หัวใจไม่มีประตู

>> สุภาว์ เทวกุล

หัวใจไม่มีประตู

บทที่ 1

ดาวฤทัย มีอายุครบสิบหกปีเต็มวันนี้

สิบหกปีสำหรับผู้หญิง   จะเปรียบไปมันก็คือประกาศนียบัตรรับรองว่าหล่อนได้เติบโตเป็นสาวเต็มที่แล้วนั่นเองแหละ   ดาวฤทัยคิดเช่นนั้น   ทั้งยังเป็นใบอนุญาตให้มีสิทธิที่จะใช้เสื้อคอต่ำ   หรือผ้าเนื้อมันที่โชว์ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกาย  รองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว   เข้าร้านเสริมสวยอาทิตย์ละสองครั้ง   มีนัดกับเพื่อนชายในบางโอกาส   ตลอดพร้อมที่จะเปิดประตูหัวใจเพื่อรอรับความรักของใครสักคนหนึ่งซึ่งแสนจะวิเศษพร้อม ราวกับเจ้าชายในฝัน   ซึ่งดาวฤทัยเคยนึกวาดภาพเอาไว้ตั้งแต่เริ่มรู้จักอ่านหนังสือรักๆ  ใคร่ๆ กับเขาเป็น

เปล่า ดาวฤทัยมิใช่นางเอกในเรื่องของเรานี้ดอก   ดาวฤทัย เป็นเพียงนางเอกในนิยายสมมุติเรื่องหนึ่ง ซึ่งขวัญกมล ผู้น่าจะเป็นนางเอกในเรื่องนี้ของเราไปอ่านพบเข้า   แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับตัวของหล่อนเอง

ดาวฤทัยอายุสิบหกปีเต็ม   ก็ยังสำคัญว่าตัวเองเป็นสาวเต็มที่แล้ว   ก็หล่อนขวัญกมลเองเล่า อายุจะเต็มสิบแปดอยู่ในวันสองวันนี่แล้ว ยังเป็นสาวไม่ได้หรือไร   อายุสิบแปดมันน่าจะพอกันทีแล้วสำหรับเสื้อแขนพอง หรือเสื้อติดกับกระโปรงบานพอง   มีโบว์ที่เอว  แสนจะรุ่มร่ามไม่ได้รูปได้ร่าง  และรองเท้าถุงเท้าที่เตอะตะไม่ได้ความ

ขวัญกมลลุกปราดไปที่หน้ากระจกเงา   ดูสิอย่างนี้คุณแม่ยังไม่ยอมเห็นว่าลูกสาวเป็นสาวเต็มที่แล้วอีกหรือ   ถ้าให้ของขวัญกมลสวมเสื้ออาบน้ำรัดรูปร่างหรือโชว์อะไรๆ เท่าที่ควรโชว์ได้อย่างสาวๆ ตามหน้าปกหนังสือพิมพ์เขาบ้างละก็   มาพนันกันได้   ว่าถ้าหนุ่มๆ ไม่มองจนเหลียวหลัง หรือเป่าปากเหมือนดังจะขาดใจเพราะความรัญจวนกับความโสภาแห่งเรือนร่างของเธอละก็   ให้คุณแม่เฆี่ยนสักสิบทีก็ยังได้  คุณแม่น่าจะได้คิดบ้างว่า เดี๋ยวนี้น่ะ   ขวัญกมลสูงกว่าท่านตั้งสิบเซ็นต์เข้าไปแล้ว

อีกไม่กี่วัน ขวัญกมลก็จะมีอายุครบสิบแปด   ต่อไปนี้ละ เธอ จะไม่ยอมให้คุณแม่มาวุ่นวายจัดการกับตัวเธอเหมือนอย่างกับว่าเธอเป็นเด็กเล็กๆ ต่อไปอีก   ความจริงขวัญกมลเคยอ้อนวอนคุณแม่  ขออนุญาตสวมรองเท้ามีส้นมาตั้งแต่เมื่อเธออายุครบสิบห้าปีนั่นแล้ว   แต่คุณแม่ก็ไม่ยอม   แม้แต่เพียงการ   “ขอลองดูหน่อยเถอะ  คุณแม่ขา   ส้นไม่ต้องสูงนัก   เพียงแค่สองนิ้วครึ่งก็ได้”   คุณแม่ก็ไม่ยอมอยู่นั่นเอง

“เอาไว้ให้อายุครบสิบแปด   แล้วก็จบห้องแปดเสียก่อน”   คุณแม่บอกอย่างนี้ เสียงคุณแม่ไม่ดุดันอะไรนักก็จริง   แต่ขวัญกมลก็รู้ดีว่าคุณแม่หมายความตามนั้นจริงๆ   และโดยไม่มีการลดหย่อนผ่อนผันให้ด้วย   คำพูดของคุณแม่เป็นกฎหมายในบ้าน   และคุณพ่อก็แก้กฎหมายนี้ไม่ได้เสียด้วย   คุณพ่อยกให้คุณแม่มีหน้าที่ออกกฎหมายในบ้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จนสายเกินไปกว่าที่จะเรียกร้อง  หรือยึดอำนาจกลับคืนมา   และคุณแม่ก็ถือเอาว่า ขวัญกมลเองก็เป็นเรื่อง   “ในบ้าน”   แขนงหนึ่งด้วยเหมือนกัน

ขวัญกมลเคยแอบไปขอ ความช่วยเหลือจากคุณพ่ออย่างเงียบๆ โดยไม่ให้คุณแม่รู้   ขอให้ท่านช่วยร่วมมือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับตัวเธอเสียใหม่  แต่คุณพ่อกลับบอกว่า

“หน้าที่ของพ่อคือ หาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว   ส่วนการปกครองดูแลบ้านให้ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยอยู่ในความสงบนั้น   เป็นหน้าที่ของแม่เขา   แล้วแม่เขาก็ทำหน้าที่นี้มาได้อย่างดียิ่งตลอดเวลาแล้ว  พ่อก็พอใจ  ไม่อยากจะให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่จะทำให้แม่เขาเกิดกระทบกระเทือนขึ้นมาหรอกลูก”

นี่ คุณพ่อก็เป็นยังงี้เสียด้วย

“ตอนนี้เรายังเรียนหนังสืออยู่”  คุณแม่ชอบเอาคำสั่งแทรกปนมากับการสอนแบบนี้เสมอทีเดียว   “ถ้ามัวคิดแต่จะแต่งตัวให้สวยอยู่ละก็ จะทำให้การเรียนเสียหมด   เพราะฉะนั้นควรจะรอไว้ให้โตพอที่จะรู้จักใคร่ครวญตัดสินใจด้วยตัวเองเสียก่อน  ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรแค่ไหน”

คุณแม่ละก็เป็นเสียอย่างนี้   บอกว่าให้โตพอเสียก่อน   แต่ถึงแม้ว่าขวัญกมลจะเริ่มโตกว่าคุณแม่ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว คือเวลาจูบลาคุณแม่ไปโรงเรียน   ขวัญกมลจะต้องย่อตัวลงมาจูบ   คุณแม่ก็ยังชอบรู้แทนตัวขวัญกมลเองนักว่าอะไรควร   อะไรไม่ควร  และเธอก็ไม่มีทางจะขัดแย้งอะไรได้เสียด้วย   เพราะว่าพอเธออ้าปากจะแย้งออกมาทีไร  คุณแม่มักจะทำเสียงเย็นๆ   ตาชาๆ เอากับเธอ   บอกว่า

“เด็กดีเขาไม่เถียงพ่อเถียงแม่หรอกนะ  พ่อแม่เห็นโลกมามากกว่าลูก   รู้จักคนมามากกว่าลูกก็ย่อมจะรู้ดีกว่าลูกว่าอะไรถูกอะไรควรแค่ไหน”

ถ้าอย่างนั้น คุณพ่อก็เห็นจะเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรู้อะไรที่สุดในโลก   เพราะไม่ว่าขวัญกมลจะเกิดมีปัญหาอะไรซักถามคุณพ่อขึ้นมาทีไร   เป็นต้นว่า

“คุณพ่อขา  ผู้หญิงน่ะ อายุสักเท่าไหร่ถึงจะไปเที่ยวตามลำพังกับเพื่อนผู้ชายได้คะคุณพ่อ”

คุณพ่อทำท่าเหมือนจะตอบ แต่แล้วก็ไม่ตอบ   กลับบอกว่า   “พ่อไม่รู้หรอก  ไปถามแม่เขาดูซี”

แบบนี้แหละ   คุณพ่อไม่เห็นเคยรู้อะไรสักที   ถามอะไรก็ไล่ให้ไปถามคุณแม่ทุกที  และเมื่อขวัญกมลไปถามคุณแม่ด้วยคำถามประโยคเดียวกันนี้   คุณแม่ก็ตอบด้วยคำตอบที่เธอไม่เข้าใจว่า

“เมื่อผู้หญิงคนนั้นโตพอที่จะรู้จักอ่านนิสัยใจคอของคน   และรู้จักว่า  ผู้ชายคืออะไร และผู้หญิงคืออะไรน่ะซีจ๊ะ”   เท่านั้นยังไม่พอ  คุณแม่ยังแถมมีคำถามต่อท้ายตามมาอีกด้วย ว่า   “หนูถามทำไม”

นี่แหละ คุณแม่ละ   นอกจากจะตอบคำถามของขวัญกมลด้วยคำตอบที่เข้าใจยากแล้ว ยังชอบถามคำถามที่หาคำตอบได้ยากอีกเสมอไป   จนทำให้ขวัญกมลชักขยาด  ไม่อยากจะถามอะไรคุณแม่เอาเลยทีเดียว

แต่ก็ช่างเถอะ  เดี๋ยวนี้ขวัญกมลก็อายุจะสิบแปดเต็มอยู่แล้ว   แล้วก็ผ่านการสอบไล่ชั้นแปดมาแล้วด้วย  ยิ่งกว่านั้น  ต่อไปนี้ขวัญกมลจะไม่ต้องขอเงินจากคุณแม่ใช้ เพราะคุณพ่อบอกว่าจะให้ขวัญกมลทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของคุณพ่อ  โดยจะจ่ายเงินเดือนให้เป็นประจำเดือนละหกร้อยบาท

“ถ้าลูกไปทำงานที่อื่น  ลูกก็จะได้เงินเดือนเท่านี้   หรืออาจจะน้อยกว่านี้ตามความรู้ที่ลูกมีอยู่”   คุณพ่ออธิบายให้ขวัญกมลฟังถึงเหตุผลที่ว่าเหตุใดท่านจึงตั้งอัตราเงินเดือนให้เธอแค่นั้น   “ต่อไป เมื่อลูกทำงานดีขึ้น   พิมพ์หนังสือหรือแปลหนังสือเก่งขึ้นแล้ว  พ่อก็จะพิจารณาขึ้นเงินเดือนให้ลูกอีก”

บ้านไม่ต้องเช่า   ข้าวไม่ต้องซื้อ   เงินเดือนหกร้อยบาทก็นับว่าน่าดูอยู่เหมือนกันสำหรับคนที่ไม่เคยมีเงินก้อนอยู่ในกระเป๋าตัวเองเลย นอกจากค่าขนมอาทิตย์ละหกสิบบาทที่คุณแม่จ่ายให้   ถ้าหากเป็นต้นเดือนก็นับว่าร่ำรวยขึ้นหน่อย ตรงที่มีเงินพิเศษอีกห้าสิบบาทเป็นค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดส่วนตัว   เพราะฉะนั้น   ขวัญกมลก็ไม่มีข้อคัดค้านอย่างใดกับเงินเดือนที่คุณพ่อจะจ่ายให้นั้น

หกร้อยบาท   อย่างน้อย ในเดือนหนึ่ง เธอก็คงจะตัดเสื้อผ้าใหม่ๆ ได้สักสองชุด กระเป๋าถือสักใบ  และรองเท้า สักคู่   ทุกเดือน คิดดูแล้ว  เพียงปีเดียว   เธอก็จะมีรองเท้าถึงสิบสองคู่   กระเป๋าสิบสองใบ   และเสื้อผ้ายี่สิบสี่ชุด ก็ไม่เลวอยู่หรอก

คุณแม่ให้ความเอื้อเฟื้ออย่างมีข้อแม้ตามเคยว่า   “ในตอนแรกที่หนูจะไปทำงานกับคุณพ่อนี่นะ แม่จะจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้า รองเท้าและกระเป๋าที่จะต้องใช้ให้เอง   แต่ต่อไปเมื่อหนูได้เงินเดือนของหนูเองแล้วละก็   หนูจะต้องซื้อของหนูเองนะจ๊ะ  แม่จะซื้อให้ก็แต่เฉพาะในกรณีพิเศษที่เห็นว่าจำเป็นเท่านั้น”

ขวัญกมลสงสัยนักว่า เสื้อผ้าที่คุณแม่จะตัดและซื้อให้เธอใส่ไปทำงานกับคุณพ่อนั้นมันจะมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร   อย่างดี ก็คงจะไม่พ้นกระโปรงบานๆ กับเสื้อเชิ้ตขาวไปได้หรอก แต่ก็ช่างเถอะ เดือนเดียวเท่านั้นเอง   ทนแต่งไปก่อน   แล้วต่อจากนั้น เธอก็จะซื้อเสื้อผ้าของเธอเอง   เลือกแบบเสื้อที่จะใส่ได้เองตามใจชอบ   แน่ละ  มันจะต้องเป็นแบบที่เก๋ ใส่แล้วจะต้องมองดูสมาร์ท   ส่งสภาพให้เธอเป็นสาวเต็มตัว  พอที่จะทำให้ทุกคนที่ได้เห็น รู้ว่าขวัญกมลเป็นสาวแล้ว  และประตูหัวใจของเธอก็พร้อมแล้วที่จะเปิดรับใครสักคน

ขวัญกมลก็เป็นเพียงชีวิตหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมา  และต้องตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติเช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย   บุรุษ เมื่อเติบโตขึ้นมาสู่ความเป็นหนุ่ม ก็ย่อมที่จะต้องเริ่มใฝ่ฝันจะเสาะแสวงหาสตรีอันเป็นที่ต้องใจ   ถ้าจะพูดไป สตรีที่บุรุษใฝ่ฝันต้องการจะได้นั้น ก็มักจะต้องมีลักษณะและคุณสมบัติเช่นเดียวกันหมด   คืองามพร้อมทั้งกาย วาจาและใจอย่างไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง  หน้าตารูปร่างจะต้องเยี่ยมยอด ไม่มีหญิงใดเสมอเหมือน   การบ้านการเรือนจะต้องเก่ง  พูดเพราะ  ใจดีและใจกว้างพอที่จะไม่บ่นว่าในยามที่เขาต้องการจะ เถลไถล กลับบ้านผิดเวล่ำเวลาไปบ้าง   ไม่จู้จี้ซักนั่นถามนี่จนเกินน่าเอ็นดู   และข้อสำคัญก็ต้องไม่ถือวิสาสะ ล้วงกระเป๋าเพื่อจะยึดเอาเงินทองทั้งหลายมาครอบครองเสียคนเดียว  หรือแอบเปิดซองจดหมายส่วนตัวอ่านโดยไม่ยอมขออนุญาตก่อน ..   เช่นนี้เป็นต้น

ส่วนสตรีนั้นก็เช่นเดียวกัน  เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเป็นสาวขึ้นมา   ก็หนีไม่พ้นจากการที่จะลืมตาฝันถึงบุรุษที่จะต้องเข้ามาพัวพันใช้ชีวิตร่วมกันต่อไปในภายหน้าได้   และร้อยทั้งร้อยอีกเหมือนกัน  ที่บุรุษในความฝันนั้น จะต้องมีลักษณะสวยสง่าเป็นที่สนใจแก่ผู้หญิงทุกคนที่ได้พบ   แต่เขาจะสนใจกับผู้หญิงคนไหนไม่ได้ นอกจากเจ้าของความฝันแต่เพียงผู้เดียว   จะต้องรู้จักเอาอกเอาใจพอสมควร   เช่น  รู้จักชม เมื่อเธอสวมเสื้อตัวใหม่ หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ รู้จักที่จะหัวเราะขันอย่างเอ็นดู ถ้าหากว่าเธอเผอิญจะหุงข้าวไม่สุก  หรือทอดหมูเกรียมไปสักหน่อยดังนี้

ก็แล้วเมื่อขวัญกมลเองก็รู้สึกตัวว่า เป็นสาวเต็มที่แล้วเช่นนี้   เหตุใดเธอจึงจะหนีกฎแห่งธรรมชาติไปได้พ้นเล่า   เจ้าชายในฝันของขวัญกมลก็มีลักษณะเหมือนกับเจ้าชายในฝันของผู้หญิงทั้งหลายนั่นแหละ   คือสูงสง่า   คมสันและมีเสน่ห์   แต่ขวัญกมลได้แถมท้ายเข้าไปด้วยหน่อยหนึ่งว่า   ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบใจคุณพ่อเท่าใดนัก   แต่ถ้าเขาจะเป็นอย่างคุณพ่อก็คงจะดีไม่น้อยเหมือนกัน   ขวัญกมลฝัน แล้วก็เชื่ออย่างที่ผู้หญิงทุกคนเชื่อ คือตนจะต้องได้พบกับผู้ชายในฝันอย่างแน่นอน   แต่จะได้พบเมื่อไหร่นั้น   ขวัญกมลนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งนักประพันธ์คนหนึ่งได้จัดการให้นางเอกของเขารำพึงรำพันกับตัวเองว่า   “ถ้าหากฉันได้พบชายในฝันของฉันเมื่อไร   ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้า   แต่ฉันก็เชื่อว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งกระซิบบอกให้ฉันรู้   ว่านี่แหละคือคนที่ฉันได้ฝันถึง  และเฝ้าคอยมานานแสนนาน”   แล้วขวัญกมลก็ต่อท้ายลงไปด้วยว่า  “เมื่อนั้นแหละที่ประตูหัวใจของฉัน จะเปิดกว้างรับเขาเข้ามาทันที”

ประตูหัวใจของเธอเตรียมพร้อมที่จะเปิดแล้ว   ชั่ว แต่ยังต้องคอยประตูที่กั้นอยู่ระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอกที่คุณแม่เป็นคนถือกุญแจอยู่เท่านั้นเอ ง ซึ่งมันก็จะมาถึงในเวลาอีกไม่กี่วันนี่แล้ว

โอ...  มันช่างเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นชื่นชมเสียนี่กระไร....

จบบทที่ 1