แสงสว่างจากกองไฟที่ส่องวอมแวมไปยังทางเดินแคบๆ อันตัดโค้งเลี้ยวออกมาจากพุ่มไม้นั้น ได้ส่องไปต้องร่างขาวๆ ร่างหนึ่ง ซึ่งก้าวเข้าสู่สายตาของทุกคนอย่างฉับพลัน ราวกับเป็นการปรากฏกายของนางไม้หรือนางเทพธิดาอะไรเช่นนั้น ร่างนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้กลุ่มเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ มิช้าเกินไปนัก แต่ก็ช้าพอที่จะทำให้ทุกคนพากันสนใจ และได้เห็นการย่างก้าวอย่างน่าดูของหล่อน พอลผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างเรียวระหงในอาภรณ์ชุดสีขาวนั้นอย่างไม่กระพริบ ริมฝีปากของเขาเผยอน้อยๆ กระซิบพูดโดยไม่รู้ตัวเหมือนคนกำลังฝันว่า
“ดูซิ ดูหล่อนเดินซิ ราวกับเลื่อนลอยมาบนดินยังงั้นแหละ”
เพื่อนของเขาได้ยินคำพูดนั้น และพยายามที่กลั้นหัวเราะไว้ เขามองไปที่ทางเดินอีกครั้งหนึ่ง และได้เห็นเด็กหนุ่มสองคนผุดลุกขึ้นปราดเข้าไปต้อนรับผู้ที่มาใหม่ คนทั้งสามหยุดพูดอะไรกันนิดหนึ่ง มีเสียงหัวเราะกังวานอย่างสดใสของผู้หญิง แล้วหล่อนก็จูงมือกับเพื่อนชายทั้งสอง วิ่งเหยาะๆ เข้ามารวมกับคนอื่นที่นั่งล้อมรอบกองไฟอยู่นั้น และถ้าหากว่าจะมีใครคนหนึ่งที่ใช้ความสังเกตสักหน่อยแล้ว ก็จะได้เห็นว่าในขณะนั้น ร่างอีกร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในทางเดินนั้นด้วยเช่นกัน แต่ภาพของสาวสวยที่กำลังจับจูงมือกับเพื่อนชายอีกสองคนวิ่งหยอยๆ ไปข้างหน้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่าเริงนั้น ทำให้หล่อนหยุดชะงัก มองดูพลางเม้มริมฝีปาก แล้วก็เบนทิศทางไปยังกลุ่มผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับตัวบ้าน
ขณะนั้น วงผู้ใหญ่กำลังครึกครื้นเต็มที่เหมือนกัน
“เอ๊ะ นี่เราสนุกกันเพลินจนไม่มีใครคิดจะชักชวนให้ร่วมกันอวยพรเจ้าของวันเกิดเลยเทียวรึ”
คนหนึ่งพูดขึ้น และสถาปนิกกาย ก็ไม่รีรอที่จะเติมของชอบลงในแก้วของเขา เตรียมพร้อมที่จะดื่มอวยพรตามคำชักชวนนั้น
“เฮ่ย ไม่ต้องหรอกน่า ที่มากันวันนี้พร้อมหน้ากันยังงี้ก็แสดงให้รู้อยู่แล้ว ว่า ทุกคนตั้งใจจะมาให้พรวันเกิดผมทั้งนั้น” เจ้าของบ้าน เจ้าของงาน และเจ้าของวันเกิด ว่าอย่างอารมณ์ดี เขาเป็นสุภาพบุรุษไทยวัยกลางคนร่างใหญ่ “วันนี้ผมสนุกมาก สนุกจริงๆ แล้วก็ดีใจที่พวกเราทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่”
“เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดื่ม ดื่มให้กับความสนุกอีกครั้งหนึ่ง” กายชูแก้วของเขาขึ้นสูงแล้วกระดกก้นแก้ว ส่งเจ้าน้ำสีเหลืองเข้าปากไป แต่การดื่มของเขาในตอนนี้ออกจะไม่มีการระมัดระวังเสียแล้ว มือที่สั่นของเขาทำให้น้ำในแก้ว หกกระฉอกออกมาตามริมฝีปาก เขาวางแก้วลง พึมพำขอโทษ แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบผ้าเช็ดหน้า การทำเช่นนั้นทำให้ข้อศอกของเขาไปกระทุ้งเอาใครคนหนึ่งที่นั่งเยื้องไปทางเบื้องหลังเขา
“ขอโทษครับ ขอโทษ” กายพึมพำซ้ำแล้วหันไปดู แต่เมื่อมองเห็นคนคนนั้นได้ชัด เขาก็ร้องออกมาอย่างแปลกใจว่า “อ้าว แนต นี่แอบมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ บ๊ะ แล้วกัน”
“ทำไมไม่ไปรวมกลุ่มสนุกสนานกับเพื่อนๆ เขาล่ะหนู” เจ้าของบ้านถาม เด็กหญิงไม่ตอบว่าอะไร สีหน้าของหล่อนเฉย บิดาของหล่อนจึงตอบแทนว่า
“แนตอายุสิบห้า แต่ความรู้สึกของแกยิ่งกว่าคนหัวโบราณอายุห้าสิบเสียอีก”
“มานั่งอยู่กับคนแก่ยังงี้จะสนุกอะไร” เจ้าของบ้านพูดต่อไป ขณะนั้น พอดีกับเขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน พร้อมถือกล่องกระดาษเช็ดมืออยู่ เขาจึงร้องเรียกว่า “นิรันดร์” และเมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ก็บอกว่า “ชวนเพื่อนไปร่วมสนุกด้วยอีกคนซี แกมานั่งเหงาอยู่ที่นี่คนเดียวแหละ”
นิรันดร์มองดูอนัตตา ยิ้มกับหล่อน บอกว่า “ทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ล่ะ แนต เธอเข้าวงผิดเสียแล้วละ มา ไปกับฉันเถอะ”
อนัตตาลังเลใจ แล้วก็ลุกขึ้น เดินไปกับเขา
“ลูกสาวสองคนนี่ผิดกันเหลือเกินนะ กาย หรือยังไง” ใครคนหนึ่งถามขึ้น และกายก็ตอบทันทีว่า
“ถ้าแอนนี่เป็นกลางวัน แนตก็เป็นกลางคืนนั่นแหละครับ”
“แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นเครื่องปรุงที่รวมอยู่ในสลัดจานเดียวกัน” อีกคนสรุป แล้วก็เรียกเสียงฮาได้สมความตั้งใจ
“เออ กาย คุณรู้จักกับนายพลตรีสุรกาจอยู่ไม่ใช่รึ” เจ้าของบ้านถาม
“นายพลตรีสุรกาจหรือครับ ผมจำได้ว่าผมเคยรู้จักแต่นายพันโทสุรกาจ”
“นั่นแหละๆ เดี๋ยวนี้เขาเป็นนายพลตรีสุรกาจแล้ว แล้วก็ลาออกจากราชการแล้วด้วย เมื่อวานซืนนี้ผมได้รับจดหมายจากเขา เขายังถามถึงคุณ”
“เอ๊ะ คุณสุรกาจเขายังจำผมได้อยู่อีกรึ ท่านข้าหลวง” กายถามอย่างแปลกใจและภูมิใจระคนกัน การที่เราจะถูกใครคนหนึ่งยังจำได้อยู่ ทั้งที่ไม่ได้พบกันนานตั้งสิบกว่าปีแล้วนั้น แสดงว่าเขาต้องเห็นเราเป็นคนสำคัญควรแก่การจดจำทีเดียว
“ก็ทำไมถึงจะจำไม่ได้ล่ะ คุณสุรกาจเขาชื่นชมฝีมือการออกแบบก่อสร้างของคุณมากเทียวนะ ตอนนี้เขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่อย่างหนึ่ง และเขาอยากจะได้ความสามารถของคุณไปช่วย”
ใบหน้าของกายที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงก่ำยิ่งขึ้น แม้เขาจะพึมพำว่า “แต่เดี๋ยวนี้กับเมื่อสิบปีที่แล้วมา น่ะ มันต่างกันนะ ท่านข้าหลวง”
“อ๋อ อาจต่างกันอยู่หน่อยตรงที่เดี๋ยวนี้ คุณได้สะสมเจ้าสิ่งที่จะเพิ่มความผาดโผนให้แก่ความคิดของคุณไว้มากน่ะซี จริงไหมล่ะ”
กายหัวเราะ มิได้ตอบ แต่ทว่ายกแก้วขึ้นชูแล้วก็ลดมาจรดริมฝีปาก ซึ่งกิริยาอย่างเดียวนี่แหละ ที่กาย ทาริต้า ได้ใช้แทนกิริยาบางอย่างในการสนทนาของเขา รวมทั้งการแสดงออกซึ่งความรู้สึกต่างๆ มานานหลายปีแล้ว
อนัตตา เดินตามหลังนิรันดร์ไปเงียบๆ ริมฝีปากของหล่อนเม้ม และดวงตาตกจับอยู่ที่พื้น ซึ่งหล่อนเหยียบย่างลงไปตลอดทาง เมื่อนิรันดร์เดินมาถึงที่ที่เขานั่งอยู่เก่า ก็ยังได้เห็นพอลคงนั่งอยู่ ณ ที่นั้นตามเดิมและโดดเดี่ยว
“อ้าว พอล ทำไมถึงยังนั่งอยู่คนเดียวเล่า” นิรันดร์ถามเพื่อนอย่างแปลกใจ พอลไม่ตอบ แต่ดวงตาขุ่นหมองของเขาจ้องขึงไปทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อนิรันดร์มองตามไป ก็ได้เห็นว่า ที่ข้างกองไฟในขณะนั้น ได้เพิ่มความครึกครื้น และภาพที่ค่อนข้างน่าดูขึ้นอีก กล่าวคือได้มีใครคนหนึ่งยกตอไม้ตัดเข้าไปตั้งไว้ข้างกองไฟที่ลุกเรืองอยู่นั้น และบนตอไม้นั้น ก็คือร่างระหงในชุดสีขาวกำลังนั่งอยู่มองดูเด่นสง่าราวกับนางพญา หล่อนนั่งไขว้ขาแกว่งเท้าข้างหนึ่งเล่นอย่างสำราญสำเริง ดวงหน้าของหล่อนแช่มชื่น แสงไฟส่องต้องเรือนผมเป็นประกายระยับ เปลวไฟที่เต้นพลิ้วอยู่นั้น ก่อให้เกิดเงาวอบแวบ บนร่างของหล่อน และต่ำลงไป บนพื้นหญ้านั้นเล่า ก็มีร่างของหนุ่มๆ ไม่น้อยกว่าสามสี่คนนั่งล้อมรอบอยู่ ราวกับเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีนั่งพิทักษ์นางพญาเช่นนั้น
“อื้อฮือ” นิรันดร์อุทานอยู่ในคอ “หล่อนเหมือนนางพญา ที่กำลังออกบัลลังก์หน้ากองไฟบูชายัญเทียวนะ” และแล้ว เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่า ตรงนั้นมิได้มีเพียงเขากับเพื่อนแต่ลำพังเท่านั้น หากยังมีเด็กสาวหน้าบึ้งตึงเฉยเมยยืนอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง เขาก็หันมาหัวเราะกับหล่อน บอกว่า
“ขอโทษนะ ลืมไปว่าน้องสาวของนางพญาองค์นั้นยืนอยู่ที่นี่ด้วย จะนั่งที่นี่หรือจะไปนั่งรวมกับพวกนั้นเขาละแนต ถ้าชอบครึกครื้นละก็ต้องไปโน่น ที่ตรงนี้เขาสงวนสิทธิเอาไว้สำหรับคนรักสันโดษโดยเฉพาะ”
เสียงพูดของเขาทำให้พอลหันมา เมื่อเห็นเด็กสาวเขาก็ร้องทักว่า “ฮัลโหล แนต” เขามิได้ยิ้มกับหล่อน แต่ก็ชวนอย่างเอื้ออารีว่า “นั่งลงซี”
แต่อนัตตาก็ทรุดกายนั่งลงตรงนั้นโดยไม่พูดว่ากระไร
“ได้กินเนื้อย่างกับเขาหรือยังล่ะแนต” นิรันดร์ถาม เด็กหญิงสั่นหน้า เขาจึงถามต่อไปว่า “ถ้างั้นจะลองดูหน่อยไหม ฉันจะไปเอามาให้”
และโดยไม่รอฟังคำตอบ เขาก็เดินลิ่วๆ ตรงไปยังกลุ่มหนุ่มสาวที่กองไฟนั้น คว้าได้จานใหญ่ใบหนึ่งกับโต๊ะยาวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ นั้น หยิบขนมปังก้อนยัดไส้ วางลงไปสองก้อน แล้วก็ยื่นจากเข้าไปกลางวงตรงหน้าคนที่ทำหน้าที่ปิ้งเนื้อคนหนึ่ง บอกว่า
“ใครใจดีก็ช่วยวางลงบนนี้สักห้าหกไม้เถอะเจ้าข้า เพื่อเห็นแก่สวรรค์”
“มีใครบนสวรรค์ที่กำลังกระหายหิวรอคอยเนื้อย่างนี้อยู่หรือจ๊ะนิรันดร์” เด็กสาวผู้กำลังทำหน้าที่ปิ้งเนื้ออยู่คนหนึ่งด้วยนั้นถามอย่างล้อเลียน
“ขอรับ” นิรันดร์ตอบ “มีเด็กผู้หญิงหน้าบึ้งบูดคนหนึ่ง กับผู้ชายที่อกหักอีกคนหนึ่งขอรับ” แล้วเขาก็ชำเลืองตาไปยังชายกระโปรงผ้าลูกไม้สีขาวที่บานสล้างอยู่ไม่ห่างไปนัก แลเห็นส่วนขาอันเรียวเสลาที่โผล่พ้นออกมาจากชายกระโปรงนั้นหยุดแกว่งไกว แล้วก็ได้ยินเสียงร้องทักว่า
“ฮัลโหล นิรันดร์”
เขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มกับหล่อน “ฮัลโหล แอนนี่” แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยอดเข้าไปตามวิสัยของชายหนุ่มผู้ยังอยู่ในวัยคะนอง คะนองทั้งความคิดและคะนองทั้งวาจา “แต่ทว่าเธอช่างเป็นเทพธิดาที่ใจร้ายเหลือเกินนะ เพราะเธอกำลังทำให้ใครคนหนึ่งเศร้าเสียใจ เพราะเหตุที่เข้าไปไม่ถึงรัศมีของเธอ รู้ไหม”
“นอกจากจะว่าฉันใจร้ายแล้ว คุณยังอยากจะว่า ว่าฉันอ่อนมารยาทอีกด้วยใช่ไหม เพราะฉันยังไม่ได้เข้าไปรายงานตัวกับเจ้าของบ้านเลยว่าฉันมาแล้ว” หล่อนย้อนถาม แต่สีหน้ายังคงระรื่นอยู่อย่างเดิม
นิรันดร์ตอบว่า
“ช่างเถอะข้อนั้นน่ะ ฉันเห็นใจเธอและยกให้เธอเป็นคนพิเศษเสมอ แต่ว่า…” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อไป ก็รู้สึกว่าน้ำหนักจานที่ถืออยู่นั้นเพิ่มขึ้น มีคนวางเนื้อย่างลงบนจานกำใหญ่ แล้วก็ได้ยินเสียงเด็กสาวที่ทำหน้าที่ปิ้งเนื้อบอกว่า
“อ้าว รีบเอาไปให้คนที่น่าสงสารสองคนนั้นเถอะไป๊ นิรันดร์ เมื่อสวรรค์มีแต่ความว่างเปล่าสำหรับเขาแล้วก็ อย่าปล่อยให้กระเพาะของเขาพลอยว่างไปอีกอย่างหนึ่งด้วยเลย เธอจะบาปนะ”
นิรันดร์หัวเราะ ถอยออกมาจากคนหมู่นั้นแต่โดยดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะขยุ้มเอาผลไม้ติดมือมาด้วยอีกกำมือหนึ่งเต็มๆ
“เอ้า จัดการเสียซี แนต” เขาวางจานนั้นลงบนตักของเด็กหญิงอย่างเป็นกันเอง วางผลไม้ลงบนที่ว่างข้างกายหล่อน แล้วจึงทรุดตัวลงนั่ง อนัตตาหยิบเนื้อขึ้นมาไม้หนึ่งมองดูมันอย่างลังเลแล้วก็ส่งให้พอล แต่เขาส่ายหน้า
“ไม่ละ แนต ขอบใจ”
แต่มือนั้นยังไม่หดกลับไป พอลมองสบตาสีเข้มที่กำลังจ้องมองดูเขาอยู่นั้นครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมา รับเอาเนื้อไม้นั้นไป บอกว่า “ขอบใจ”
แต่นิรันดร์มิได้คอยจนเด็กหญิงหยิบส่งให้ เขาเอื้อมมือมาหยิบมันไปเอง ยกขึ้นกัดกินอย่างอร่อย เคี้ยวตุ้ยๆ พลางปากก็พูดว่า
“เออ ต่อไปข้างหน้าเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เราอาจจะไม่มีโอกาสได้สนุกสนานกันอย่างไม่ต้องกังวลถึงอะไรเหมือนอย่างตอนนี้อีกก็ได้นะ”
“และ พวกเราบางคนที่อยู่ด้วยกันที่นี่ อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกตลอดชาติก็ได้” อนัตตาว่า สีหน้าที่เฉยเมยของหล่อนทำให้คำพูดนั้นดูเคร่งเครียดเป็นจริงเป็นจัง นิรันดร์มองดูหล่อนพร้อมกับหัวเราะ เย้าว่า
“แนต ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะตายไปตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด เพราะเธอหลงคิดไปว่าเธออายุแปดสิบแล้วก็ได้”
มีเสียงหัวเราะดังต่อจากคำพูดของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ แต่ทว่าเสียงนั้นมิได้เกิดจากคนใดคนหนึ่งในจำนวนสามคนนี้ หากแต่ว่ามันลอยข้ามมาจากทางกองไฟด้านโน้น ทั้งสามคนมองไปตามเสียง ก็ได้เห็นอายานีกำลังแหงนหน้าหัวเราะอย่างสนุกสนานเสียเหลือเกิน คงจะเป็นใครคนหนึ่งในจำนวนหนุ่มๆ ทั้งหลายที่นั่งล้อมอยู่แทบเท้าของหล่อนนั้น ได้พูดขบขันถูกใจหล่อนขึ้นเป็นแน่ สายตาของพอลกร้าวและโรจน์ขึ้นด้วยความหึงหวงริษยา ตรงกันข้ามกับสหายของเขา ซึ่งยังคงมีสายตาที่เต็มไปด้วยความแจ่มใสขบขันเช่นเคย นิรันดร์มองดูเพื่อน แล้วก็หันมามองดูอนัตตา ก็ได้เห็นเด็กหญิงวัยรุ่นผู้นั้นกำลังจ้องมองดูเพื่อนของเขาอยู่เช่นเดียวกัน แต่มีอะไรบางอย่างในสายตาของเด็กหญิง ที่สะดุดใจเขายิ่งนัก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพิจารณาให้รู้ชัดแก่ใจว่ามันคืออะไรแน่ อนัตตาก็เมินไปทางอื่นเสีย ริมฝีปากบางของหล่อนยังคงเม้มแน่นสนิทอยู่
“เธอคิดไว้บ้างหรือเปล่าแนต ว่าชีวิตต่อไปของเธอควรจะเป็นยังไง” นิรันดร์ชวนคุย เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองดูเขา สั่นหน้าก่อนจะตอบว่า
“ไม่รู้” มีรอยคล้ายจะยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของหล่อนก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “บางทีฉันอาจจะตายไปตั้งแต่อายุ สิบแปดอย่างที่คุณว่าก็ได้นะ นิรันดร์”
“เฮ่ย! ฉันพูดเล่นหรอก” นิรันดร์ว่า “ใครจะรู้ว่าบางทีต่อไปข้างหน้า เธออาจจะได้เป็นสตรีที่มีชื่อเสียงของเมืองไทยคนหนึ่งก็ได้” แล้วก็หันไปขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อนว่า “จริงไหม พอล”
“ หือ ว่าไงนะ” พอลมีอาการเหมือนคนใจลอย แต่ใครๆ ก็รู้ว่าหัวใจของเขากำลังเดือดพล่านเพียงใด “แกพูดว่าอะไร นิรันดร์”
“ฉันบอกว่า สักวันหนึ่งต่อไปข้างหน้า แนตของเราอาจจะกลายเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทยก็ได้”
“อือ” พอลพึมพำอย่างขอไปที อากัปกิริยาเช่นนั้นของเขาดูเหมือนจะทำให้ความรู้สึกของเด็กหญิงรุนแรงขึ้น หล่อนโพล่งออกมาว่า
“เป็นไปไม่ได้หรอก คนอย่างแนต ไม่มีหวังที่จะได้เป็นคนมีชื่อเสียงกับเขาไปได้หรอก ไม่มีใครสักคนที่จะคิดยังงั้น ทุกคนเขาพากันนึกถึงแต่แอนนี่เท่านั้นเอง แม้แต่พ่อกับแม่ของแนตเองก็ยังพูดกันแต่ว่า ต่อไปนี้แอนนี่ต้องได้เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครยอมเสียเวลาพูดถึงแนตเลยสักคำเดียว”
“อ้อ ยังงั้นหรือ” นิรันดร์พูดอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น เขาเริ่มจะเข้าใจถึงสาเหตุแห่งความมึนชาไม่ได้ยินดียินร้ายของเด็กหญิงผู้นี้ได้รางๆ แล้ว อนัตตาพูดต่อไปว่า
“แอนนี่เขาเป็นคนสวย เห็นไหมคะ ใครๆ ก็สนใจแต่เขาเท่านั้น ฉันไม่ตำหนิพ่อกับแม่หรอก นิรันดร์ ที่พากันนึกถึงแต่แอนนี่คนเดียว จนลืมนึกไปว่ายังมีฉันอีกคนหนึ่งที่เป็นลูก ฉันผิดเองที่เกิดมาไม่สวยอย่างพี่สาวของฉัน”
นิรันดร์ชำเลืองมองดูพอล ก็ได้เห็นว่าเพื่อนของเขาก็กำลังมองดูเขาอยู่ด้วยเช่นกัน แล้วพอลจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“ไม่จริงหรอก แนต ที่ใครๆ เขาสนใจแอนนี่มากกว่าเธอก็เพราะเขาเห็นว่าแอนนี่โตกว่าเธอเท่านั่นเอง”
“แอนนี่แก่กว่าฉันปีเดียวเท่านั้น” อนัตตาค้าน
“แต่เขาก็ยังโตกว่าเธออยู่ดี” พอลว่า “แต่เป็นคนโตๆ น่ะไม่ดีหรอกรู้ไหม มันมีเรื่องยุ่งยากมาก ไม่สนุกเลย”
“เหมือนอย่างที่คุณและแอนนี่กำลังมีอยู่ในเวลานี้ใช่ไหมล่ะ” อนัตตาถามสวนออกมาทันที
พอลนิ่งอึ้งไป เด็กหญิงจึงกล่าวต่อไปอีก แม้ว่าหล่อนจะพยายามระงับความน้อยเนื้อต่ำใจและ ความเคียดแค้นไว้จนสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่ความอ่อนวัยก็ไม่ช่วยให้หล่อนทำได้สำเร็จนัก
“คุณก็เหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ พอล คุณรักแอนนี่ หลงแอนนี่เพราะความสวยของเขา ดูนั่นซิ เห็นไหม แอนนี่ชอบให้ใครๆ รุมล้อมแสดงความชื่นชมในตัวเขา ชอบให้มีคนนั่งอยู่แทบเท้า แล้วก็เขาจะทำยังไงต่อไปน่ะหรือ ฉันจะบอกให้ก็ได้ แอนนี่จะเขี่ยคนเหล่านั้นกระเด็นไปเสียทันทีที่เขามีที่หมายดีกว่านั้น และคุณก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นด้วยเหมือนกัน”
พอลผุดลุกขึ้นยืน หน้าของเขาซีดเผือด ขณะนั้นมีเสียงหัวเราะของอายานีดังแว่วข้ามกองไฟมาอีก พอลหันกลับเดินดุ่มๆ ออกไปจากที่นั่นทันทีอย่างหมดความอดทน
“เฮ้ พอล” นิรันดร์ร้องตามหลังไป แต่เสียงของเขาไม่ดังและมีอำนาจพอที่จะหยุดยั้งสหายเอาไว้ได้ เขาจึงได้แต่มองตามไปจนร่างของเพื่อนลับหายเข้าไปในความมืด แล้วจึงหันกลับมามองดูเด็กหญิง อนัตตาเองก็มีใบหน้าเผือดสีไม่น้อยเช่นกัน หล่อนมองตะลึงไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มเดินหายไปนั้น แล้วจึงหันกลับมามองนิรันดร์ ริมฝีปากของหล่อนขมุบขมิบคล้ายจะกล่าวอะไรออกมา แต่แล้วหล่อนก็เม้มมันเข้าหากันแน่น ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า
“ฉันไม่เสียใจหรอก นิรันดร์ ที่ฉันพูดออกไปอย่างเมื่อกี้นี้ เพราะว่ามันเป็นความจริง ไม่เชื่อก็คอยดูไปก็แล้วกัน”
นิรันดร์มิได้คิดที่จะตอบโต้หล่อน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบหล่อนว่ากระไร ขณะนั้นก็มีเสียงหัวเราะของอายานีดังมาอีก เมื่อนิรันดร์มองไปนั้น เห็นหล่อนกำลังลุกขึ้นยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนท่อนไม้ที่หล่อนใช้เป็นที่นั่งอยู่เมื่อกี้นี้ แพรที่คาดเอวของหล่อนเป็นเงามันระยับราวกับแถบมรกต หล่อนยกแขนทั้งสองยื่นออกมาทางข้างหน้า ประกาศว่า
“อย่ามานั่งเฉยๆ ให้เป็นเหน็บอยู่ยังงี้เลยน่า มาเล่นซ่อนหากันดีกว่า ถ้าใครหาฉันเจอละก็ ฉันจะให้รางวัล”
หล่อนกวาดตาไปตามใบหน้าของหนุ่มๆ ที่กำลังเงยขึ้นมองดูนั้นอย่างหวานฉ่ำและท้าทาย แล้วก็กระโจนแผล็วลงจากท่อนไม้นั้น วิ่งผมกระจายกระโปรงบานพลิ้วหายลับไปในพุ่มไม้ที่สลับซับซ้อนทางเบื้องหลัง นิรันดร์หันกลับมาทางน้องสาวของหล่อน ส่ายหน้าไปมา บอกว่า
“อารมณ์ของตัวเธอและของพี่สาวเธอนี่ช่างรุนแรงปานๆ กันเทียวนะ แนต มันร้อนแรงราวกับไฟ แต่ทว่ามันต่างกันตรงที่เป็นไฟคนละชนิดกันเท่านั้นเอง”