกต   หล่อนยกแขนทั้งสองยื่นออกมาทางข้างหน้า   ประกาศว่า

“อย่ามานั่งเฉยๆ  ให้เป็นเหน็บอยู่ยังงี้เลยน่า  มาเล่นซ่อนหากันดีกว่า  ถ้าใครหาฉันเจอละก็ ฉันจะให้รางวัล”

หล่อนกวาดตาไปตามใบหน้าของหนุ่มๆ ที่กำลังเงยขึ้นมองดูนั้นอย่างหวานฉ่ำและท้าทาย แล้วก็กระโจนแผล็วลงจากท่อนไม้นั้น   วิ่งผมกระจายกระโปรงบานพลิ้วหายลับไปในพุ่มไม้ที่สลับซับซ้อนทางเบื้องหลัง   นิรันดร์หันกลับมาทางน้องสาวของหล่อน  ส่ายหน้าไปมา  บอกว่า

“อารมณ์ของตัวเธอและของพี่สาวเธอนี่ช่างรุนแรงปานๆ กันเทียวนะ  แนต   มันร้อนแรงราวกับไฟ   แต่ทว่ามันต่างกันตรงที่เป็นไฟคนละชนิดกันเท่านั้นเอง”

จบบทที่ 2