ไฟใต้น้ำ

>> สุภาว์ เทวกุล

ไฟใต้น้ำ

บทที่ 1

“แนต   ตัวแต่งตัวเร็วๆ เข้าซี  ประเดี๋ยวก็ไปช้าจนทำอะไรไม่ได้เท่านั้นเอง”

“ก็จะไปทำอะไรล่ะ  นอกจากไปกินเลี้ยงแล้วก็…”     ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำของผู้พูดเป็นประกายขึ้นนิดหนึ่ง  ในขณะที่จับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งสวมกระโปรงบานผ้าลูกไม้สีขาวที่ยืนบิดเบือนไปมาอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่   หยุดนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “แต่พี่อาจจะมีอะไรที่ต้องทำมากกว่าการไปกินเลี้ยงกระมัง  แต่ถึงยังงั้น ฉันก็คิดว่าพี่ชอบไปงานล่ากว่าคนอื่นเขาเสมอไม่ใช่รึ”

ดวงตาอีกคู่หนึ่ง   สีเขียวเข้มอมฟ้าเหมือนท้องทะเลก่อนหน้าที่จะมีมรสุมเพ่งมองจากกระจกตรงมายังผู้พูด   คิ้วรูปประหลาดซึ่งดกหนาตรงหัวแล้วค่อยเรียวโค้งน้อยๆ   จนเกือบจะเป็นเส้นตรงปลายตวัดขึ้นนิดๆ นั้น  ขมวดเข้าหากัน เมื่อย้อนถามว่า

“เธอหมายความว่ายังไง ที่พูดว่าฉันชอบไปงานล่ากว่าคนอื่นเสมอ”

“อ้าว   ก็จะได้เด่น  จะได้เป็นที่รู้เห็นกันให้ทั่วว่าพี่ได้ไปถึงงานนั้นแล้วยังไงล่ะ”

ผู้ตอบ  ตอบด้วยเสียงปกติและสีหน้าราบเรียบจนผู้ฟังไม่อาจจับได้ว่าพูดออกมาด้วยความรู้สึกเช่นไร  แต่แม้กระนั้น  ประกายอย่างหนึ่งในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นก็มิได้ทำให้ผู้ฟังเกิดความสบายใจปลอดโปร่งนัก  แต่จะจับเอาเป็นเครื่องแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาก็ใช่ที่ อย่างเดียวที่จะทำได้ก็คือ  ระบายความขุ่นในใจออกมาด้วยการกระชากแถบแพรยาวสีเขียวมรกตซึ่งพาดไว้บนพนักปลายเตียงเหล็กลงมา   หันกลับเข้าหากระจก ทาบแถบแพรนั้นลงบนเอว

“เออ เหลือเกินนะ   จะมีใครมาช่วยแต่งตัวสักนิดก็ไม่มี”

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยข้างหน้าต่างยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนแต่อย่างใด   แต่ดวงตาคู่นั้นเพิ่มประกายขบขันขึ้น  และก่อนที่เหตุการณ์ภายในห้องนอนแคบๆ นั้น จะดำเนินต่อไป   ประตูห้องก็เปิดออก  หญิงกลางคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาเงียบๆ

หล่อนเป็นสตรีรูปร่างค่อนข้างผอมบาง  ผมสีดำสนิทที่เกล้าขึ้นไปรวบเป็นมวยอยู่กลางศีรษะนั้น เรียบและตึง  จนกระทั่งมองเห็นหน้าผากลาดของหล่อนได้ชัด   หล่อนนุ่งผ้าซิ่นยาวกรอมเท้ากลางเก่ากลางใหม่พื้นดำ   มีลายขวางสีม่วงสีสลับขาวและเขียวทั่วทั้งตัว   และสวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ   สีหน้า  ของหล่อนเรียบเฉยเหมือนไม่มีความรู้สึก   แต่จากรอยย่นสองสามรอยบนหน้าผากและที่ขอบตานั้น   แสดงให้รู้ว่า  โดยแท้จริงแล้ว  หล่อนจะต้องเป็นบุคคลที่ช่างคิดมากทีเดียว   และดูเหมือนว่าหล่อนจะรู้ดีโดยไม่ต้องถาม  ว่าหล่อนควรจะทำอะไรเมื่อเข้ามาในห้องนั้น   เพราะหล่อนเดินตรงเข้ายังร่างในชุดกระโปรงสีขาวที่ยืนหน้าขมวดบึ้งอยู่หน้ากระจกนั้น   ดึงแถบแพรสีเขียวมรกตออกมาจากมือของผู้เยาว์วัยกว่าโดยไม่กล่าวว่ากระไร

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงนั่งอยู่  ณ  ที่เดิม   เฝ้ามองดูมือสีเหลืองเกร็งที่กำลังทาบแถบแพรสีเขียวมรกตนั้นลงบนสีขาวสะอาดของผ้าลูกไม้  แล้วก็พันทบเข้าไปรอบเอว   ดึงกระชับให้แน่น  ก่อนที่จะทบเข้าอีกรอบหนึ่ง   ความยาวของแถบแพรนั้นยิ่งสั้นเข้าไปเท่าไร   เอวของร่างที่อยู่ในชุดผ้าลูกไม้สีขาว   ก็ยิ่งคอดเล็กลงไปเท่านั้น   และดวงตาสีเขียวเกือบเหมือนสีแพรคาดเอวก็ยิ่งทอประกายเฉิดฉายขึ้น  ด้วยความยินดีและความภูมิใจในภาพของตนเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเบื้องหน้า

ในที่สุด   เจ้าแถบแพรสีเขียวสดใสนั้น ก็ปรากฏเป็นรูปโบอันสวยงาม ทาบเด่นอยู่บนสีขาวสะอาดของผ้าลูกไม้เนื้อละเอียด  มองดูราวกับแนวไม้สีเขียวสดใสที่ขึ้นเรียงพืดอยู่กลางดงหิมะ   แล้วมือเกร็งๆ สีออกเหลืองเหมือนทาขมิ้นนั้น ก็จับด้ามแปรงขึ้นกดลงบนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นลอนหยักลึกยาวลงไปจนเกือบถึงกลางหลัง   แปรงแรงๆ ลงไปตามเรือนผมนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า   จนกระทั่งมันเกิดเป็นประกายมันระยับเป็นเงางามขึ้นมา   แล้วพิธีแต่งตัวลำดับสุดท้ายก็เสร็จสิ้นลง ด้วยการทาบกำมะหยี่เส้นกว้างราวสองนิ้วลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้น แล้วอ้อมลงไปผูกเป็นเงื่อน ซ่อนไว้เหนือท้ายทอย   สีเขียวสดใสของเส้นกำมะหยี่ตัดกันกับสีน้ำตาลเข้มของเส้นผม มองดูเด่นสะดุดตายิ่งนัก   ไม่เพียงแต่ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของความงามนั้นจะส่งประกายเจิดจ้าด้วยความทระนงภาคภูมิใจแต่เพียงผู้เดียวดอก   แม้แต่ดวงตาของผู้ตบแต่งเจ้าของมือสีเหลืองเกร็งคู่นั้น ก็ยังเป็นประกายด้วยความชื่นชมอยู่เงียบๆ   เช่นกัน

ร่างในชุดสีขาวเฉิดฉายนั้นหมุนอยู่หน้ากระจกด้วยอาการระเริงใจ   หล่อนร้องออกมาว่า

“โอ นี่ถ้าเราจะมีกระจกบานใหญ่กว่านี้ และยาวจนจรดพื้นก็จะดีหรอก   ฉันจะได้…” คำพูดนั้นหยุดชะงักลงเมื่อดวงตาสีน้ำทะเลลึกนั้นประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งกำลังจ้องมองอยู่ ดวงตาสองคู่จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง   แล้วเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลก็สะบัดหน้ากลับ  เชิดคางขึ้นเล็กน้อย

“แต่งองค์เสียทีซิ แนต   นี่เธอจะให้คนอื่นเขาต้องคอยต่อไปอีกนานสักกี่ชั่วโมงกันนะ”

แล้วโดยไม่รอฟังคำตอบหรือคำโต้แย้งต่อไป  หล่อนก็เดินเชิดหน้าวางท่าสวยออกไปจากห้อง   นั่นแหละร่างที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ริมหน้าต่างจึงค่อยๆ ขยับเขยื้อนลุกขึ้นจากที่ด้วยอาการค่อนข้างเกียจคร้าน  หล่อนเคลื่อนกายไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจก  มองดูเงาของตนเองด้วยความรู้สึกที่ไม่สู้จะพึงพอใจเสียเลย

“เลือกเสื้อผ้าเอาไว้แล้วหรือว่าจะแต่งชุดไหน”

หญิงกลางคนเจ้าของมือเกร็งๆ คู่นั้นเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่ได้ย่างก้าวเข้ามาในห้องนี้ หล่อนมองสบตาสีน้ำตาลคู่นั้นในกระจก   มันช่างเป็นดวงตาที่มีสีสันและลักษณะคล้ายคลึงกับดวงตาของหล่อนเองมิผิดเพี้ยน   และมิใช่แต่เพียงดวงตาอย่างเดียวเท่านั้นหรอก  แม้แต่ความดำสนิทและเหยียดตรงของเส้นผม   กับรูปหน้ารวมทั้งริมฝีปากที่บางเฉียบคู่นั้น  ก็ถอดแบบจำลองออกไปจากหล่อนมิได้ผิดเพี้ยนเช่นกัน

“ไม่จำเป็นหรอก  คนอย่างแนต แต่งชุดไหนก็ได้ทั้งนั้น   ถึงจะยังไงมันก็ไม่ทำให้สวยเด่นขึ้นมาได้หรอก ไม่เหมือนแอนนี่”

หล่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าใบหนาทึบแบบเก่า  เปิดบานประตูออกว้างทั้งสองบาน  มือจับกระโปรงชุดที่ใส่ไม้แขวนอยู่เป็นระนาวนั้นเลื่อนปัดไปอย่างไม่ทะนุถนอม   แล้วก็หยิบเอากระโปรงติดกันซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าธรรมดาตาเล็กๆ สีเหลืองสลับดำออกมา

“ดูซิ เสื้อผ้าเต็มตู้   แต่ว่าเป็นของแอนนี่เสียมากกว่าครึ่ง”

“ แอนนี่อายุสิบเจ็ดแล้วนะ แนต”  เป็นคำค้านเรียบๆ  จากผู้แก่วัยกว่า   พอขาดคำของหล่อน เสื้อชุดสีเหลืองสลับดำนั้นก็ถูกเหวี่ยงไปพาดลงบนเตียงค่อนข้างแรง

“อีกสามเดือนจึงจะเต็มสิบเจ็ด”   เป็นเสียงค้านห้วนๆ   “แล้วก็แนตล่ะ  แนตก็เต็มสิบห้ามาตั้งหลายเดือนแล้วเหมือนกัน   แต่แนตมีอะไรเท่าเทียมแอนนี่เมื่อแอนนี่อายุเท่านี้บ้าง   เปล่าเลย   ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร   เพราะว่าแนตไม่สวยเท่าแอนนี่   จึงไม่มีใครสนใจ  แม้แต่พ่อแม่แท้ๆ  ของตัวเอง”

ผู้แก่วัยกว่าไม่ตอบ   เพียงแต่ถอนใจเบาๆ แล้วก็เดินกลับออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ เช่นเดียวกันกับเมื่อตอนเข้ามา   อีกครู่หนึ่งต่อมา ก็มีเสียงหูกทอผ้าดังเป็นระยะสม่ำเสมอออกมาจากทางหลังบ้าน

อายานี และ  อนัตตา  สองดรุณีวัยรุ่นนี้เป็นธิดาของนายกาย  ทาริต้า  บุรุษเลือดผสมชาวตะวันตก  ผู้ซึ่งมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เชียงใหม่มานานนับยี่สิบปีมาแล้ว แต่หาได้มีผู้ใดผู้หนึ่งที่เชียงใหม่นี้  สามารถบอกได้อย่างแน่นอนไม่   ว่าเชื้อชาติที่แท้จริงของกายนั้นคืออะไรแน่   คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขารู้ว่าเขามีสัญชาติเป็นคนอเมริกัน   แต่ทว่ากายเองเล่าว่าบิดาของเขาเป็นดัตช์   และมารดาของเขาเป็นลูกผสมอิตาเลียนและฝรั่งเศส   และยิ่งกว่านั้นเขาเองก็ยังมีภรรยาเป็นชาวเชียงใหม่   ลูกสาวทั้งสองของเขา   จึงได้มีเลือดของชาติต่างๆ ผสมรวมอยู่ในร่างของหล่อนจนไม่อาจจะระบุลงไปได้ว่า หล่อนมีเชื้อชาติอะไรกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็หาได้มีใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวทาริต้านี้แสดงความเดือดร้อนในเรื่องนี้ไม่   และกาย  ทาริต้า   ก็ยังคงเป็นสถาปนิกมีชื่อ   ซึ่งความสามารถของเขาเป็นที่รู้จักกันดีแก่คนทั่วไป พอๆ กับความเป็นคนขี้เมาของเขาทีเดียว

ไม่มีใครรู้ว่า กายนับถือศาสนาอะไรแน่   เขาไม่เคยคิดที่จะไปโบสถ์ด้วยตนเอง   แต่เมื่อมีคนมาชวน  เขาก็ไม่ปฏิเสธ   และเมื่อมีผู้มาเรี่ยรายเงินสร้างวัดไทย ถ้ามีเงินอยู่ในกระเป๋า   กายก็ไม่รีรอที่จะควักให้ไปอย่างเต็มอกเต็มใจ   เรื่องศาสนา ดูไม่เป็นที่สนใจหรือเป็นปัญหายิ่งใหญ่เลยสำหรับครอบครัวนี้   แม้ว่าภรรยาชาวพื้นเมืองของเขาจะตื่นขึ้นตักบาตรทุกเช้าเป็นกิจวัตร  และไปวัดทุกวันอุโบสถ   แต่หล่อนก็สามารถอยู่กับสามีต่างชาติของหล่อนได้อย่างสงบ   อย่างน้อยก็สงบพอสมควรตามสายตาของคนภายนอกตลอดมา

เช่นเดียวกับธิดาทั้งสองของเขา   ทั้งอายานีและอนัตตา  ต่างก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนนั้นเป็นฝ่ายไหนกันแน่   บิดาหรือมารดา  บางครั้งหล่อนอาจจะไปวัดกับมารดา  และเมื่อถึงคราวที่มีงานเทศกาลของคริสตศาสนิกชน   หล่อนก็พร้อมที่จะไปร่วมเฉลิมฉลองรื่นเริงสนุกสนานกับเขาด้วย   และก็ไม่มีใครจะสนใจในเรื่องศาสนาของหล่อนเช่นกัน   กายมักจะพูดเสมอว่า

“เดี๋ยวนี้ความคิดของคนเราในเรื่องศาสนากว้างขวางขึ้นมากแล้ว  ไม่คับแคบเหมือนเมื่อก่อน  เพราะเราตระหนักดีแล้วว่าทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันทั้งนั้น  คือมุ่งที่จะสอนให้เป็นคนดี”

แต่ที่แท้จริงนั้น   เขาก็รู้แน่อยู่แก่ใจเหมือนกัน ว่า ที่ใครๆ  โดยเฉพาะหนุ่มๆ ในเมืองนั้นไม่สนใจในเรื่องศาสนาของลูกสาวของเขาเพราะอะไร   ก็เพราะว่าเขาพากันสนใจในความงามของหล่อนเสียจนไม่มีความคิดเหลือพอที่จะไปสนใจในเรื่องอื่นนั่นเอง

แม้แต่ในขณะนี้   ขณะที่ลูกสาวทั้งสองของเขายังวุ่นวายอยู่กับการแต่งกายอยู่ที่บ้านนี้  กายผู้ซึ่งได้ไปถึงบ้านที่มีงานนั้นนานแล้วก็ยังคุยโอ่อยู่ท่ามกลางผู้ร่วมวงสนทนาของเขาว่า

“ความเป็นอยู่ในครอบครัวของผมนั้น   มันก็เหมือนกับสลัดจานใหญ่ซึ่งไม่มีเขียนไว้ในตำรากับข้าวเล่มไหนเลยในโลก  แต่ผมก็พอใจแล้ว   ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยจริงๆ”

“อ๋อ   ก็แน่ละซิ   ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นคนกินสลัดจานนั้นนี่”

เป็นเสียงค้านอย่างสัพยอก  ซึ่งตามมาด้วยเสียงฮาอย่างครื้นเครง   กายเองก็พลอยหัวเราะไปด้วยกับคนอื่นๆ เช่นกัน   ใบหน้าของเขาแดงก่ำตั้งแต่ใบหูตลอดลงไปจนถึงลำคอ ซึ่งโผล่ออกมาจากเสื้อเชิ้ตเปิดคอที่ไม่สู้จะเรียบนัก   มิใช่แดงเพราะความโกรธหรือความกระดากอายอย่างหนึ่งอย่างใดดอก   แต่เป็นเพราะเจ้าน้ำที่อยู่ในขวดบนโต๊ะ   ซึ่งเขาบ้าง  และคนอื่นๆ บ้าง   คอยรินเติมลงในแก้วของเขาไม่ขาดระยะนั่นเอง   ที่เพิ่มสีแดงให้แก่ผิวของเขา และตราบใดที่กายอยู่ในภาวะแวดล้อมเช่นนี้   จะไม่มีใครหรือสิ่งใดในโลกนี้ มาทำให้อารมณ์ของเขาเสียได้เลย

“แต่ว่าเครื่องปรุงแต่ละอย่างในสลัดชามนั้นน่ะ  ล้วนแต่วิเศษทั้งนั้นนะ”   กายคุย

“แน่ละ   ถ้าเลือกหยิบขึ้นมากินทีละอย่าง”   เสียงเดิมขัดขึ้นอีก แล้วเสียงฮาก็ตามมาอีกครั้งหนึ่ง   แต่กายก็มิไม่ได้รู้สึกเดือดร้อน   เขารินเหล้าในขวดเดิมลงในแก้วจนเต็มแล้วก็ชูมันขึ้นสูง ร้องชวนด้วยเสียงดังจนได้ยินไปทั่วทั้งบริเวณลานกว้าง  อันใช้เป็นที่ชุมนุมกันอยู่นั้น

“มา   ผมขอให้พวกเรามาดื่มให้แก่สลัดจานวิเศษของผม”

แล้วก็มีเสียงเดิมนั้นร้องแทรกขึ้นอีกว่า   “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดื่มให้แก่เครื่องปรุงชิ้นเอกชิ้นหนึ่งในสลัดจานนั้น”

เสียงฮาซึ่งดังขึ้นเป็นวาระที่สามนั้น ทำให้บุคคลอีกวงหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปเกือบสามสิบหลาพากันหันมามองดูอย่างสงสัย   บุคคลในวงที่สองนี้มีมากกว่าวงแรกถึงสองเท่า   และต่างวัยกว่ามากนัก   เพราะทุกคนในวงนี้   ต่างก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวด้วยกันทั้งสิ้น

“นั่นวงคนแก่เขามีดีอะไรกันนะ   เสียงฮากันให้ลั่นๆ ไปเทียวนี่”     เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย   ดวงตาสีดำสนิทของเขาเป็นประกายด้วยความสงสัยระคนด้วยความขบขัน พลอยสนุกไปกับสิ่งที่ได้ยินนั้น     “พอล เสียงพ่อลื้อดังกว่าเพื่อนเลย”

“เสียงของพ่อก็ดังพอๆ  กับเสียงของแม่นั่นแหละ  แต่มันเป็นคนละชนิดกันเท่านั้นเอง”     คำตอบเรื่อยๆ จากเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อว่า  พอล   รูปร่างและลักษณะของเขามองดูเด่นกว่าทุกคนที่จับกลุ่มนั่งอยู่รอบกองไฟที่เพิ่งจะก่อขึ้นเมื่อเริ่มจะค่ำ   ดวงตาและผมของเขาเป็นสีเดียวกัน   คือเป็นสีน้ำตาลอ่อน   เส้นผมของเขาอ่อนสลวยและหยักเป็นลอน   ดวงหน้าของเขายังอ่อน  ดูไม่สมกับรูปร่างที่ค่อนข้างสูงใหญ่เสียเลย พอลเป็นลูกผสมเหมือนกัน   มารดาของเขาเป็นอิตาเลียน และบิดาเป็นชาวอเมริกัน

“ตรงกันข้ามกับพ่อแม่ของกัน”   เด็กหนุ่มที่มีผมดำตาดำกล่าว   “ในบ้านของกันเงียบกริบทีเดียว   ทั้งวันแม่กันกับพ่อกันแทบจะไม่ได้พูดกันเลย”

“ชีวิตครอบครัวของคนไทยก็เป็นยังงี้แทบทั้งนั้น”   พอลว่า   “เขาไม่ค่อยจะได้พูดกันด้วยคำพูด   แต่พูดกันด้วยหัวใจ   ใช่ไหมนิรันดร์”

นิรันดร์ยิ้มอย่างขบขัน   “แกพูดยังกับนักประพันธ์เทียวนะ”   เขาว่า แล้วก็ได้ยินเสียงแหลมๆ  ของเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยนั้นขัดขึ้นว่า

“พอลเขาไม่ได้เป็นนักประพันธ์หรอก  นิรันดร์  เขาเป็นนักรักน่ะ  เวลานี้เขากำลังตกอยู่ในความรัก   รู้ไหม”

พร้อมๆ  กับที่กล่าวประโยคนั้น   หล่อนก็ชม้ายตาไปยังผู้ที่หล่อนกล่าวถึงอย่างหมั่นไส้แกมตัดพ้ออยู่ในที   แต่พอลมิได้สนใจที่จะตอบโต้คำพูดหรือกิริยาท่าทางของหล่อน เพราะ เขามัวแต่หันไปมองยังทางเดินที่เลี้ยวออกมาจากแมกไม้ทางด้านขวามือของเขา  นิรันดร์มองตาม  ยิ้มอยู่ในหน้าอย่างรู้ใจ   ขณะนั้นได้มีเสียงเล็กๆ แหลมๆ อีกเสียงหนึ่งดังมาจากกลุ่มที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟที่สุดว่า

“นี่ พวกผู้ชายน่ะ มาช่วยกันปิ้งเนื้อบ้างซี   นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ได้ เอาเปรียบผู้หญิงจังเลย”

“อ้าว ก็หน้าที่ทำครัวมันหน้าที่ของผู้หญิงนี่นา”     นิรันดร์ร้องตอบไปอย่างทันใจ     “ขืนเข้าไปวุ่นวายด้วยก็จะถูกหาว่าก้าวก่ายเกินหน้าที่อีกนั่นแหละ”

“ใครว่าผู้หญิงมีหน้าที่ทำครัว”   เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งร้องขึ้น   “ดูแต่พ่อกันยังเข้าครัวทำหน้าที่ปรุงอาหารอยู่ทุกวันเลย”

“อ้าว ถ้าพ่อเป็นคนทำกับข้าวเสียแล้ว   แม่นายทำอะไรล่ะ”

“ก็คอยตั้งนาฬิกาปลุกให้พ่อลุกขึ้นมาทำกับข้าวน่ะซี”   เป็นคำตอบซึ่งก่อให้เกิดเสียงฮากันขึ้นอย่างครื้นเครง

แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าพอล  มิได้พลอยหัวเราะไปกับคนอื่นด้วย   เขาเพียงแต่ยิ้ม แล้วชำเลืองไปยังทางเดินด้วยทีท่ากระวนกระวาย   นิรันดร์เหลือบตามองดูเพื่อน ยิ้มอย่างรู้ใจ ถามเบาๆ ว่า

“หล่อนบอกหรือเปล่าว่าจะมา”

“ฉันเชื่อว่าหล่อนต้องมาแน่”     พอลตอบทันทีโดยมิทันได้คิดถามเสียด้วยซ้ำไป ว่าเพื่อนของเขาพูดถึงใคร  และเมื่อรู้สึกตัว   หน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที   “อุวะ  แกนี่”   เขาร้อง แต่นิรันดร์หัวเราะบอกว่า

“แกจะอายฉันทำไมนะ  ของพรรค์นี้ไม่ต้องบอกเขาก็รู้กันน่า  แกน่ะรักหล่อนจริงๆ รึ  พอล  ฉันถามจริงๆ เถอะ”

“ในชีวิตฉันจะขาดหล่อนเสียไม่ได้เลย”   เป็นคำตอบจากพอล  เสียงของเขาจริงจังและหนักแน่นจนนิรันดร์ต้องหยุดหัวเราะ   “ฉันมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่อายุได้เพียงสามขวบเท่านั้นเองนะนิรันดร์   ฉันรู้จักทั้งหญิงไทยและผู้หญิงชาติเดียวกับฉันมาก็มาก   แต่ไม่มีใครที่จะเหมือนหล่อนเลยสักคนเดียว”

“แล้วหล่อนล่ะ  หล่อนรักแกหรือเปล่า”

พอลมองเหม่อไปยังกองไฟที่ลุกเรืองอยู่ห่างออกไปนั้น   เพื่อนวัยเดียวกันกับเขาอีกหลายคน ทั้งหญิงและชาย กำลังช่วยกันใช้เหล็กเล็กๆ แหลมและยาว  เสียบชิ้นเนื้อยื่นเข้าไปเหนือเปลวไฟอยู่อย่างสนุกสนาน  แต่ก็ดูเหมือนพอลจะมิได้เห็นภาพเหล่านั้น  ดวงตาของเขาเหม่อลอย   เสียงเคร่งขรึมเมื่อเขาตอบเพื่อนว่า

“ฉันไม่รู้   ฉันอ่านความคิดของหล่อนไม่ออก  บางครั้งหล่อนก็ทำท่าว่าสนใจในตัวฉันเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นทั้งหมด   แต่บางครั้งหล่อนก็ทำท่าเหมือนกับว่าไม่มีฉันอยู่ในโลกนี้เลย”

“นั่นเป็นเพราะว่าหล่อนยังเป็นเด็กอยู่มากน่ะซี”   นิรันดร์ว่า   แต่เพื่อนของเขาก็คัดค้านอย่างแข็งแรงทันที

“ไม่เด็ก   หล่อนอายุสิบเจ็ดแล้วนะ   ผู้หญิงอายุสิบเจ็ดน่ะ ไม่เด็กเลยสำหรับผู้ชายอายุยี่สิบเท่าฉัน”

“แล้วยังไง”   นิรันดร์ซักต่อไป   “แกคิดว่าถ้าหล่อนตกลงรับรักแกละก็   พ่อกับแม่ของแกจะยอมให้แต่งงานกับหล่อนรึ”

“พ่อคงไม่ว่าอะไร   แต่คงจะให้รอต่อไปอีกหน่อย  เพราะพ่อกำลังจะส่งฉันไปเรียนต่ออเมริกา   แต่แม่...   แม่ไม่ค่อยชอบหล่อนเสียเลย”

“พวกผู้หญิงอื่นๆ  ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครชอบหล่อนนัก”   นิรันดร์ว่า   พอลยักไหล่  เขาเหยียดริมฝีปากออกยิ้มพร้อมกันกับที่ชายตาไปทางกลุ่มผู้หญิงเหมือนดูถูก บอกว่า

“ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เป็นเพราะว่าพวกหล่อนอิจฉาที่สวยสู้หล่อนไม่ได้นั่นเอง”   เขาหันกลับมามองไปยังทางเดินนั้นอีกครั้งหนึ่ง   ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แช่มชื่นขึ้นมาในฉันพลัน เขาผุดลุกขึ้นยืน  ร้องว่า

“หล่อนมาแล้วนั่นไงล่ะ  นิรันดร์   หล่อนมาแล้ว  โอ   หล่อนช่างสวยงามน่ารักข่มความงามของผู้หญิงอื่นลงจนหมดสิ้นเช่นเคย…”

จบบทที่ 1