ดาวฤทัย มีอายุครบสิบหกปีเต็มวันนี้
สิบหกปีสำหรับผู้หญิง จะเปรียบไปมันก็คือประกาศนียบัตรรับรองว่าหล่อนได้เติบโตเป็นสาวเต็มที่แล้วนั่นเองแหละ ดาวฤทัยคิดเช่นนั้น ทั้งยังเป็นใบอนุญาตให้มีสิทธิที่จะใช้เสื้อคอต่ำ หรือผ้าเนื้อมันที่โชว์ส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างกาย รองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว เข้าร้านเสริมสวยอาทิตย์ละสองครั้ง มีนัดกับเพื่อนชายในบางโอกาส ตลอดพร้อมที่จะเปิดประตูหัวใจเพื่อรอรับความรักของใครสักคนหนึ่งซึ่งแสนจะวิเศษพร้อม ราวกับเจ้าชายในฝัน ซึ่งดาวฤทัยเคยนึกวาดภาพเอาไว้ตั้งแต่เริ่มรู้จักอ่านหนังสือรักๆ ใคร่ๆ กับเขาเป็น
เปล่า ดาวฤทัยมิใช่นางเอกในเรื่องของเรานี้ดอก ดาวฤทัย เป็นเพียงนางเอกในนิยายสมมุติเรื่องหนึ่ง ซึ่งขวัญกมล ผู้น่าจะเป็นนางเอกในเรื่องนี้ของเราไปอ่านพบเข้า แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับตัวของหล่อนเอง
ดาวฤทัยอายุสิบหกปีเต็ม ก็ยังสำคัญว่าตัวเองเป็นสาวเต็มที่แล้ว ก็หล่อนขวัญกมลเองเล่า อายุจะเต็มสิบแปดอยู่ในวันสองวันนี่แล้ว ยังเป็นสาวไม่ได้หรือไร อายุสิบแปดมันน่าจะพอกันทีแล้วสำหรับเสื้อแขนพอง หรือเสื้อติดกับกระโปรงบานพอง มีโบว์ที่เอว แสนจะรุ่มร่ามไม่ได้รูปได้ร่าง และรองเท้าถุงเท้าที่เตอะตะไม่ได้ความ
ขวัญกมลลุกปราดไปที่หน้ากระจกเงา ดูสิอย่างนี้คุณแม่ยังไม่ยอมเห็นว่าลูกสาวเป็นสาวเต็มที่แล้วอีกหรือ ถ้าให้ของขวัญกมลสวมเสื้ออาบน้ำรัดรูปร่างหรือโชว์อะไรๆ เท่าที่ควรโชว์ได้อย่างสาวๆ ตามหน้าปกหนังสือพิมพ์เขาบ้างละก็ มาพนันกันได้ ว่าถ้าหนุ่มๆ ไม่มองจนเหลียวหลัง หรือเป่าปากเหมือนดังจะขาดใจเพราะความรัญจวนกับความโสภาแห่งเรือนร่างของเธอละก็ ให้คุณแม่เฆี่ยนสักสิบทีก็ยังได้ คุณแม่น่าจะได้คิดบ้างว่า เดี๋ยวนี้น่ะ ขวัญกมลสูงกว่าท่านตั้งสิบเซ็นต์เข้าไปแล้ว
อีกไม่กี่วัน ขวัญกมลก็จะมีอายุครบสิบแปด ต่อไปนี้ละ เธอ จะไม่ยอมให้คุณแม่มาวุ่นวายจัดการกับตัวเธอเหมือนอย่างกับว่าเธอเป็นเด็กเล็กๆ ต่อไปอีก ความจริงขวัญกมลเคยอ้อนวอนคุณแม่ ขออนุญาตสวมรองเท้ามีส้นมาตั้งแต่เมื่อเธออายุครบสิบห้าปีนั่นแล้ว แต่คุณแม่ก็ไม่ยอม แม้แต่เพียงการ “ขอลองดูหน่อยเถอะ คุณแม่ขา ส้นไม่ต้องสูงนัก เพียงแค่สองนิ้วครึ่งก็ได้” คุณแม่ก็ไม่ยอมอยู่นั่นเอง
“เอาไว้ให้อายุครบสิบแปด แล้วก็จบห้องแปดเสียก่อน” คุณแม่บอกอย่างนี้ เสียงคุณแม่ไม่ดุดันอะไรนักก็จริง แต่ขวัญกมลก็รู้ดีว่าคุณแม่หมายความตามนั้นจริงๆ และโดยไม่มีการลดหย่อนผ่อนผันให้ด้วย คำพูดของคุณแม่เป็นกฎหมายในบ้าน และคุณพ่อก็แก้กฎหมายนี้ไม่ได้เสียด้วย คุณพ่อยกให้คุณแม่มีหน้าที่ออกกฎหมายในบ้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จนสายเกินไปกว่าที่จะเรียกร้อง หรือยึดอำนาจกลับคืนมา และคุณแม่ก็ถือเอาว่า ขวัญกมลเองก็เป็นเรื่อง “ในบ้าน” แขนงหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ขวัญกมลเคยแอบไปขอ ความช่วยเหลือจากคุณพ่ออย่างเงียบๆ โดยไม่ให้คุณแม่รู้ ขอให้ท่านช่วยร่วมมือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับตัวเธอเสียใหม่ แต่คุณพ่อกลับบอกว่า
“หน้าที่ของพ่อคือ หาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนการปกครองดูแลบ้านให้ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยอยู่ในความสงบนั้น เป็นหน้าที่ของแม่เขา แล้วแม่เขาก็ทำหน้าที่นี้มาได้อย่างดียิ่งตลอดเวลาแล้ว พ่อก็พอใจ ไม่อยากจะให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่จะทำให้แม่เขาเกิดกระทบกระเทือนขึ้นมาหรอกลูก”
นี่ คุณพ่อก็เป็นยังงี้เสียด้วย
“ตอนนี้เรายังเรียนหนังสืออยู่” คุณแม่ชอบเอาคำสั่งแทรกปนมากับการสอนแบบนี้เสมอทีเดียว “ถ้ามัวคิดแต่จะแต่งตัวให้สวยอยู่ละก็ จะทำให้การเรียนเสียหมด เพราะฉะนั้นควรจะรอไว้ให้โตพอที่จะรู้จักใคร่ครวญตัดสินใจด้วยตัวเองเสียก่อน ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรแค่ไหน”
คุณแม่ละก็เป็นเสียอย่างนี้ บอกว่าให้โตพอเสียก่อน แต่ถึงแม้ว่าขวัญกมลจะเริ่มโตกว่าคุณแม่ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว คือเวลาจูบลาคุณแม่ไปโรงเรียน ขวัญกมลจะต้องย่อตัวลงมาจูบ คุณแม่ก็ยังชอบรู้แทนตัวขวัญกมลเองนักว่าอะไรควร อะไรไม่ควร และเธอก็ไม่มีทางจะขัดแย้งอะไรได้เสียด้วย เพราะว่าพอเธออ้าปากจะแย้งออกมาทีไร คุณแม่มักจะทำเสียงเย็นๆ ตาชาๆ เอากับเธอ บอกว่า
“เด็กดีเขาไม่เถียงพ่อเถียงแม่หรอกนะ พ่อแม่เห็นโลกมามากกว่าลูก รู้จักคนมามากกว่าลูกก็ย่อมจะรู้ดีกว่าลูกว่าอะไรถูกอะไรควรแค่ไหน”
ถ้าอย่างนั้น คุณพ่อก็เห็นจะเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรู้อะไรที่สุดในโลก เพราะไม่ว่าขวัญกมลจะเกิดมีปัญหาอะไรซักถามคุณพ่อขึ้นมาทีไร เป็นต้นว่า
“คุณพ่อขา ผู้หญิงน่ะ อายุสักเท่าไหร่ถึงจะไปเที่ยวตามลำพังกับเพื่อนผู้ชายได้คะคุณพ่อ”
คุณพ่อทำท่าเหมือนจะตอบ แต่แล้วก็ไม่ตอบ กลับบอกว่า “พ่อไม่รู้หรอก ไปถามแม่เขาดูซี”
แบบนี้แหละ คุณพ่อไม่เห็นเคยรู้อะไรสักที ถามอะไรก็ไล่ให้ไปถามคุณแม่ทุกที และเมื่อขวัญกมลไปถามคุณแม่ด้วยคำถามประโยคเดียวกันนี้ คุณแม่ก็ตอบด้วยคำตอบที่เธอไม่เข้าใจว่า
“เมื่อผู้หญิงคนนั้นโตพอที่จะรู้จักอ่านนิสัยใจคอของคน และรู้จักว่า ผู้ชายคืออะไร และผู้หญิงคืออะไรน่ะซีจ๊ะ” เท่านั้นยังไม่พอ คุณแม่ยังแถมมีคำถามต่อท้ายตามมาอีกด้วย ว่า “หนูถามทำไม”
นี่แหละ คุณแม่ละ นอกจากจะตอบคำถามของขวัญกมลด้วยคำตอบที่เข้าใจยากแล้ว ยังชอบถามคำถามที่หาคำตอบได้ยากอีกเสมอไป จนทำให้ขวัญกมลชักขยาด ไม่อยากจะถามอะไรคุณแม่เอาเลยทีเดียว
แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวนี้ขวัญกมลก็อายุจะสิบแปดเต็มอยู่แล้ว แล้วก็ผ่านการสอบไล่ชั้นแปดมาแล้วด้วย ยิ่งกว่านั้น ต่อไปนี้ขวัญกมลจะไม่ต้องขอเงินจากคุณแม่ใช้ เพราะคุณพ่อบอกว่าจะให้ขวัญกมลทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของคุณพ่อ โดยจะจ่ายเงินเดือนให้เป็นประจำเดือนละหกร้อยบาท
“ถ้าลูกไปทำงานที่อื่น ลูกก็จะได้เงินเดือนเท่านี้ หรืออาจจะน้อยกว่านี้ตามความรู้ที่ลูกมีอยู่” คุณพ่ออธิบายให้ขวัญกมลฟังถึงเหตุผลที่ว่าเหตุใดท่านจึงตั้งอัตราเงินเดือนให้เธอแค่นั้น “ต่อไป เมื่อลูกทำงานดีขึ้น พิมพ์หนังสือหรือแปลหนังสือเก่งขึ้นแล้ว พ่อก็จะพิจารณาขึ้นเงินเดือนให้ลูกอีก”
บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ เงินเดือนหกร้อยบาทก็นับว่าน่าดูอยู่เหมือนกันสำหรับคนที่ไม่เคยมีเงินก้อนอยู่ในกระเป๋าตัวเองเลย นอกจากค่าขนมอาทิตย์ละหกสิบบาทที่คุณแม่จ่ายให้ ถ้าหากเป็นต้นเดือนก็นับว่าร่ำรวยขึ้นหน่อย ตรงที่มีเงินพิเศษอีกห้าสิบบาทเป็นค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดส่วนตัว เพราะฉะนั้น ขวัญกมลก็ไม่มีข้อคัดค้านอย่างใดกับเงินเดือนที่คุณพ่อจะจ่ายให้นั้น
หกร้อยบาท อย่างน้อย ในเดือนหนึ่ง เธอก็คงจะตัดเสื้อผ้าใหม่ๆ ได้สักสองชุด กระเป๋าถือสักใบ และรองเท้า สักคู่ ทุกเดือน คิดดูแล้ว เพียงปีเดียว เธอก็จะมีรองเท้าถึงสิบสองคู่ กระเป๋าสิบสองใบ และเสื้อผ้ายี่สิบสี่ชุด ก็ไม่เลวอยู่หรอก
คุณแม่ให้ความเอื้อเฟื้ออย่างมีข้อแม้ตามเคยว่า “ในตอนแรกที่หนูจะไปทำงานกับคุณพ่อนี่นะ แม่จะจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้า รองเท้าและกระเป๋าที่จะต้องใช้ให้เอง แต่ต่อไปเมื่อหนูได้เงินเดือนของหนูเองแล้วละก็ หนูจะต้องซื้อของหนูเองนะจ๊ะ แม่จะซื้อให้ก็แต่เฉพาะในกรณีพิเศษที่เห็นว่าจำเป็นเท่านั้น”
ขวัญกมลสงสัยนักว่า เสื้อผ้าที่คุณแม่จะตัดและซื้อให้เธอใส่ไปทำงานกับคุณพ่อนั้นมันจะมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร อย่างดี ก็คงจะไม่พ้นกระโปรงบานๆ กับเสื้อเชิ้ตขาวไปได้หรอก แต่ก็ช่างเถอะ เดือนเดียวเท่านั้นเอง ทนแต่งไปก่อน แล้วต่อจากนั้น เธอก็จะซื้อเสื้อผ้าของเธอเอง เลือกแบบเสื้อที่จะใส่ได้เองตามใจชอบ แน่ละ มันจะต้องเป็นแบบที่เก๋ ใส่แล้วจะต้องมองดูสมาร์ท ส่งสภาพให้เธอเป็นสาวเต็มตัว พอที่จะทำให้ทุกคนที่ได้เห็น รู้ว่าขวัญกมลเป็นสาวแล้ว และประตูหัวใจของเธอก็พร้อมแล้วที่จะเปิดรับใครสักคน
ขวัญกมลก็เป็นเพียงชีวิตหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมา และต้องตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติเช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย บุรุษ เมื่อเติบโตขึ้นมาสู่ความเป็นหนุ่ม ก็ย่อมที่จะต้องเริ่มใฝ่ฝันจะเสาะแสวงหาสตรีอันเป็นที่ต้องใจ ถ้าจะพูดไป สตรีที่บุรุษใฝ่ฝันต้องการจะได้นั้น ก็มักจะต้องมีลักษณะและคุณสมบัติเช่นเดียวกันหมด คืองามพร้อมทั้งกาย วาจาและใจอย่างไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง หน้าตารูปร่างจะต้องเยี่ยมยอด ไม่มีหญิงใดเสมอเหมือน การบ้านการเรือนจะต้องเก่ง พูดเพราะ ใจดีและใจกว้างพอที่จะไม่บ่นว่าในยามที่เขาต้องการจะ เถลไถล กลับบ้านผิดเวล่ำเวลาไปบ้าง ไม่จู้จี้ซักนั่นถามนี่จนเกินน่าเอ็นดู และข้อสำคัญก็ต้องไม่ถือวิสาสะ ล้วงกระเป๋าเพื่อจะยึดเอาเงินทองทั้งหลายมาครอบครองเสียคนเดียว หรือแอบเปิดซองจดหมายส่วนตัวอ่านโดยไม่ยอมขออนุญาตก่อน .. เช่นนี้เป็นต้น
ส่วนสตรีนั้นก็เช่นเดียวกัน เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเป็นสาวขึ้นมา ก็หนีไม่พ้นจากการที่จะลืมตาฝันถึงบุรุษที่จะต้องเข้ามาพัวพันใช้ชีวิตร่วมกันต่อไปในภายหน้าได้ และร้อยทั้งร้อยอีกเหมือนกัน ที่บุรุษในความฝันนั้น จะต้องมีลักษณะสวยสง่าเป็นที่สนใจแก่ผู้หญิงทุกคนที่ได้พบ แต่เขาจะสนใจกับผู้หญิงคนไหนไม่ได้ นอกจากเจ้าของความฝันแต่เพียงผู้เดียว จะต้องรู้จักเอาอกเอาใจพอสมควร เช่น รู้จักชม เมื่อเธอสวมเสื้อตัวใหม่ หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ รู้จักที่จะหัวเราะขันอย่างเอ็นดู ถ้าหากว่าเธอเผอิญจะหุงข้าวไม่สุก หรือทอดหมูเกรียมไปสักหน่อยดังนี้
ก็แล้วเมื่อขวัญกมลเองก็รู้สึกตัวว่า เป็นสาวเต็มที่แล้วเช่นนี้ เหตุใดเธอจึงจะหนีกฎแห่งธรรมชาติไปได้พ้นเล่า เจ้าชายในฝันของขวัญกมลก็มีลักษณะเหมือนกับเจ้าชายในฝันของผู้หญิงทั้งหลายนั่นแหละ คือสูงสง่า คมสันและมีเสน่ห์ แต่ขวัญกมลได้แถมท้ายเข้าไปด้วยหน่อยหนึ่งว่า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบใจคุณพ่อเท่าใดนัก แต่ถ้าเขาจะเป็นอย่างคุณพ่อก็คงจะดีไม่น้อยเหมือนกัน ขวัญกมลฝัน แล้วก็เชื่ออย่างที่ผู้หญิงทุกคนเชื่อ คือตนจะต้องได้พบกับผู้ชายในฝันอย่างแน่นอน แต่จะได้พบเมื่อไหร่นั้น ขวัญกมลนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งนักประพันธ์คนหนึ่งได้จัดการให้นางเอกของเขารำพึงรำพันกับตัวเองว่า “ถ้าหากฉันได้พบชายในฝันของฉันเมื่อไร ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้า แต่ฉันก็เชื่อว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งกระซิบบอกให้ฉันรู้ ว่านี่แหละคือคนที่ฉันได้ฝันถึง และเฝ้าคอยมานานแสนนาน” แล้วขวัญกมลก็ต่อท้ายลงไปด้วยว่า “เมื่อนั้นแหละที่ประตูหัวใจของฉัน จะเปิดกว้างรับเขาเข้ามาทันที”
ประตูหัวใจของเธอเตรียมพร้อมที่จะเปิดแล้ว ชั่ว แต่ยังต้องคอยประตูที่กั้นอยู่ระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอกที่คุณแม่เป็นคนถือกุญแจอยู่เท่านั้นเอ ง ซึ่งมันก็จะมาถึงในเวลาอีกไม่กี่วันนี่แล้ว
โอ... มันช่างเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นชื่นชมเสียนี่กระไร....