หัวใจไม่มีประตู

>> สุภาว์ เทวกุล

หัวใจไม่มีประตู

บทที่ 2

เวลาแห่งการรอคอยนั้นมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียจริง   แต่ครั้นเมื่อการคอยสิ้นสุดลง  เมื่อสิ่งที่คอยนั้นมาถึงเข้าจริงๆ   เราก็มักจะรู้สึกว่า มันช่างมาถึงเร็วเหลือเกิน   เช่นเดียวกันกับที่ขวัญกมลรอคอยวันที่จะได้ออกจากบ้าน ติดตามบิดาไปยังที่ทำงานในฐานะเลขานุการส่วนตัวดังนี้   ขวัญกมลเฝ้าคอยวันนั้นมานานเต็มทนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นลิงโลดใจ แต่พอมันมาถึงเข้าจริง   ความลิงโลดใจก็ดูเหมือนจะลดลงไป  และในความตื่นเต้นนั้นก็ดูเหมือนจะมีความหวาดหวั่นไม่แน่ใจ แทรกปนอยู่ด้วย

คุณแม่ออกจะใจดีอยู่ไม่น้อย   ที่จัดหากระโปรงไว้ให้เธอนุ่งไปทำงานถึงสี่ตัว  เป็นสีดำเสียสองตัว กับสีน้ำเงินเข้มและน้ำตาลอีกอย่างละตัว   แล้วก็ยังเสื้อแบบเชิ้ตทั้งแขนสั้นแขนยาว   ทั้งสีเรียบๆ และเป็นริ้ว   บ้างก็เป็นตาหมากรุกถี่ยิบอีกถึงหกตัวด้วยกัน  แต่ที่แสดงถึงความดีใจอย่างยิ่งของคุณแม่นั้น ก็คือรองเท้าที่ขวัญกมลจะได้ใส่ไปทำงานนั่นเอง   ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงรองเท้าสีดำและขาวอย่างละคู่ก็เถอะ   แต่คุณแม่ก็ใจดี   อนุญาตให้เธอเลือกแบบเอง

ขวัญกมลลองทำใจกล้าสั่งให้ช่างตัดส้นสูงถึงสามนิ้ว   คุณแม่ก็เฉยไม่ว่าอะไร   ทำให้ขวัญกมลนึกอยากจะเข้าไปจูบคุณแม่สักสามทีเป็นการแสดงความขอบคุณในความมีใจกว้างของคุณแม่ครั้งนี้

คุณพ่อมักจะออกจากบ้านในเวลาแปดโมงเช้า  แต่ขวัญกมลลุกขึ้นแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยคอยอยู่ตั้งแต่หกโมง

แต่งตัวเสร็จแล้ว ขวัญกมลยังไม่กล้าออกมาจากห้อง  กลัวใครๆ จะหาว่าเธอเห่อ โดยปกติ เจ็ดโมงกว่าเล็กน้อย   ทุกคน คือคุณพ่อ คุณแม่  และตัวเธอเองมักจะลงมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารเพื่อบริโภคอาหารเช้า   ขวัญกมลจึงใช้เวลาที่จะต้องคอยนั้นลองสวมรองเท้าเดินไปเดินมารอบๆ ห้อง   และเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้ากระจกหลายเที่ยว เพื่อให้แน่ใจว่า เธอจะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า   “ใส่รองเท้าส้นสูงไม่เป็น ใส่แล้วเดินเหมือนเป็ด”   เหมือนอย่างกับที่เธอเองเคยได้ยินคนอื่นเขาโดนกันมา   และบางที เธอเองก็คงจะได้เคยเผลอวิจารณ์คนอื่นไปแล้วอย่างนั้นบ้างก็ได้   ความจริงเมื่อคืนนี้เธอก็ทดลองดูบ้างแล้ว   แต่เดินไม่ได้เต็มที่นัก  เพราะเกรงใจคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ห้องถัดไป   ต้องเขย่งปลายเท้าเดิน  แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ยินเสียงคุณแม่ร้องถามมาจากห้องของท่านว่า

“นั่นทำอะไรน่ะ  ขวัญกมล   มดขึ้นอะไรหรือจ๊ะ”

คุณแม่หาว่าเธอเคาะไล่มด   ถ้าขวัญกมลขืนลองซ้อมท่าเดินต่อไปอีกละก็  คุณแม่อาจจะเอา ดี.ดี.ที. เข้ามาช่วยฉีดไล่มดให้ก็ได้   ขวัญกมลจึงจำต้องถอดรองเท้าออกวางไว้บนหลังกล่อง   นั่งมองนอนมอง ดูมันอย่างครึ้มอกครึ้มใจจนกระทั่งง่วงนอน

แต่ในตอนเช้านี่ไม่เป็นอะไร  เพราะคุณแม่มักจะลุกขึ้นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง   ออกไปปลุกคนครัวให้ลุกขึ้นหุงข้าวใส่บาตรทุกวันเป็นกิจวัตร   คุณแม่มีญาติคนหนึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดใกล้บ้านที่สุด  ซึ่งขวัญกมลเรียกว่าหลวงลุง   หลวงลุงองค์นี้บวชมานานนักหนาแล้ว   และท่านก็พากเพียรที่จะเดินมารับบาตรที่บ้านได้ทุกวันไม่มีขาดเลย  คุณแม่ก็เลยต้องลุกขึ้นปลุกคนครัวให้หุงข้าวให้ทันท่านมารับบาตรทุกวันเหมือนกัน  แล้วท่านก็เลยควบคุมการทำอาหารเช้า   บางครั้งก็ลงมือทำด้วยตนเองอีกด้วย   ประมาณเจ็ดโมงเมื่ออาหารเช้าเสร็จแล้ว คุณแม่ถึงจะมาเคาะประตูปลุกให้ขวัญกมลลุกขึ้นแต่งตัวไปโรงเรียน   แต่เดี๋ยวนี้คุณแม่ไม่ต้องทำหน้าที่นี้อีกต่อไปแล้ว   นับตั้งแต่ขวัญกมลสอบไล่ชั้นเตรียมปีสุดท้ายจบมานี่   คุณแม่เคยถอนใจอย่างโล่งอกบอกว่า

“เฮอ หมดหน้าที่อย่างหนึ่งแล้วนะ”

แต่นั่นน่ะ หมายความว่า ท่านกำลังเตรียมจะหาหน้าที่อื่นเกี่ยวกับลูกสาวคนเดียวเข้ามาทำแทนหน้าที่ปลุกให้ไปโรงเรียนละ

ขวัญกมลเลือกกระโปรงสีดำตัวแคบ กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวตาหมากรุกสีน้ำตาลอ่อนสลับขาวเป็นชุดประเดิมการทำงานวันแรก   แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย   ใส่รองเท้า ถือกระเป๋า   ลองเดินไปเดินมาหน้ากระจก   อ๊ะ ท่าทางภาคภูมิมีสง่าไม่ใช่เล่นเหมือนกัน   ต่อไปนี้จะต้องไม่มีคนมองดูเธออย่างเด็กกะเปี๊ยกอีกต่อไปแล้ว   และคงจะไม่มีคนวิ่งออกไปซื้อไอศกรีมมาให้เธอเหมือนเมื่อก่อน ในเวลาที่เธอไปหาคุณพ่อที่ที่ทำงานอีกแน่ๆ   แหม นี่ถ้าคุณแม่จะใจกว้างขึ้นอีกนิด คือซื้อลิปสติกสีอ่อนๆ ให้เธอสักแท่ง   ท่านก็จะน่ารักขึ้นอีกเท่าหนึ่งทีเดียว   แต่ก็ช่างเถอะ  ทนไปอีกเดือนเดียว  ขวัญกมลก็จะมีเงินซื้ออะไรต่ออะไรได้ตามใจชอบแล้ว

เจ็ดโมงกว่า   ทุกคนมาพบกันที่โต๊ะอาหารตามเคย   ขวัญกมลในเครื่องแต่งกายจะไปทำงานครบชุดเดินเข้าประตูห้องอาหารไปด้วยท่าทางที่พยายามทำให้เหมือนปกติ   คุณแม่กำลังปรุงกาแฟให้คุณพ่อซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่   คุณแม่เหลือบสายตาขึ้นมองดูเธอนิดหนึ่ง   ยิ้มให้  แต่ไม่พูดว่ากระไร  ทั้งๆ ที่ความจริงท่านน่าจะพูดว่า

“เออ   เช้าวันนี้แม่ดูลูกเป็นสาวขึ้นเต็มตัวเทียวนะ ขวัญกมล”  หรืออะไรทำนองนั้นสักหน่อย  แต่ท่านก็ไม่พูด จนเมื่อขวัญกมลนั่งลงแล้ว ท่านจึงได้ถามว่า

“โอวัลตินอย่างเคยนะจ๊ะ  สำหรับหนู”

คุณแม่ไม่ได้ถามว่า   “เช้านี้ลองกาแฟสักหน่อยไหมจ๊ะ”   เพราะฉะนั้น ขวัญกมลก็จำใจต้องดื่ม   ‘โอวัลตินอย่างเคย’   อย่างที่ต้องดื่มมาเป็นประจำนับตั้งแต่เธออดนมมานั้นอีกตามเคย

คุณพ่อยังคงเพลินอยู่กับหนังสือ  จนกระทั่งคุณแม่เตือนว่า

“คุณคะ  ประเดี๋ยวกาแฟจะเย็นเสียหมดหรอก”   นั่นแหละ คุณพ่อจึงได้พับหนังสือวางไว้บนเก้าอี้ข้างๆ ตัว   หยิบถ้วยกาแฟขึ้นซด แล้วก็ยกขนมปังปิ้งทาเนยขึ้นกัดกรอบๆ อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวเลยสักนิดเดียว

นี่ทำไมทั้งสองคนถึงได้เป็นอย่างนี้ไปหมด นี่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้สังเกตเห็นบ้างหรือว่าเช้าวันนี้ลูกสาวได้มีอะไรผิดแผกแปลกตาไปบ้าง ขวัญกมลชักรู้สึกหงุดหงิด   อาหารเช้าที่เธอบริโภคในวันนั้นก็ชักจะลดปริมาณลงไปกว่าวันธรรมดา

ต่อเมื่อได้เวลาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วนั่นแหละ  คุณพ่อถึงได้ทักขึ้นมาเป็นคำแรกว่า

“เอ๊ะ  วันนี้ทำไมพ่อถึงดูแกสูงนักล่ะ  ยายขวัญ”

แล้วคุณพ่อก็มองดูเธอ   ขวัญกมลถอยหลังออกมานิดหนึ่ง เพื่อให้พ่อมีโอกาสพิศดูเธอได้เต็มตา แต่คุณพ่อก็ไม่ยักพูดอะไรมากกว่านั้น นอกจากจะบอกว่า

“อ้อ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วนี่  ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”

คุณพ่อขับรถมาทำงาน   ปกติถ้าไม่ต้องไปส่งขวัญกมลที่โรงเรียน ท่านก็ขับมาคนเดียว และเมื่อท่านไปส่งขวัญกมลนั้น  บางทีท่านก็ทำเหมือนกับว่าท่านนั่งมาคนเดียวเหมือนกัน   นอกเสียจากว่าตอนที่ขวัญกมลจะลงไปจากรถนั่นแหละ   คุณพ่อถึงจะบอกว่า

“แล้วตอนเย็น  อย่ามัวไถลเล่นอยู่นะ   พ่อขี้เกียจวานคนเข้าไปตามแก”

แต่วันนี้ขวัญกมลไม่ได้ไปโรงเรียน   แถมเธอยังกำลังจะไปทำงานกับท่าน   แต่คุณพ่อก็ทำยังกับว่าเธอมิได้มีหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องกับท่านต่อไปอยู่อย่างนั้นเองแหละ   ท่านนั่งเฉย ขับรถด้วยความระมัดระวัง  เพราะคุณแม่เคยกำชับอยู่ตลอดเวลาว่า

“ขับรถระวังหน่อยนะคะคุณ   รถราสมัยนี้มันขับกันปรูดปราดน่าหวาดเสียว   ดิฉันละเสียวไส้เสียจริงๆ   ยิ่งเวลามีลูกนั่งไปด้วยแล้วยิ่งใจคอไม่ค่อยดีเลย”

แล้วตั้งแต่คุณพ่อมีลูกสาวติดรถไปส่งโรงเรียนด้วยนั้น   คุณพ่อก็ขับรถด้วยความระมัดระวังตามคำกำชับกำชาของคุณแม่เสมอมา  ทั้งๆ ที่ท่านเคยคุยนักคุยหนา  ว่า เมื่อยังหนุ่มๆ อยู่นั้น  ท่านเคยขับเร็วเสียจนกระทั่งเพื่อนหญิงที่นั่งไปด้วยเป็นลม   คราวหนึ่งขวัญกมลยังเคยได้ขอให้ท่านแสดงความสามารถของท่านให้ดู   คุณพ่อก็ทำตาม   ขวัญกมลรู้สึกตื่นเต้นเมื่อสายลมพัดเข้ามาปะทะหน้าจนแสบ  สนุกเมื่อหัวใจมันวิ่งขึ้นมาอยู่ที่คอแล้วก็หล่นวุ้บลงไปที่ท้องในตอนที่รถวิ่งข้ามสะพาน  แต่แล้วยังไม่ทันไร   ความเร็วของรถก็ชลอลง   คุณพ่อบอกว่า

“แกทำให้พ่อลืมที่แม่เขากำชับมาเสียแล้วซี   ต่อไปนี้อย่าชวนให้พ่อลืมตัวอย่างนี้อีกนะ ยายขวัญ”

แต่ถึงขวัญกมลจะไม่ชักชวนหรือเกลี้ยกล่อม  คุณพ่อก็ไม่เคยลืมตัวอีกเลย  แม้จนกระทั่งเธออายุตั้งสิบแปด และกำลังจะไปทำงานกับท่านอย่างเดี๋ยวนี้

คุณพ่อนำรถเข้าไปจอดไว้ในที่จอดรถของบริษัทอย่างเรียบร้อย  บริษัทที่คุณพ่อทำงานอยู่นั้นเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียงทีเดียว  มีสถาปนิกอยู่ถึงสิบห้าคน  รวมทั้งตัวคุณพ่อที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเองอีกด้วย   แต่ก็น่าเสียใจ ที่ผู้อำนวยการไม่ยักเป็นสถาปนิก   เรื่องนี้ขวัญกมลเคยได้ยินคุณพ่อบ่นแกมปรารภอย่างหัวเสียกับคุณแม่เสมอ

“มันน่าเจ็บใจตอนที่ตอนจะตั้งบริษัทนั่น เรามีทุนไม่พอ”  คุณพ่อว่าอย่างนี้   “คนที่เข้ามาเป็นหุ้นใหญ่มามีเสียงสั่งนั่นสั่งนี่ ถึงได้เป็นคนที่แทบจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำไป ว่าไอ้สามเหลี่ยมหน้าจั่วกับสามเหลี่ยมธรรมดานี่ มันแตกต่างกันยังไง   รู้อยู่อย่างเดียวก็คือจะต้องกอบโกยเงินเข้าบริษัทให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เท่านั้น  เพราะมันหมายความถึงเงินปันผลที่เขาจะได้ในปลายปีด้วย”

“พ่อบอกให้เขาตั้งโต๊ะให้แกในห้องทำงานของพ่อ”

คุณพ่อเพิ่งจะพูดถึงเรื่อง   “งาน”  กับขวัญกมลเป็นครั้งแรกในเช้าวันนั้น ในขณะที่ท่านเดินนำหน้าขวัญกมลเข้าไปทำงานโดยทางเดินด้านหลัง   เพราะชั้นล่างของตัวตึกนั้น ใช้เป็นที่จำหน่ายอุปกรณ์ในการก่อสร้างทั้งหลาย  พวกที่ทำงานในด้านธุรการข้างบน จึงมักจะใช้ทางเดินด้านหลัง  ซึ่งตรงขึ้นไปยังที่ทำงานได้ทีเดียวโดยไม่ต้องผ่านเข้ามาทางหน้าร้าน

ขวัญกมลไม่ได้ตอบว่ากระไร เพราะคำพูดประโยคนั้นของคุณพ่อไม่ต้องการคำตอบ   แล้วอีกอย่างหนึ่ง เธอก็กำลังสาละวนอยู่กับการจัดผม จัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปอยู่ด้วย   ทั้งยังต้องสำรวมใจเพื่อที่จะวางท่าทางให้เหมาะสมแก่สายตาของทุกคนบนที่ทำงานนั้นเสียอีก

เวลาทำงานของบริษัทนี้คือเวลาแปดโมงครึ่ง เท่ากับเวลาทำงานของราชการเหมือนกัน นาฬิกาที่ข้อมือของขวัญกมล  ซึ่งคุณพ่อซื้อให้เป็นรางวัลตั้งแต่เมื่อเธอสอบชั้นหกขึ้นเตรียมได้นั้นเพิ่งจะบอกเวลาแปดโมงกับอีกสิบสามนาทีเท่านั้นเอง   ตามโต๊ะทำงานในห้องโถงตรงกลางจึงยังไม่ค่อยมีคนนั่งประจำอยู่เท่าไร   ทุกคนยิ้มให้ขวัญกมลอย่างคุ้นเคย   ขวัญกมลยิ้มตอบเขา  แต่ในขณะเดียวกันนั้น สายตาของเธอก็กวาดไปจนทั่ว  พร้อมกันสมองก็ทำงานด้านวิจัยไปด้วย

ลูกน้องของคุณพ่อนี่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายเสียมากกว่าผู้หญิง   ไหน...   มีคนไหนบ้างไหมที่มีรูปร่างหน้าตาพอจะเป็น   “พระเอก”  หรือ   “เจ้าชายในฝัน”  ได้บ้าง...  เฮ้อ ดูไปแล้วหน้าตามันก็ชินไปเสียทั้งนั้นแหละ   ไม่เห็นจะมีใครที่จะมีลักษณะอะไรเด่นจับตาออกมาสักคนเดียว   คนเหล่านี้เห็นจะไม่มีวันได้ย่างเหยียบล่วงล้ำเข้าไปในประตูหัวใจของขวัญกมลได้แน่ๆ

ห้องทำงานของคุณพ่อเป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศกว้างขวางพอใช้   เมื่อก่อนนี้  โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของคุณพ่อตั้งอยู่กลางห้องใกล้กับผนังด้านตรงข้ามประตูพอดี   แต่เดี๋ยวนี้มันได้ถูกย้ายไปตั้งไว้ค่อนไปทางด้านขวาซึ่งอยู่ใกล้หน้าต่าง  ส่วนทางด้านซ้ายซึ่งอยู่ระหว่างมุมผนังทึบทั้งสองด้านนั้น มีโต๊ะทำงานตัวเล็กตัวหนึ่งตั้งอยู่   นอกจากพิมพ์ดีดเครื่องหนึ่งแล้ว   บนโต๊ะนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลยแม้แต่เศษกระดาษสักแผ่นเดียว

“นั่นแหละ   โต๊ะทำงานของแกละ ยายขวัญ”  คุณพ่อวางกระเป๋าเอกสารแล้วก็ม้วนกระดาษยาวๆ ที่ท่านถือติดมือมาจากบ้านด้วยนั้นลงบนโต๊ะตัวใหญ่   พยักหน้าไปทางโต๊ะตัวเล็ก “หน้าที่ของแกก็คือต้องจดร่างจดหมายซึ่งพ่อจะบอกให้ แล้วเอาไปพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง   กับคอยจดบันทึกว่า พ่อมีนัดกับใคร  เมื่อไหร่   ที่ไหน  เวลาอะไร  แล้วต้องคอยเตือนพ่อด้วย”

“แค่นี้เองน่ะหรือคะ คุณพ่อ”   ขวัญกมลถาม เดินไปนั่งลงที่โต๊ะของเธอ  มันก็น่าตื่นเต้นพอใช้เหมือนกันที่เดี๋ยวนี้เธอมีโต๊ะทำงานส่วนตัว ที่ไม่ใช่โต๊ะเรียน หรือโต๊ะเขียนหนังสือที่บ้าน ซึ่งคุณแม่จัดหามาให้สำหรับให้เธอทำการบ้านอีกต่อไป   “แต่ขวัญไม่มีอะไรสักอย่างเดียวนี่คะ   ที่จะทำงานอย่างที่คุณพ่อบอกนั้น   เป็นต้นว่าสมุดจดคำบอก   เมโมแรนดั่มสำหรับบันทึก   หรือแม้แต่แท่นสำหรับวางดินสอปากกา”

ขวัญกมลเรียกร้องเครื่องใช้สำหรับเลขานุการเท่าที่พอจะนึกออกจากการจดจำไว้จากหนังที่เคยดู

“ประเดี๋ยวจะจัดการให้”   คุณพ่อบอก   “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าทำงาน  เจ้าหน้าที่แผนกพัสดุเขาอาจจะยังไม่มาก็ได้ นั่ งเล่นไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน”

นั่งเล่น   ไม่ละ เรื่องอะไรขวัญกมลถึงจะนั่งเล่นเฉยๆ  ให้เสียเวลา   เธอต้องคิดกะเสียก่อนว่าจะเอาอะไรวางไว้ตรงไหนบนโต๊ะนี้   ถึงจะดูสวยงามเป็นระเบียบ   แท่นตั้งปากกาควรจะอยู่ตรงมุมขวาของโต๊ะ   จะได้เอื้อมมือหยิบได้สะดวกโดยไม่ต้องข้ามพิมพ์ดีด เมโมแรนดั่มต้องวางไว้คู่กันจึงจะเหมาะ   สมุดจดคำบอกต้องเก็บไว้ในลิ้นชัก   เอ ถ้าอย่างนั้นทางมุมซ้ายมันก็ว่างโหลงโจ้งไปซีนะ

“คุณพ่อคะ”

“ว่าไง”   คุณพ่อถามโดยไม่เงยหน้าจากกระดาษแผ่นใหญ่ที่คลี่ออกจากม้วนกางลงบนโต๊ะตรงหน้า

“บนโต๊ะนี่หนูเอาแจกันปักดอกไม้มาตั้งไว้สักอันได้ไหมคะ”

“ตามใจซี”   คุณพ่อพูดเหมือนไม่รู้สึกเลยว่าแจกันปักดอกไม้จะทำให้ห้องทำงานเปลี่ยนแปลกไปได้ตรงไหน

ดีละ ขวัญกมลมีแจกันใบป้อมอยู่ใบหนึ่งซึ่งเพื่อนให้เป็นของขวัญวันเกิดหลายปีมาแล้ว ทำด้วยกระเบื้องสีเหลืองใสแจ๋ว มีลายสีดำเป็นปื้นซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร ถ้าเอามาตั้งไว้ที่มุมโต๊ะข้างซ้ายนี้   บนผ้ารองจานรูปกลมสีขาวแท้ตติ้ง ซึ่งเธอต้องพากเพียรใช้เวลาถักอยู่ถึงหนึ่งปีเพื่อคะแนนในการสอบไล่ แล้วหาดอกกุหลาบสีเหลืองหรือสีแดงสดสักสองดอกมาปักไว้ละก็   มันจะทำให้บรรยากาศในห้องทำงานนี้สดชื่น เรียกร้องให้ใครต่อใครเข้ามากันอีกแยะทีเดียว ไม่เชื่อก็คอยดู

“ผู้จัดการครับ”

ขณะที่ขวัญกมลกำลังนั่งสร้างจินตนาการอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น   ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไม่มีการเคาะให้เสียง  พร้อมด้วยเสียงร้องเรียกผู้จัดการราวกับว่าคนที่ถูกเรียกนั้นมีโสตประสาทไม่สู้จะสมบูรณ์นัก ตามติดมาในขณะเดียวกัน  เขาผู้เป็นเจ้าของเสียงชะงักอยู่ตรงประตูนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าในห้องนั้นมิได้มีแต่ผู้จัดการนั่งอยู่ตามลำพังคนเดียวอย่างที่เคยมา   แต่เมื่อมองเห็นถนัดว่าใครเป็นใคร เขาก็ยิ้มให้ขวัญกมลอย่างคุ้นเคย   พร้อมกันกับที่คุณพ่อเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษถามว่า

“อะไรหรือ  เกาศัย”

“ภัตตาคารที่จะเปิดใหม่นั้นมีหนังสือมาเร่งอีกแล้วครับ  ว่าจะให้ส่งประมูลราคาโต๊ะเก้าอี้เสียที   เขาจะหมดกำหนดวันที่สามนี่แล้ว”

“เฮอ” คุณพ่อถอนใจหนักๆ ซึ่งเป็นบทแรกของชีวิตการทำงานประจำวันที่ขวัญกมลเริ่มได้เห็นและเรียนรู้ในวันนี้   “เรื่องมันยุ่งอยู่เพราะพวกเจ้าประคุณบรรดาหุ้นส่วนใหญ่ๆ ทั้งหลายคิดจะกอบโกยเอากำไรให้มากๆ เท่านั้นเองแหละ   มันถึงได้ล่าช้ามายังงี้   เอาเถอะประเดี๋ยวผมจะเรียกประชุมเอง   ตอนเย็นก็คงจะรู้เรื่องว่าเขาจะเอาหรือไม่เอา   แล้วพรุ่งนี้ก็ให้คนเอาซองไปให้เขาก็แล้วกัน  นี่ผมหมายความว่าถ้าพวกหุ้นส่วนเขายอมตัดเลขเงินปันผลปลายปีของเขาลงสักเลขหนึ่งนะ”

“ยอมตัดเสียเลขหนึ่งยังดีกว่าไม่มีอะไรจะให้ตัดเลย”   คนที่ชื่อเกาศัยว่า   ขยับจะถอยออกไป แต่ถูก   ‘ผู้จัดการ’  เรียกเอาไว้อีก

“นี่แน่ะ  เกาศัย  ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหม ช่วยพายายขวัญไปที่แผนกพัสดุทีเถอะ แล้วช่วยเบิกอะไรๆ ที่แกต้องใช้ให้ด้วย”   แล้วคุณพ่อก็หันมาพยักหน้ากับเธอบอกว่า   “ไปกับเกาศัยเขาซี”

ผู้ชายที่ชื่อเกาศัยหันมายิ้มยิงฟันขาวกับเธอ   ขวัญกมลจึงลุกขึ้น เดินตามเขาออกจากห้องไปยังห้องแผนกพัสดุ   และโดยที่ไม่ได้ถามเธอว่าต้องการอะไรบ้าง   นายเกาศัยคนนั้นก็จัดแจงเขียนรายชื่อเบิกของให้เธอเสร็จสรรพ ซึ่งเมื่อได้ของมาแล้ว ปรากฏว่ามันมากกว่าที่ขวัญกมลกะเอาไว้เสียด้วยซ้ำ   นายเกาศัย วางของที่ได้มานั้นลงในอ้อมแขนของขวัญกมลอย่างไม่ค่อยจะอ่อนโยนนัก   น้ำหนักของมันทำให้ขวัญกมล ถึงกับต้องย่อตัวลงนิดหน่อย ซึ่งทำให้เธอชักฉุนกึกขึ้นมา เพราะผู้หญิงสองคนและผู้ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องนั้นพากันมองดูแล้วยิ้มอย่างขัน   เขามาทำให้บุคลิกของเธอเสียไปต่อหน้าคนตั้งสามคน

“เอ้า  ครบถ้วนแล้วครับ ของใช้สำหรับเลขานุการ  รับรองว่าไม่มีขาดตกบกพร่องสักอย่างเดียว   ยังขาดอยู่ก็แต่ไอศกรีม   ซึ่งเห็นจะต้องใส่กระติกเอามาเองเท่านั้น”

แล้วเขาก็ยิ้มยิงฟันขาวอีกครั้งหนึ่ง  และขวัญกมลก็ตัดสินใจในวินาทีนั้นเองว่า  อีตาคนนี้ไม่มีวันที่จะได้เดินผ่านประตูหัวใจของผู้หญิงคนไหนเข้าไปได้อย่างเด็ดขาด

จบบทที่ 2