เวลาแห่งการรอคอยนั้นมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียจริง แต่ครั้นเมื่อการคอยสิ้นสุดลง เมื่อสิ่งที่คอยนั้นมาถึงเข้าจริงๆ เราก็มักจะรู้สึกว่า มันช่างมาถึงเร็วเหลือเกิน เช่นเดียวกันกับที่ขวัญกมลรอคอยวันที่จะได้ออกจากบ้าน ติดตามบิดาไปยังที่ทำงานในฐานะเลขานุการส่วนตัวดังนี้ ขวัญกมลเฝ้าคอยวันนั้นมานานเต็มทนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นลิงโลดใจ แต่พอมันมาถึงเข้าจริง ความลิงโลดใจก็ดูเหมือนจะลดลงไป และในความตื่นเต้นนั้นก็ดูเหมือนจะมีความหวาดหวั่นไม่แน่ใจ แทรกปนอยู่ด้วย
คุณแม่ออกจะใจดีอยู่ไม่น้อย ที่จัดหากระโปรงไว้ให้เธอนุ่งไปทำงานถึงสี่ตัว เป็นสีดำเสียสองตัว กับสีน้ำเงินเข้มและน้ำตาลอีกอย่างละตัว แล้วก็ยังเสื้อแบบเชิ้ตทั้งแขนสั้นแขนยาว ทั้งสีเรียบๆ และเป็นริ้ว บ้างก็เป็นตาหมากรุกถี่ยิบอีกถึงหกตัวด้วยกัน แต่ที่แสดงถึงความดีใจอย่างยิ่งของคุณแม่นั้น ก็คือรองเท้าที่ขวัญกมลจะได้ใส่ไปทำงานนั่นเอง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงรองเท้าสีดำและขาวอย่างละคู่ก็เถอะ แต่คุณแม่ก็ใจดี อนุญาตให้เธอเลือกแบบเอง
ขวัญกมลลองทำใจกล้าสั่งให้ช่างตัดส้นสูงถึงสามนิ้ว คุณแม่ก็เฉยไม่ว่าอะไร ทำให้ขวัญกมลนึกอยากจะเข้าไปจูบคุณแม่สักสามทีเป็นการแสดงความขอบคุณในความมีใจกว้างของคุณแม่ครั้งนี้
คุณพ่อมักจะออกจากบ้านในเวลาแปดโมงเช้า แต่ขวัญกมลลุกขึ้นแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยคอยอยู่ตั้งแต่หกโมง
แต่งตัวเสร็จแล้ว ขวัญกมลยังไม่กล้าออกมาจากห้อง กลัวใครๆ จะหาว่าเธอเห่อ โดยปกติ เจ็ดโมงกว่าเล็กน้อย ทุกคน คือคุณพ่อ คุณแม่ และตัวเธอเองมักจะลงมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารเพื่อบริโภคอาหารเช้า ขวัญกมลจึงใช้เวลาที่จะต้องคอยนั้นลองสวมรองเท้าเดินไปเดินมารอบๆ ห้อง และเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้ากระจกหลายเที่ยว เพื่อให้แน่ใจว่า เธอจะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ใส่รองเท้าส้นสูงไม่เป็น ใส่แล้วเดินเหมือนเป็ด” เหมือนอย่างกับที่เธอเองเคยได้ยินคนอื่นเขาโดนกันมา และบางที เธอเองก็คงจะได้เคยเผลอวิจารณ์คนอื่นไปแล้วอย่างนั้นบ้างก็ได้ ความจริงเมื่อคืนนี้เธอก็ทดลองดูบ้างแล้ว แต่เดินไม่ได้เต็มที่นัก เพราะเกรงใจคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ห้องถัดไป ต้องเขย่งปลายเท้าเดิน แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ยินเสียงคุณแม่ร้องถามมาจากห้องของท่านว่า
“นั่นทำอะไรน่ะ ขวัญกมล มดขึ้นอะไรหรือจ๊ะ”
คุณแม่หาว่าเธอเคาะไล่มด ถ้าขวัญกมลขืนลองซ้อมท่าเดินต่อไปอีกละก็ คุณแม่อาจจะเอา ดี.ดี.ที. เข้ามาช่วยฉีดไล่มดให้ก็ได้ ขวัญกมลจึงจำต้องถอดรองเท้าออกวางไว้บนหลังกล่อง นั่งมองนอนมอง ดูมันอย่างครึ้มอกครึ้มใจจนกระทั่งง่วงนอน
แต่ในตอนเช้านี่ไม่เป็นอะไร เพราะคุณแม่มักจะลุกขึ้นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ออกไปปลุกคนครัวให้ลุกขึ้นหุงข้าวใส่บาตรทุกวันเป็นกิจวัตร คุณแม่มีญาติคนหนึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดใกล้บ้านที่สุด ซึ่งขวัญกมลเรียกว่าหลวงลุง หลวงลุงองค์นี้บวชมานานนักหนาแล้ว และท่านก็พากเพียรที่จะเดินมารับบาตรที่บ้านได้ทุกวันไม่มีขาดเลย คุณแม่ก็เลยต้องลุกขึ้นปลุกคนครัวให้หุงข้าวให้ทันท่านมารับบาตรทุกวันเหมือนกัน แล้วท่านก็เลยควบคุมการทำอาหารเช้า บางครั้งก็ลงมือทำด้วยตนเองอีกด้วย ประมาณเจ็ดโมงเมื่ออาหารเช้าเสร็จแล้ว คุณแม่ถึงจะมาเคาะประตูปลุกให้ขวัญกมลลุกขึ้นแต่งตัวไปโรงเรียน แต่เดี๋ยวนี้คุณแม่ไม่ต้องทำหน้าที่นี้อีกต่อไปแล้ว นับตั้งแต่ขวัญกมลสอบไล่ชั้นเตรียมปีสุดท้ายจบมานี่ คุณแม่เคยถอนใจอย่างโล่งอกบอกว่า
“เฮอ หมดหน้าที่อย่างหนึ่งแล้วนะ”
แต่นั่นน่ะ หมายความว่า ท่านกำลังเตรียมจะหาหน้าที่อื่นเกี่ยวกับลูกสาวคนเดียวเข้ามาทำแทนหน้าที่ปลุกให้ไปโรงเรียนละ
ขวัญกมลเลือกกระโปรงสีดำตัวแคบ กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวตาหมากรุกสีน้ำตาลอ่อนสลับขาวเป็นชุดประเดิมการทำงานวันแรก แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ใส่รองเท้า ถือกระเป๋า ลองเดินไปเดินมาหน้ากระจก อ๊ะ ท่าทางภาคภูมิมีสง่าไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ต่อไปนี้จะต้องไม่มีคนมองดูเธออย่างเด็กกะเปี๊ยกอีกต่อไปแล้ว และคงจะไม่มีคนวิ่งออกไปซื้อไอศกรีมมาให้เธอเหมือนเมื่อก่อน ในเวลาที่เธอไปหาคุณพ่อที่ที่ทำงานอีกแน่ๆ แหม นี่ถ้าคุณแม่จะใจกว้างขึ้นอีกนิด คือซื้อลิปสติกสีอ่อนๆ ให้เธอสักแท่ง ท่านก็จะน่ารักขึ้นอีกเท่าหนึ่งทีเดียว แต่ก็ช่างเถอะ ทนไปอีกเดือนเดียว ขวัญกมลก็จะมีเงินซื้ออะไรต่ออะไรได้ตามใจชอบแล้ว
เจ็ดโมงกว่า ทุกคนมาพบกันที่โต๊ะอาหารตามเคย ขวัญกมลในเครื่องแต่งกายจะไปทำงานครบชุดเดินเข้าประตูห้องอาหารไปด้วยท่าทางที่พยายามทำให้เหมือนปกติ คุณแม่กำลังปรุงกาแฟให้คุณพ่อซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ คุณแม่เหลือบสายตาขึ้นมองดูเธอนิดหนึ่ง ยิ้มให้ แต่ไม่พูดว่ากระไร ทั้งๆ ที่ความจริงท่านน่าจะพูดว่า
“เออ เช้าวันนี้แม่ดูลูกเป็นสาวขึ้นเต็มตัวเทียวนะ ขวัญกมล” หรืออะไรทำนองนั้นสักหน่อย แต่ท่านก็ไม่พูด จนเมื่อขวัญกมลนั่งลงแล้ว ท่านจึงได้ถามว่า
“โอวัลตินอย่างเคยนะจ๊ะ สำหรับหนู”
คุณแม่ไม่ได้ถามว่า “เช้านี้ลองกาแฟสักหน่อยไหมจ๊ะ” เพราะฉะนั้น ขวัญกมลก็จำใจต้องดื่ม ‘โอวัลตินอย่างเคย’ อย่างที่ต้องดื่มมาเป็นประจำนับตั้งแต่เธออดนมมานั้นอีกตามเคย
คุณพ่อยังคงเพลินอยู่กับหนังสือ จนกระทั่งคุณแม่เตือนว่า
“คุณคะ ประเดี๋ยวกาแฟจะเย็นเสียหมดหรอก” นั่นแหละ คุณพ่อจึงได้พับหนังสือวางไว้บนเก้าอี้ข้างๆ ตัว หยิบถ้วยกาแฟขึ้นซด แล้วก็ยกขนมปังปิ้งทาเนยขึ้นกัดกรอบๆ อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวเลยสักนิดเดียว
นี่ทำไมทั้งสองคนถึงได้เป็นอย่างนี้ไปหมด นี่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้สังเกตเห็นบ้างหรือว่าเช้าวันนี้ลูกสาวได้มีอะไรผิดแผกแปลกตาไปบ้าง ขวัญกมลชักรู้สึกหงุดหงิด อาหารเช้าที่เธอบริโภคในวันนั้นก็ชักจะลดปริมาณลงไปกว่าวันธรรมดา
ต่อเมื่อได้เวลาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วนั่นแหละ คุณพ่อถึงได้ทักขึ้นมาเป็นคำแรกว่า
“เอ๊ะ วันนี้ทำไมพ่อถึงดูแกสูงนักล่ะ ยายขวัญ”
แล้วคุณพ่อก็มองดูเธอ ขวัญกมลถอยหลังออกมานิดหนึ่ง เพื่อให้พ่อมีโอกาสพิศดูเธอได้เต็มตา แต่คุณพ่อก็ไม่ยักพูดอะไรมากกว่านั้น นอกจากจะบอกว่า
“อ้อ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วนี่ ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
คุณพ่อขับรถมาทำงาน ปกติถ้าไม่ต้องไปส่งขวัญกมลที่โรงเรียน ท่านก็ขับมาคนเดียว และเมื่อท่านไปส่งขวัญกมลนั้น บางทีท่านก็ทำเหมือนกับว่าท่านนั่งมาคนเดียวเหมือนกัน นอกเสียจากว่าตอนที่ขวัญกมลจะลงไปจากรถนั่นแหละ คุณพ่อถึงจะบอกว่า
“แล้วตอนเย็น อย่ามัวไถลเล่นอยู่นะ พ่อขี้เกียจวานคนเข้าไปตามแก”
แต่วันนี้ขวัญกมลไม่ได้ไปโรงเรียน แถมเธอยังกำลังจะไปทำงานกับท่าน แต่คุณพ่อก็ทำยังกับว่าเธอมิได้มีหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องกับท่านต่อไปอยู่อย่างนั้นเองแหละ ท่านนั่งเฉย ขับรถด้วยความระมัดระวัง เพราะคุณแม่เคยกำชับอยู่ตลอดเวลาว่า
“ขับรถระวังหน่อยนะคะคุณ รถราสมัยนี้มันขับกันปรูดปราดน่าหวาดเสียว ดิฉันละเสียวไส้เสียจริงๆ ยิ่งเวลามีลูกนั่งไปด้วยแล้วยิ่งใจคอไม่ค่อยดีเลย”
แล้วตั้งแต่คุณพ่อมีลูกสาวติดรถไปส่งโรงเรียนด้วยนั้น คุณพ่อก็ขับรถด้วยความระมัดระวังตามคำกำชับกำชาของคุณแม่เสมอมา ทั้งๆ ที่ท่านเคยคุยนักคุยหนา ว่า เมื่อยังหนุ่มๆ อยู่นั้น ท่านเคยขับเร็วเสียจนกระทั่งเพื่อนหญิงที่นั่งไปด้วยเป็นลม คราวหนึ่งขวัญกมลยังเคยได้ขอให้ท่านแสดงความสามารถของท่านให้ดู คุณพ่อก็ทำตาม ขวัญกมลรู้สึกตื่นเต้นเมื่อสายลมพัดเข้ามาปะทะหน้าจนแสบ สนุกเมื่อหัวใจมันวิ่งขึ้นมาอยู่ที่คอแล้วก็หล่นวุ้บลงไปที่ท้องในตอนที่รถวิ่งข้ามสะพาน แต่แล้วยังไม่ทันไร ความเร็วของรถก็ชลอลง คุณพ่อบอกว่า
“แกทำให้พ่อลืมที่แม่เขากำชับมาเสียแล้วซี ต่อไปนี้อย่าชวนให้พ่อลืมตัวอย่างนี้อีกนะ ยายขวัญ”
แต่ถึงขวัญกมลจะไม่ชักชวนหรือเกลี้ยกล่อม คุณพ่อก็ไม่เคยลืมตัวอีกเลย แม้จนกระทั่งเธออายุตั้งสิบแปด และกำลังจะไปทำงานกับท่านอย่างเดี๋ยวนี้
คุณพ่อนำรถเข้าไปจอดไว้ในที่จอดรถของบริษัทอย่างเรียบร้อย บริษัทที่คุณพ่อทำงานอยู่นั้นเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียงทีเดียว มีสถาปนิกอยู่ถึงสิบห้าคน รวมทั้งตัวคุณพ่อที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเองอีกด้วย แต่ก็น่าเสียใจ ที่ผู้อำนวยการไม่ยักเป็นสถาปนิก เรื่องนี้ขวัญกมลเคยได้ยินคุณพ่อบ่นแกมปรารภอย่างหัวเสียกับคุณแม่เสมอ
“มันน่าเจ็บใจตอนที่ตอนจะตั้งบริษัทนั่น เรามีทุนไม่พอ” คุณพ่อว่าอย่างนี้ “คนที่เข้ามาเป็นหุ้นใหญ่มามีเสียงสั่งนั่นสั่งนี่ ถึงได้เป็นคนที่แทบจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำไป ว่าไอ้สามเหลี่ยมหน้าจั่วกับสามเหลี่ยมธรรมดานี่ มันแตกต่างกันยังไง รู้อยู่อย่างเดียวก็คือจะต้องกอบโกยเงินเข้าบริษัทให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เท่านั้น เพราะมันหมายความถึงเงินปันผลที่เขาจะได้ในปลายปีด้วย”
“พ่อบอกให้เขาตั้งโต๊ะให้แกในห้องทำงานของพ่อ”
คุณพ่อเพิ่งจะพูดถึงเรื่อง “งาน” กับขวัญกมลเป็นครั้งแรกในเช้าวันนั้น ในขณะที่ท่านเดินนำหน้าขวัญกมลเข้าไปทำงานโดยทางเดินด้านหลัง เพราะชั้นล่างของตัวตึกนั้น ใช้เป็นที่จำหน่ายอุปกรณ์ในการก่อสร้างทั้งหลาย พวกที่ทำงานในด้านธุรการข้างบน จึงมักจะใช้ทางเดินด้านหลัง ซึ่งตรงขึ้นไปยังที่ทำงานได้ทีเดียวโดยไม่ต้องผ่านเข้ามาทางหน้าร้าน
ขวัญกมลไม่ได้ตอบว่ากระไร เพราะคำพูดประโยคนั้นของคุณพ่อไม่ต้องการคำตอบ แล้วอีกอย่างหนึ่ง เธอก็กำลังสาละวนอยู่กับการจัดผม จัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปอยู่ด้วย ทั้งยังต้องสำรวมใจเพื่อที่จะวางท่าทางให้เหมาะสมแก่สายตาของทุกคนบนที่ทำงานนั้นเสียอีก
เวลาทำงานของบริษัทนี้คือเวลาแปดโมงครึ่ง เท่ากับเวลาทำงานของราชการเหมือนกัน นาฬิกาที่ข้อมือของขวัญกมล ซึ่งคุณพ่อซื้อให้เป็นรางวัลตั้งแต่เมื่อเธอสอบชั้นหกขึ้นเตรียมได้นั้นเพิ่งจะบอกเวลาแปดโมงกับอีกสิบสามนาทีเท่านั้นเอง ตามโต๊ะทำงานในห้องโถงตรงกลางจึงยังไม่ค่อยมีคนนั่งประจำอยู่เท่าไร ทุกคนยิ้มให้ขวัญกมลอย่างคุ้นเคย ขวัญกมลยิ้มตอบเขา แต่ในขณะเดียวกันนั้น สายตาของเธอก็กวาดไปจนทั่ว พร้อมกันสมองก็ทำงานด้านวิจัยไปด้วย
ลูกน้องของคุณพ่อนี่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายเสียมากกว่าผู้หญิง ไหน... มีคนไหนบ้างไหมที่มีรูปร่างหน้าตาพอจะเป็น “พระเอก” หรือ “เจ้าชายในฝัน” ได้บ้าง... เฮ้อ ดูไปแล้วหน้าตามันก็ชินไปเสียทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นจะมีใครที่จะมีลักษณะอะไรเด่นจับตาออกมาสักคนเดียว คนเหล่านี้เห็นจะไม่มีวันได้ย่างเหยียบล่วงล้ำเข้าไปในประตูหัวใจของขวัญกมลได้แน่ๆ
ห้องทำงานของคุณพ่อเป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศกว้างขวางพอใช้ เมื่อก่อนนี้ โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของคุณพ่อตั้งอยู่กลางห้องใกล้กับผนังด้านตรงข้ามประตูพอดี แต่เดี๋ยวนี้มันได้ถูกย้ายไปตั้งไว้ค่อนไปทางด้านขวาซึ่งอยู่ใกล้หน้าต่าง ส่วนทางด้านซ้ายซึ่งอยู่ระหว่างมุมผนังทึบทั้งสองด้านนั้น มีโต๊ะทำงานตัวเล็กตัวหนึ่งตั้งอยู่ นอกจากพิมพ์ดีดเครื่องหนึ่งแล้ว บนโต๊ะนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลยแม้แต่เศษกระดาษสักแผ่นเดียว
“นั่นแหละ โต๊ะทำงานของแกละ ยายขวัญ” คุณพ่อวางกระเป๋าเอกสารแล้วก็ม้วนกระดาษยาวๆ ที่ท่านถือติดมือมาจากบ้านด้วยนั้นลงบนโต๊ะตัวใหญ่ พยักหน้าไปทางโต๊ะตัวเล็ก “หน้าที่ของแกก็คือต้องจดร่างจดหมายซึ่งพ่อจะบอกให้ แล้วเอาไปพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง กับคอยจดบันทึกว่า พ่อมีนัดกับใคร เมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาอะไร แล้วต้องคอยเตือนพ่อด้วย”
“แค่นี้เองน่ะหรือคะ คุณพ่อ” ขวัญกมลถาม เดินไปนั่งลงที่โต๊ะของเธอ มันก็น่าตื่นเต้นพอใช้เหมือนกันที่เดี๋ยวนี้เธอมีโต๊ะทำงานส่วนตัว ที่ไม่ใช่โต๊ะเรียน หรือโต๊ะเขียนหนังสือที่บ้าน ซึ่งคุณแม่จัดหามาให้สำหรับให้เธอทำการบ้านอีกต่อไป “แต่ขวัญไม่มีอะไรสักอย่างเดียวนี่คะ ที่จะทำงานอย่างที่คุณพ่อบอกนั้น เป็นต้นว่าสมุดจดคำบอก เมโมแรนดั่มสำหรับบันทึก หรือแม้แต่แท่นสำหรับวางดินสอปากกา”
ขวัญกมลเรียกร้องเครื่องใช้สำหรับเลขานุการเท่าที่พอจะนึกออกจากการจดจำไว้จากหนังที่เคยดู
“ประเดี๋ยวจะจัดการให้” คุณพ่อบอก “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าทำงาน เจ้าหน้าที่แผนกพัสดุเขาอาจจะยังไม่มาก็ได้ นั่ งเล่นไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน”
นั่งเล่น ไม่ละ เรื่องอะไรขวัญกมลถึงจะนั่งเล่นเฉยๆ ให้เสียเวลา เธอต้องคิดกะเสียก่อนว่าจะเอาอะไรวางไว้ตรงไหนบนโต๊ะนี้ ถึงจะดูสวยงามเป็นระเบียบ แท่นตั้งปากกาควรจะอยู่ตรงมุมขวาของโต๊ะ จะได้เอื้อมมือหยิบได้สะดวกโดยไม่ต้องข้ามพิมพ์ดีด เมโมแรนดั่มต้องวางไว้คู่กันจึงจะเหมาะ สมุดจดคำบอกต้องเก็บไว้ในลิ้นชัก เอ ถ้าอย่างนั้นทางมุมซ้ายมันก็ว่างโหลงโจ้งไปซีนะ
“คุณพ่อคะ”
“ว่าไง” คุณพ่อถามโดยไม่เงยหน้าจากกระดาษแผ่นใหญ่ที่คลี่ออกจากม้วนกางลงบนโต๊ะตรงหน้า
“บนโต๊ะนี่หนูเอาแจกันปักดอกไม้มาตั้งไว้สักอันได้ไหมคะ”
“ตามใจซี” คุณพ่อพูดเหมือนไม่รู้สึกเลยว่าแจกันปักดอกไม้จะทำให้ห้องทำงานเปลี่ยนแปลกไปได้ตรงไหน
ดีละ ขวัญกมลมีแจกันใบป้อมอยู่ใบหนึ่งซึ่งเพื่อนให้เป็นของขวัญวันเกิดหลายปีมาแล้ว ทำด้วยกระเบื้องสีเหลืองใสแจ๋ว มีลายสีดำเป็นปื้นซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร ถ้าเอามาตั้งไว้ที่มุมโต๊ะข้างซ้ายนี้ บนผ้ารองจานรูปกลมสีขาวแท้ตติ้ง ซึ่งเธอต้องพากเพียรใช้เวลาถักอยู่ถึงหนึ่งปีเพื่อคะแนนในการสอบไล่ แล้วหาดอกกุหลาบสีเหลืองหรือสีแดงสดสักสองดอกมาปักไว้ละก็ มันจะทำให้บรรยากาศในห้องทำงานนี้สดชื่น เรียกร้องให้ใครต่อใครเข้ามากันอีกแยะทีเดียว ไม่เชื่อก็คอยดู
“ผู้จัดการครับ”
ขณะที่ขวัญกมลกำลังนั่งสร้างจินตนาการอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไม่มีการเคาะให้เสียง พร้อมด้วยเสียงร้องเรียกผู้จัดการราวกับว่าคนที่ถูกเรียกนั้นมีโสตประสาทไม่สู้จะสมบูรณ์นัก ตามติดมาในขณะเดียวกัน เขาผู้เป็นเจ้าของเสียงชะงักอยู่ตรงประตูนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าในห้องนั้นมิได้มีแต่ผู้จัดการนั่งอยู่ตามลำพังคนเดียวอย่างที่เคยมา แต่เมื่อมองเห็นถนัดว่าใครเป็นใคร เขาก็ยิ้มให้ขวัญกมลอย่างคุ้นเคย พร้อมกันกับที่คุณพ่อเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษถามว่า
“อะไรหรือ เกาศัย”
“ภัตตาคารที่จะเปิดใหม่นั้นมีหนังสือมาเร่งอีกแล้วครับ ว่าจะให้ส่งประมูลราคาโต๊ะเก้าอี้เสียที เขาจะหมดกำหนดวันที่สามนี่แล้ว”
“เฮอ” คุณพ่อถอนใจหนักๆ ซึ่งเป็นบทแรกของชีวิตการทำงานประจำวันที่ขวัญกมลเริ่มได้เห็นและเรียนรู้ในวันนี้ “เรื่องมันยุ่งอยู่เพราะพวกเจ้าประคุณบรรดาหุ้นส่วนใหญ่ๆ ทั้งหลายคิดจะกอบโกยเอากำไรให้มากๆ เท่านั้นเองแหละ มันถึงได้ล่าช้ามายังงี้ เอาเถอะประเดี๋ยวผมจะเรียกประชุมเอง ตอนเย็นก็คงจะรู้เรื่องว่าเขาจะเอาหรือไม่เอา แล้วพรุ่งนี้ก็ให้คนเอาซองไปให้เขาก็แล้วกัน นี่ผมหมายความว่าถ้าพวกหุ้นส่วนเขายอมตัดเลขเงินปันผลปลายปีของเขาลงสักเลขหนึ่งนะ”
“ยอมตัดเสียเลขหนึ่งยังดีกว่าไม่มีอะไรจะให้ตัดเลย” คนที่ชื่อเกาศัยว่า ขยับจะถอยออกไป แต่ถูก ‘ผู้จัดการ’ เรียกเอาไว้อีก
“นี่แน่ะ เกาศัย ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหม ช่วยพายายขวัญไปที่แผนกพัสดุทีเถอะ แล้วช่วยเบิกอะไรๆ ที่แกต้องใช้ให้ด้วย” แล้วคุณพ่อก็หันมาพยักหน้ากับเธอบอกว่า “ไปกับเกาศัยเขาซี”
ผู้ชายที่ชื่อเกาศัยหันมายิ้มยิงฟันขาวกับเธอ ขวัญกมลจึงลุกขึ้น เดินตามเขาออกจากห้องไปยังห้องแผนกพัสดุ และโดยที่ไม่ได้ถามเธอว่าต้องการอะไรบ้าง นายเกาศัยคนนั้นก็จัดแจงเขียนรายชื่อเบิกของให้เธอเสร็จสรรพ ซึ่งเมื่อได้ของมาแล้ว ปรากฏว่ามันมากกว่าที่ขวัญกมลกะเอาไว้เสียด้วยซ้ำ นายเกาศัย วางของที่ได้มานั้นลงในอ้อมแขนของขวัญกมลอย่างไม่ค่อยจะอ่อนโยนนัก น้ำหนักของมันทำให้ขวัญกมล ถึงกับต้องย่อตัวลงนิดหน่อย ซึ่งทำให้เธอชักฉุนกึกขึ้นมา เพราะผู้หญิงสองคนและผู้ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องนั้นพากันมองดูแล้วยิ้มอย่างขัน เขามาทำให้บุคลิกของเธอเสียไปต่อหน้าคนตั้งสามคน
“เอ้า ครบถ้วนแล้วครับ ของใช้สำหรับเลขานุการ รับรองว่าไม่มีขาดตกบกพร่องสักอย่างเดียว ยังขาดอยู่ก็แต่ไอศกรีม ซึ่งเห็นจะต้องใส่กระติกเอามาเองเท่านั้น”
แล้วเขาก็ยิ้มยิงฟันขาวอีกครั้งหนึ่ง และขวัญกมลก็ตัดสินใจในวินาทีนั้นเองว่า อีตาคนนี้ไม่มีวันที่จะได้เดินผ่านประตูหัวใจของผู้หญิงคนไหนเข้าไปได้อย่างเด็ดขาด