“แนต ตัวแต่งตัวเร็วๆ เข้าซี ประเดี๋ยวก็ไปช้าจนทำอะไรไม่ได้เท่านั้นเอง”
“ก็จะไปทำอะไรล่ะ นอกจากไปกินเลี้ยงแล้วก็…” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำของผู้พูดเป็นประกายขึ้นนิดหนึ่ง ในขณะที่จับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งสวมกระโปรงบานผ้าลูกไม้สีขาวที่ยืนบิดเบือนไปมาอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ หยุดนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “แต่พี่อาจจะมีอะไรที่ต้องทำมากกว่าการไปกินเลี้ยงกระมัง แต่ถึงยังงั้น ฉันก็คิดว่าพี่ชอบไปงานล่ากว่าคนอื่นเขาเสมอไม่ใช่รึ”
ดวงตาอีกคู่หนึ่ง สีเขียวเข้มอมฟ้าเหมือนท้องทะเลก่อนหน้าที่จะมีมรสุมเพ่งมองจากกระจกตรงมายังผู้พูด คิ้วรูปประหลาดซึ่งดกหนาตรงหัวแล้วค่อยเรียวโค้งน้อยๆ จนเกือบจะเป็นเส้นตรงปลายตวัดขึ้นนิดๆ นั้น ขมวดเข้าหากัน เมื่อย้อนถามว่า
“เธอหมายความว่ายังไง ที่พูดว่าฉันชอบไปงานล่ากว่าคนอื่นเสมอ”
“อ้าว ก็จะได้เด่น จะได้เป็นที่รู้เห็นกันให้ทั่วว่าพี่ได้ไปถึงงานนั้นแล้วยังไงล่ะ”
ผู้ตอบ ตอบด้วยเสียงปกติและสีหน้าราบเรียบจนผู้ฟังไม่อาจจับได้ว่าพูดออกมาด้วยความรู้สึกเช่นไร แต่แม้กระนั้น ประกายอย่างหนึ่งในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นก็มิได้ทำให้ผู้ฟังเกิดความสบายใจปลอดโปร่งนัก แต่จะจับเอาเป็นเครื่องแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาก็ใช่ที่ อย่างเดียวที่จะทำได้ก็คือ ระบายความขุ่นในใจออกมาด้วยการกระชากแถบแพรยาวสีเขียวมรกตซึ่งพาดไว้บนพนักปลายเตียงเหล็กลงมา หันกลับเข้าหากระจก ทาบแถบแพรนั้นลงบนเอว
“เออ เหลือเกินนะ จะมีใครมาช่วยแต่งตัวสักนิดก็ไม่มี”
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยข้างหน้าต่างยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนแต่อย่างใด แต่ดวงตาคู่นั้นเพิ่มประกายขบขันขึ้น และก่อนที่เหตุการณ์ภายในห้องนอนแคบๆ นั้น จะดำเนินต่อไป ประตูห้องก็เปิดออก หญิงกลางคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาเงียบๆ
หล่อนเป็นสตรีรูปร่างค่อนข้างผอมบาง ผมสีดำสนิทที่เกล้าขึ้นไปรวบเป็นมวยอยู่กลางศีรษะนั้น เรียบและตึง จนกระทั่งมองเห็นหน้าผากลาดของหล่อนได้ชัด หล่อนนุ่งผ้าซิ่นยาวกรอมเท้ากลางเก่ากลางใหม่พื้นดำ มีลายขวางสีม่วงสีสลับขาวและเขียวทั่วทั้งตัว และสวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ สีหน้า ของหล่อนเรียบเฉยเหมือนไม่มีความรู้สึก แต่จากรอยย่นสองสามรอยบนหน้าผากและที่ขอบตานั้น แสดงให้รู้ว่า โดยแท้จริงแล้ว หล่อนจะต้องเป็นบุคคลที่ช่างคิดมากทีเดียว และดูเหมือนว่าหล่อนจะรู้ดีโดยไม่ต้องถาม ว่าหล่อนควรจะทำอะไรเมื่อเข้ามาในห้องนั้น เพราะหล่อนเดินตรงเข้ายังร่างในชุดกระโปรงสีขาวที่ยืนหน้าขมวดบึ้งอยู่หน้ากระจกนั้น ดึงแถบแพรสีเขียวมรกตออกมาจากมือของผู้เยาว์วัยกว่าโดยไม่กล่าวว่ากระไร
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงนั่งอยู่ ณ ที่เดิม เฝ้ามองดูมือสีเหลืองเกร็งที่กำลังทาบแถบแพรสีเขียวมรกตนั้นลงบนสีขาวสะอาดของผ้าลูกไม้ แล้วก็พันทบเข้าไปรอบเอว ดึงกระชับให้แน่น ก่อนที่จะทบเข้าอีกรอบหนึ่ง ความยาวของแถบแพรนั้นยิ่งสั้นเข้าไปเท่าไร เอวของร่างที่อยู่ในชุดผ้าลูกไม้สีขาว ก็ยิ่งคอดเล็กลงไปเท่านั้น และดวงตาสีเขียวเกือบเหมือนสีแพรคาดเอวก็ยิ่งทอประกายเฉิดฉายขึ้น ด้วยความยินดีและความภูมิใจในภาพของตนเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเบื้องหน้า
ในที่สุด เจ้าแถบแพรสีเขียวสดใสนั้น ก็ปรากฏเป็นรูปโบอันสวยงาม ทาบเด่นอยู่บนสีขาวสะอาดของผ้าลูกไม้เนื้อละเอียด มองดูราวกับแนวไม้สีเขียวสดใสที่ขึ้นเรียงพืดอยู่กลางดงหิมะ แล้วมือเกร็งๆ สีออกเหลืองเหมือนทาขมิ้นนั้น ก็จับด้ามแปรงขึ้นกดลงบนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นลอนหยักลึกยาวลงไปจนเกือบถึงกลางหลัง แปรงแรงๆ ลงไปตามเรือนผมนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งมันเกิดเป็นประกายมันระยับเป็นเงางามขึ้นมา แล้วพิธีแต่งตัวลำดับสุดท้ายก็เสร็จสิ้นลง ด้วยการทาบกำมะหยี่เส้นกว้างราวสองนิ้วลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้น แล้วอ้อมลงไปผูกเป็นเงื่อน ซ่อนไว้เหนือท้ายทอย สีเขียวสดใสของเส้นกำมะหยี่ตัดกันกับสีน้ำตาลเข้มของเส้นผม มองดูเด่นสะดุดตายิ่งนัก ไม่เพียงแต่ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของความงามนั้นจะส่งประกายเจิดจ้าด้วยความทระนงภาคภูมิใจแต่เพียงผู้เดียวดอก แม้แต่ดวงตาของผู้ตบแต่งเจ้าของมือสีเหลืองเกร็งคู่นั้น ก็ยังเป็นประกายด้วยความชื่นชมอยู่เงียบๆ เช่นกัน
ร่างในชุดสีขาวเฉิดฉายนั้นหมุนอยู่หน้ากระจกด้วยอาการระเริงใจ หล่อนร้องออกมาว่า
“โอ นี่ถ้าเราจะมีกระจกบานใหญ่กว่านี้ และยาวจนจรดพื้นก็จะดีหรอก ฉันจะได้…” คำพูดนั้นหยุดชะงักลงเมื่อดวงตาสีน้ำทะเลลึกนั้นประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งกำลังจ้องมองอยู่ ดวงตาสองคู่จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลก็สะบัดหน้ากลับ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“แต่งองค์เสียทีซิ แนต นี่เธอจะให้คนอื่นเขาต้องคอยต่อไปอีกนานสักกี่ชั่วโมงกันนะ”
แล้วโดยไม่รอฟังคำตอบหรือคำโต้แย้งต่อไป หล่อนก็เดินเชิดหน้าวางท่าสวยออกไปจากห้อง นั่นแหละร่างที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ริมหน้าต่างจึงค่อยๆ ขยับเขยื้อนลุกขึ้นจากที่ด้วยอาการค่อนข้างเกียจคร้าน หล่อนเคลื่อนกายไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจก มองดูเงาของตนเองด้วยความรู้สึกที่ไม่สู้จะพึงพอใจเสียเลย
“เลือกเสื้อผ้าเอาไว้แล้วหรือว่าจะแต่งชุดไหน”
หญิงกลางคนเจ้าของมือเกร็งๆ คู่นั้นเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่ได้ย่างก้าวเข้ามาในห้องนี้ หล่อนมองสบตาสีน้ำตาลคู่นั้นในกระจก มันช่างเป็นดวงตาที่มีสีสันและลักษณะคล้ายคลึงกับดวงตาของหล่อนเองมิผิดเพี้ยน และมิใช่แต่เพียงดวงตาอย่างเดียวเท่านั้นหรอก แม้แต่ความดำสนิทและเหยียดตรงของเส้นผม กับรูปหน้ารวมทั้งริมฝีปากที่บางเฉียบคู่นั้น ก็ถอดแบบจำลองออกไปจากหล่อนมิได้ผิดเพี้ยนเช่นกัน
“ไม่จำเป็นหรอก คนอย่างแนต แต่งชุดไหนก็ได้ทั้งนั้น ถึงจะยังไงมันก็ไม่ทำให้สวยเด่นขึ้นมาได้หรอก ไม่เหมือนแอนนี่”
หล่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าใบหนาทึบแบบเก่า เปิดบานประตูออกว้างทั้งสองบาน มือจับกระโปรงชุดที่ใส่ไม้แขวนอยู่เป็นระนาวนั้นเลื่อนปัดไปอย่างไม่ทะนุถนอม แล้วก็หยิบเอากระโปรงติดกันซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าธรรมดาตาเล็กๆ สีเหลืองสลับดำออกมา
“ดูซิ เสื้อผ้าเต็มตู้ แต่ว่าเป็นของแอนนี่เสียมากกว่าครึ่ง”
“ แอนนี่อายุสิบเจ็ดแล้วนะ แนต” เป็นคำค้านเรียบๆ จากผู้แก่วัยกว่า พอขาดคำของหล่อน เสื้อชุดสีเหลืองสลับดำนั้นก็ถูกเหวี่ยงไปพาดลงบนเตียงค่อนข้างแรง
“อีกสามเดือนจึงจะเต็มสิบเจ็ด” เป็นเสียงค้านห้วนๆ “แล้วก็แนตล่ะ แนตก็เต็มสิบห้ามาตั้งหลายเดือนแล้วเหมือนกัน แต่แนตมีอะไรเท่าเทียมแอนนี่เมื่อแอนนี่อายุเท่านี้บ้าง เปล่าเลย ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าแนตไม่สวยเท่าแอนนี่ จึงไม่มีใครสนใจ แม้แต่พ่อแม่แท้ๆ ของตัวเอง”
ผู้แก่วัยกว่าไม่ตอบ เพียงแต่ถอนใจเบาๆ แล้วก็เดินกลับออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ เช่นเดียวกันกับเมื่อตอนเข้ามา อีกครู่หนึ่งต่อมา ก็มีเสียงหูกทอผ้าดังเป็นระยะสม่ำเสมอออกมาจากทางหลังบ้าน
อายานี และ อนัตตา สองดรุณีวัยรุ่นนี้เป็นธิดาของนายกาย ทาริต้า บุรุษเลือดผสมชาวตะวันตก ผู้ซึ่งมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เชียงใหม่มานานนับยี่สิบปีมาแล้ว แต่หาได้มีผู้ใดผู้หนึ่งที่เชียงใหม่นี้ สามารถบอกได้อย่างแน่นอนไม่ ว่าเชื้อชาติที่แท้จริงของกายนั้นคืออะไรแน่ คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขารู้ว่าเขามีสัญชาติเป็นคนอเมริกัน แต่ทว่ากายเองเล่าว่าบิดาของเขาเป็นดัตช์ และมารดาของเขาเป็นลูกผสมอิตาเลียนและฝรั่งเศส และยิ่งกว่านั้นเขาเองก็ยังมีภรรยาเป็นชาวเชียงใหม่ ลูกสาวทั้งสองของเขา จึงได้มีเลือดของชาติต่างๆ ผสมรวมอยู่ในร่างของหล่อนจนไม่อาจจะระบุลงไปได้ว่า หล่อนมีเชื้อชาติอะไรกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็หาได้มีใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวทาริต้านี้แสดงความเดือดร้อนในเรื่องนี้ไม่ และกาย ทาริต้า ก็ยังคงเป็นสถาปนิกมีชื่อ ซึ่งความสามารถของเขาเป็นที่รู้จักกันดีแก่คนทั่วไป พอๆ กับความเป็นคนขี้เมาของเขาทีเดียว
ไม่มีใครรู้ว่า กายนับถือศาสนาอะไรแน่ เขาไม่เคยคิดที่จะไปโบสถ์ด้วยตนเอง แต่เมื่อมีคนมาชวน เขาก็ไม่ปฏิเสธ และเมื่อมีผู้มาเรี่ยรายเงินสร้างวัดไทย ถ้ามีเงินอยู่ในกระเป๋า กายก็ไม่รีรอที่จะควักให้ไปอย่างเต็มอกเต็มใจ เรื่องศาสนา ดูไม่เป็นที่สนใจหรือเป็นปัญหายิ่งใหญ่เลยสำหรับครอบครัวนี้ แม้ว่าภรรยาชาวพื้นเมืองของเขาจะตื่นขึ้นตักบาตรทุกเช้าเป็นกิจวัตร และไปวัดทุกวันอุโบสถ แต่หล่อนก็สามารถอยู่กับสามีต่างชาติของหล่อนได้อย่างสงบ อย่างน้อยก็สงบพอสมควรตามสายตาของคนภายนอกตลอดมา
เช่นเดียวกับธิดาทั้งสองของเขา ทั้งอายานีและอนัตตา ต่างก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนนั้นเป็นฝ่ายไหนกันแน่ บิดาหรือมารดา บางครั้งหล่อนอาจจะไปวัดกับมารดา และเมื่อถึงคราวที่มีงานเทศกาลของคริสตศาสนิกชน หล่อนก็พร้อมที่จะไปร่วมเฉลิมฉลองรื่นเริงสนุกสนานกับเขาด้วย และก็ไม่มีใครจะสนใจในเรื่องศาสนาของหล่อนเช่นกัน กายมักจะพูดเสมอว่า
“เดี๋ยวนี้ความคิดของคนเราในเรื่องศาสนากว้างขวางขึ้นมากแล้ว ไม่คับแคบเหมือนเมื่อก่อน เพราะเราตระหนักดีแล้วว่าทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันทั้งนั้น คือมุ่งที่จะสอนให้เป็นคนดี”
แต่ที่แท้จริงนั้น เขาก็รู้แน่อยู่แก่ใจเหมือนกัน ว่า ที่ใครๆ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ในเมืองนั้นไม่สนใจในเรื่องศาสนาของลูกสาวของเขาเพราะอะไร ก็เพราะว่าเขาพากันสนใจในความงามของหล่อนเสียจนไม่มีความคิดเหลือพอที่จะไปสนใจในเรื่องอื่นนั่นเอง
แม้แต่ในขณะนี้ ขณะที่ลูกสาวทั้งสองของเขายังวุ่นวายอยู่กับการแต่งกายอยู่ที่บ้านนี้ กายผู้ซึ่งได้ไปถึงบ้านที่มีงานนั้นนานแล้วก็ยังคุยโอ่อยู่ท่ามกลางผู้ร่วมวงสนทนาของเขาว่า
“ความเป็นอยู่ในครอบครัวของผมนั้น มันก็เหมือนกับสลัดจานใหญ่ซึ่งไม่มีเขียนไว้ในตำรากับข้าวเล่มไหนเลยในโลก แต่ผมก็พอใจแล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยจริงๆ”
“อ๋อ ก็แน่ละซิ ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นคนกินสลัดจานนั้นนี่”
เป็นเสียงค้านอย่างสัพยอก ซึ่งตามมาด้วยเสียงฮาอย่างครื้นเครง กายเองก็พลอยหัวเราะไปด้วยกับคนอื่นๆ เช่นกัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำตั้งแต่ใบหูตลอดลงไปจนถึงลำคอ ซึ่งโผล่ออกมาจากเสื้อเชิ้ตเปิดคอที่ไม่สู้จะเรียบนัก มิใช่แดงเพราะความโกรธหรือความกระดากอายอย่างหนึ่งอย่างใดดอก แต่เป็นเพราะเจ้าน้ำที่อยู่ในขวดบนโต๊ะ ซึ่งเขาบ้าง และคนอื่นๆ บ้าง คอยรินเติมลงในแก้วของเขาไม่ขาดระยะนั่นเอง ที่เพิ่มสีแดงให้แก่ผิวของเขา และตราบใดที่กายอยู่ในภาวะแวดล้อมเช่นนี้ จะไม่มีใครหรือสิ่งใดในโลกนี้ มาทำให้อารมณ์ของเขาเสียได้เลย
“แต่ว่าเครื่องปรุงแต่ละอย่างในสลัดชามนั้นน่ะ ล้วนแต่วิเศษทั้งนั้นนะ” กายคุย
“แน่ละ ถ้าเลือกหยิบขึ้นมากินทีละอย่าง” เสียงเดิมขัดขึ้นอีก แล้วเสียงฮาก็ตามมาอีกครั้งหนึ่ง แต่กายก็มิไม่ได้รู้สึกเดือดร้อน เขารินเหล้าในขวดเดิมลงในแก้วจนเต็มแล้วก็ชูมันขึ้นสูง ร้องชวนด้วยเสียงดังจนได้ยินไปทั่วทั้งบริเวณลานกว้าง อันใช้เป็นที่ชุมนุมกันอยู่นั้น
“มา ผมขอให้พวกเรามาดื่มให้แก่สลัดจานวิเศษของผม”
แล้วก็มีเสียงเดิมนั้นร้องแทรกขึ้นอีกว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดื่มให้แก่เครื่องปรุงชิ้นเอกชิ้นหนึ่งในสลัดจานนั้น”
เสียงฮาซึ่งดังขึ้นเป็นวาระที่สามนั้น ทำให้บุคคลอีกวงหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปเกือบสามสิบหลาพากันหันมามองดูอย่างสงสัย บุคคลในวงที่สองนี้มีมากกว่าวงแรกถึงสองเท่า และต่างวัยกว่ามากนัก เพราะทุกคนในวงนี้ ต่างก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวด้วยกันทั้งสิ้น
“นั่นวงคนแก่เขามีดีอะไรกันนะ เสียงฮากันให้ลั่นๆ ไปเทียวนี่” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย ดวงตาสีดำสนิทของเขาเป็นประกายด้วยความสงสัยระคนด้วยความขบขัน พลอยสนุกไปกับสิ่งที่ได้ยินนั้น “พอล เสียงพ่อลื้อดังกว่าเพื่อนเลย”
“เสียงของพ่อก็ดังพอๆ กับเสียงของแม่นั่นแหละ แต่มันเป็นคนละชนิดกันเท่านั้นเอง” คำตอบเรื่อยๆ จากเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อว่า พอล รูปร่างและลักษณะของเขามองดูเด่นกว่าทุกคนที่จับกลุ่มนั่งอยู่รอบกองไฟที่เพิ่งจะก่อขึ้นเมื่อเริ่มจะค่ำ ดวงตาและผมของเขาเป็นสีเดียวกัน คือเป็นสีน้ำตาลอ่อน เส้นผมของเขาอ่อนสลวยและหยักเป็นลอน ดวงหน้าของเขายังอ่อน ดูไม่สมกับรูปร่างที่ค่อนข้างสูงใหญ่เสียเลย พอลเป็นลูกผสมเหมือนกัน มารดาของเขาเป็นอิตาเลียน และบิดาเป็นชาวอเมริกัน
“ตรงกันข้ามกับพ่อแม่ของกัน” เด็กหนุ่มที่มีผมดำตาดำกล่าว “ในบ้านของกันเงียบกริบทีเดียว ทั้งวันแม่กันกับพ่อกันแทบจะไม่ได้พูดกันเลย”
“ชีวิตครอบครัวของคนไทยก็เป็นยังงี้แทบทั้งนั้น” พอลว่า “เขาไม่ค่อยจะได้พูดกันด้วยคำพูด แต่พูดกันด้วยหัวใจ ใช่ไหมนิรันดร์”
นิรันดร์ยิ้มอย่างขบขัน “แกพูดยังกับนักประพันธ์เทียวนะ” เขาว่า แล้วก็ได้ยินเสียงแหลมๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยนั้นขัดขึ้นว่า
“พอลเขาไม่ได้เป็นนักประพันธ์หรอก นิรันดร์ เขาเป็นนักรักน่ะ เวลานี้เขากำลังตกอยู่ในความรัก รู้ไหม”
พร้อมๆ กับที่กล่าวประโยคนั้น หล่อนก็ชม้ายตาไปยังผู้ที่หล่อนกล่าวถึงอย่างหมั่นไส้แกมตัดพ้ออยู่ในที แต่พอลมิได้สนใจที่จะตอบโต้คำพูดหรือกิริยาท่าทางของหล่อน เพราะ เขามัวแต่หันไปมองยังทางเดินที่เลี้ยวออกมาจากแมกไม้ทางด้านขวามือของเขา นิรันดร์มองตาม ยิ้มอยู่ในหน้าอย่างรู้ใจ ขณะนั้นได้มีเสียงเล็กๆ แหลมๆ อีกเสียงหนึ่งดังมาจากกลุ่มที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟที่สุดว่า
“นี่ พวกผู้ชายน่ะ มาช่วยกันปิ้งเนื้อบ้างซี นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ได้ เอาเปรียบผู้หญิงจังเลย”
“อ้าว ก็หน้าที่ทำครัวมันหน้าที่ของผู้หญิงนี่นา” นิรันดร์ร้องตอบไปอย่างทันใจ “ขืนเข้าไปวุ่นวายด้วยก็จะถูกหาว่าก้าวก่ายเกินหน้าที่อีกนั่นแหละ”
“ใครว่าผู้หญิงมีหน้าที่ทำครัว” เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งร้องขึ้น “ดูแต่พ่อกันยังเข้าครัวทำหน้าที่ปรุงอาหารอยู่ทุกวันเลย”
“อ้าว ถ้าพ่อเป็นคนทำกับข้าวเสียแล้ว แม่นายทำอะไรล่ะ”
“ก็คอยตั้งนาฬิกาปลุกให้พ่อลุกขึ้นมาทำกับข้าวน่ะซี” เป็นคำตอบซึ่งก่อให้เกิดเสียงฮากันขึ้นอย่างครื้นเครง
แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าพอล มิได้พลอยหัวเราะไปกับคนอื่นด้วย เขาเพียงแต่ยิ้ม แล้วชำเลืองไปยังทางเดินด้วยทีท่ากระวนกระวาย นิรันดร์เหลือบตามองดูเพื่อน ยิ้มอย่างรู้ใจ ถามเบาๆ ว่า
“หล่อนบอกหรือเปล่าว่าจะมา”
“ฉันเชื่อว่าหล่อนต้องมาแน่” พอลตอบทันทีโดยมิทันได้คิดถามเสียด้วยซ้ำไป ว่าเพื่อนของเขาพูดถึงใคร และเมื่อรู้สึกตัว หน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที “อุวะ แกนี่” เขาร้อง แต่นิรันดร์หัวเราะบอกว่า
“แกจะอายฉันทำไมนะ ของพรรค์นี้ไม่ต้องบอกเขาก็รู้กันน่า แกน่ะรักหล่อนจริงๆ รึ พอล ฉันถามจริงๆ เถอะ”
“ในชีวิตฉันจะขาดหล่อนเสียไม่ได้เลย” เป็นคำตอบจากพอล เสียงของเขาจริงจังและหนักแน่นจนนิรันดร์ต้องหยุดหัวเราะ “ฉันมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่อายุได้เพียงสามขวบเท่านั้นเองนะนิรันดร์ ฉันรู้จักทั้งหญิงไทยและผู้หญิงชาติเดียวกับฉันมาก็มาก แต่ไม่มีใครที่จะเหมือนหล่อนเลยสักคนเดียว”
“แล้วหล่อนล่ะ หล่อนรักแกหรือเปล่า”
พอลมองเหม่อไปยังกองไฟที่ลุกเรืองอยู่ห่างออกไปนั้น เพื่อนวัยเดียวกันกับเขาอีกหลายคน ทั้งหญิงและชาย กำลังช่วยกันใช้เหล็กเล็กๆ แหลมและยาว เสียบชิ้นเนื้อยื่นเข้าไปเหนือเปลวไฟอยู่อย่างสนุกสนาน แต่ก็ดูเหมือนพอลจะมิได้เห็นภาพเหล่านั้น ดวงตาของเขาเหม่อลอย เสียงเคร่งขรึมเมื่อเขาตอบเพื่อนว่า
“ฉันไม่รู้ ฉันอ่านความคิดของหล่อนไม่ออก บางครั้งหล่อนก็ทำท่าว่าสนใจในตัวฉันเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นทั้งหมด แต่บางครั้งหล่อนก็ทำท่าเหมือนกับว่าไม่มีฉันอยู่ในโลกนี้เลย”
“นั่นเป็นเพราะว่าหล่อนยังเป็นเด็กอยู่มากน่ะซี” นิรันดร์ว่า แต่เพื่อนของเขาก็คัดค้านอย่างแข็งแรงทันที
“ไม่เด็ก หล่อนอายุสิบเจ็ดแล้วนะ ผู้หญิงอายุสิบเจ็ดน่ะ ไม่เด็กเลยสำหรับผู้ชายอายุยี่สิบเท่าฉัน”
“แล้วยังไง” นิรันดร์ซักต่อไป “แกคิดว่าถ้าหล่อนตกลงรับรักแกละก็ พ่อกับแม่ของแกจะยอมให้แต่งงานกับหล่อนรึ”
“พ่อคงไม่ว่าอะไร แต่คงจะให้รอต่อไปอีกหน่อย เพราะพ่อกำลังจะส่งฉันไปเรียนต่ออเมริกา แต่แม่... แม่ไม่ค่อยชอบหล่อนเสียเลย”
“พวกผู้หญิงอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครชอบหล่อนนัก” นิรันดร์ว่า พอลยักไหล่ เขาเหยียดริมฝีปากออกยิ้มพร้อมกันกับที่ชายตาไปทางกลุ่มผู้หญิงเหมือนดูถูก บอกว่า
“ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เป็นเพราะว่าพวกหล่อนอิจฉาที่สวยสู้หล่อนไม่ได้นั่นเอง” เขาหันกลับมามองไปยังทางเดินนั้นอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แช่มชื่นขึ้นมาในฉันพลัน เขาผุดลุกขึ้นยืน ร้องว่า
“หล่อนมาแล้วนั่นไงล่ะ นิรันดร์ หล่อนมาแล้ว โอ หล่อนช่างสวยงามน่ารักข่มความงามของผู้หญิงอื่นลงจนหมดสิ้นเช่นเคย…”